[บทความ] เลือกซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองไหนดี
|
|
LTF คืออะไร กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Longterm Equity Fund (LTF) คือ กองทุนรวมที่จะนำเงินไปลงทุนในหุ้น(Equity)ภายในประเทศเป็นหลัก โดยอาจจะมีการลงทุนในตราสารหนี้(Government Bond) หุ้นกู้(Corporate Bond) เงินฝากธนาคาร หุ้นต่างประเทศ หรือ ตราสารอนุพันธ์(Derivative & Future) บ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นภายในประเทศเพียงอย่างเดียว และผู้ที่ซื้อ LTF จะได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ข้อดีของการซื้อ LTF - ได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี
- มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน(capital gain) ในกรณีที่หุ้นขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน ในกรณีที่หุ้นลง
- บางกองทุน มีการจ่ายปันผลให้กับผู้ลงทุน (ดูนโยบายการจ่ายปันผลได้จากหนังสือชี้ชวน)
- เป็นการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง
ข้อกำหนดของ LTF ผู้ที่ซื้อ LTF และต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจะต้องถือ LTF ไว้อย่างน้อย 5 ปีปฏิทิน เช่น ถ้าซื้อ ปี 2553 จะสามารถขายได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป แต่ถ้าไม่ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ก็สามารถขายตอนไหนก็ได้ กองทุน LTF สามารถจำแนกตามลักษณะความเสี่ยงได้ 3 ประเภทคือ - เสี่ยงสูง คือ กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นประมาณ 90% ในประเทศหรือต่างประเทศหรือทั้งสองอย่าง และลงทุนในเงินฝาก 10% เพื่อเสริมสภาพคล่อง กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนสูง เทียบเท่า SET index ตัวอย่างกองทุนประเภทนี้เช่น กองทุน LT2, LT3, LT4, LTT ของ บลจ ไทยพาณิชย์
- เสี่ยงปานกลาง คือ กองทุนจะลงทุนในหุ้นประมาณ 70% และที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นกู้ เงินฝาก กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนปานกลาง น้อยกว่า SET index ตัวอย่างกองทุนประเภทนี้เช่น กองทุน LT1 ของ บลจ ไทยพาณิชย์
- เสี่ยงต่ำ คือ กองทุนจะมีการลงทุนในตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง เสมือนว่ากองทุนนั้นๆ ลงทุนในหุ้นเพียงแค่ประมาณ 0-20 % กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนต่ำ หรือ แทบจะคงที่ถ้ากองทุนนั้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์เต็มจำนวน (ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุน) ตัวอย่างกองทนประเภทนี้ เช่น กองทุน LTS ของ บลจ ไทยพาณิชย์
ดังนั้นผู้ที่จะซื้อกองทุน LTF ควรที่จะซื้อตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ เช่น ถ้ากลัวความเสี่ยงมาก ควรลงทุนประเภท 3 เทคนิคเบื้องต้นในการเลือกซื้อกองทุน LTF - ควรซื้อแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน (Dollar Cost Averaging) มากกว่าซื้อครั้งเดียวปลายปี เพราะจะได้ราคาระดับเฉลี่ยที่ไม่เสี่ยงจนเกินไป ถ้าไปซื้อปลายปีครั้งเดียวอาจจะได้ราคาที่ยอดดอย
- ควรเปรียบเทียบหลายๆ บลจ โดยดูนโยบายการลงทุนว่าตรงตามที่เราต้องการไหม ดูค่าบริหารจัดการว่าแพงไปไหม ดูว่ามีปันผลให้ไหม(สำหรับคนชอบปันผล)
- บาง บลจ อนุญาตให้เราสามารถสลับกองทุนภายใน บลจ เดียวกันได้ เช่น ถ้าเรามีกอง LTS แล้วคิดว่าหุ้นน่าจะขึ้น เราสามารถสลับไปเป็นกอง LT2 ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนซื้อ
การค้นหา LTF ผ่านทางเว็บไซต์ morningstarthailand กองทุน LTF ในประเทศไทยมีหลากหลายกองมาก และแต่ละกองก็มีผลการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนใน LTF ก็ควรจะมีเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีคุณภาพได้ ซึ่งเว็บไซต์ morningstarthailand ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการคัดกรองกองทุนที่สนใจและใช้งานได้ไม่ยาก ซึ่งมีวิธีการใช้งานพื้นฐานดังนี้ - เข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.morningstarthailand.com/th/fundquickrank/default.aspx
- เลือก LTF แล้วคลิกปุ่ม GO
- คลิก Morning Star Rating เพื่อเรียงลำดับกองทุนผ่านทาง rating หลังจากนั้นผู้ลงทุนก็สามารถเลือกดูรายละเอียดของกองทุนที่ rating สูงๆ ได้
คำเตือน - rating เป็นการวัดผลการดำเนินงานในอดีตเทียบกับ benchmark ของกองทุนนั้นๆ ซึ่งไม่การันตีผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนที่ rating น้อยกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผลการดำเนินงานในอนาคตดีกว่า
- rating เป็นเพียงตัวช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ผู้ลงทนต้องทำการบ้านด้วยตัวเอง เช่น นโยบายการจ่ายปันผล ค่าบริหารจัดการ
อ้างอิงจาก http://piggyman007.BLOGSPOT.com/2010/02/ltf.html
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 54 22:41:51
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 54 22:39:18
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 54 22:38:22
แก้ไขเมื่อ 28 ต.ค. 54 22:33:23
จากคุณ |
:
dr_piggy
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ต.ค. 54 22:31:27
|
|
|
|