ความคิดเห็นที่ 1 หรือจะมองแบบนี้ (สมมติผมจะ open สัญญา ณ strike price ที่ต่ำกว่า 3 ขั้น) index ขึ้นแตะ 700 open long put @ strike price 670  สมมติต้องจ่าย premium 30 บาท  จะได้ผลตามกราฟ ผลที่ตามมาคือ ถ้าดัชนีขึ้นให้อยู่เฉยๆ ถ้าดัชนีลง และลงแตะ 600 ให้ open long call @ strike price 630 (premium ให้ดูเอา ณ ช่วงเวลานั้น) ถึงตรงนี้ระบบก็จะมีสองสัญญา เป็น long stradle ณ ช่วงเวลาที่ต่างกัน ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นสัญญาคู่อมตะ อย่างที่คุณหมอสัจจะได้กล่าวไว้หรือไม่ ก็อาจเป็นไปได้ แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:43:39

ความคิดเห็นที่ 2 เหตุการณ์  ไม่เหมือนเดิม จากคุณ : ศรัทธาดาวน์_7 เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 16:46:34

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเราใช้... long straddle นั่นก็เพื่อตัดปัญหาว่า...เราไม่มีความสามารถทำนายดัชนีในอนาคตได้..น่ะครับ ^ ^ ประโยคนี้... ไม่เป็นความจริง เพราะ ไม่ได้เป็นการตัดปัญหา แต่อย่างใด เนื่องจาก Long Straddle   ใช้บนความเชื่อที่ว่า ดัชนี จะ แกว่งตัวแรง ไม่ว่า ขึ้น หรือ ลง ตรงนี้ จึงถือว่า เป็นการคาดหมาย หรือ ทำนายดัชนี ในอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น ถ้าดัชนี แกว่งตัวในช่วงแคบๆ ก็อาจจะทำให้เสียค่า Premium ทั้งสองส่วน...ไปทั้งหมด นั่นเอง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 17:59:25

ความคิดเห็นที่ 4 #3 โทษทีครับ ผมอาจเขียนไม่ครบถ้วนตามทฤษฏี By having long positions in both call and put options, straddles can achieve large profits no matter which way the underlying stock price heads, provided the move is strong enough. ความเสี่ยงของ long straddle นั่นคือกรณีที่ตลาดไม่ bullish เลือกทางจน cover premium เพียงพอครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:21:24

ความคิดเห็นที่ 5 #1 เป็นการ Long Straddle ในช่วงเวลาที่ต่างกัน เหมือนกับว่า ในที่สุด ก็ไม่ต้องทำนาย หรือ คาดหมายดัชนี แต่แท้จริงแล้ว.... ไม่ใช่ เพราะถ้า การเปิด Long Put ครั้งแรก...ล้มเหลว คือ ดัชนีไม่ลงมา (เท่ากับ คาดหมายทิศทางดัชนีผิด) นั่นเท่ากับว่า Long Call ที่ 600 ย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือ ไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้น กำไร จากกรณีนี้ ไม่เกิดจาก... Long Straddle แต่เกิดจาก Long Put ในครั้งแรกนั้น ถูกทาง หรือ คาดหมายถูก นั่นเอง เพียงแต่ ใช้... Long Call มาเป็นเครื่องมือในการ ...ซื้อประกันกำไร ขั้นต้น ซ้อนเข้าไปอีกทีหนึ่ง หมายถึง ถ้าดัชนียังลงต่อ และ มากกว่า ค่า Premium ของ Long Call ที่ 600 กำไรในภาพรวม ก็ จะมากขึ้น แต่ถ้า ดัชนีดีดกลับไป สูงกว่า 600 มากๆ กำไร ในส่วน Long Put ที่ลดลง จะถูกชดเชย ด้วยกำไร จาก Long Call แทน ซึ่งในภาพรวม ไม่ว่า ดัชนีจะเคลื่อนไหวอย่างไร ... ก็ยังมีกำไรอยู่เสมอ ... ประมาณๆนี้ v v ยังไงลองฟัง ความเห็นท่านอื่น เพิ่มเติมด้วย ละกันครับ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:22:27

ความคิดเห็นที่ 6 #5 คุณ The Rounder อธิบายได้ตรงกับสิ่งที่ผมคิดเลยครับ ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ปล.คุณ The Rounder มีความเห็นอย่างไรกับ option ในตลาดบ้านเราครับ ? จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:27:11

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ เขียนได้เยี่ยมครับ แต่ give หมด เดี๋ยววันที่ 1 พย จะเอา give กลับมาให้นะครับ ^_^ จากคุณ : เม่าเริงร่า เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 18:40:18

ความคิดเห็นที่ 8 ขอมาแอบเรียนข้างห้องนะคับพี่เด็กวัด จากคุณ : เม่าอนุบาล เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 54 22:21:19

ความคิดเห็นที่ 9 -----การประยุกต์ 1 OPTION ใช้คู่ Future Set 50 /// 2 กลยุทธ์ ของออปชั่น---- จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 05:11:39

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านคร่าว ๆ บน iphone นะครับ อาจหลงประเด็นไปต้องขอโทษด้วย ------- กรณีของการซื้อ option แล้วทํา moving action ตาม ดัชนี (หรือ kzm ที่คุณบอก) เอางี้ครับ ราคา option ประกอบด้วย intrinsic value กับ time value ถ้า 1-2 เดือนก่อนหน้าดัชนี move แรง เฉลี่ยวันละ 20 มันจะทําให้ time value แพงขึ้นไปอีก ตย  ATM call ที่อายุ 3 เดือน อาจมีราคา 60 (เป็น time value ล้วน ๆ)โดยที่ภาวะปกติมันจะมีค่าประมาณ 30 กลยุธที่คุณใช้จะ ชนะได้เมื่อ volatility "แรงกว่าเดิม" เพราะtime value เกิดจาก ความคาดหวังของตลาด ต่อการแกว่งของ underlying asset โดยใช้ข้อมูลอดีต ร่วมกับ ระยะเวลาที่เหลือ แต่หาก การแกว่งลดลง เราจะแพ้ เพราะ มันแกว่งไม่ cover ค่า timevalue ที่เราจ่าย ลองคิดดูนะครับ. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนทํา short moving action จะชนะ (ทํา short straddle แบบที่คุณจะทํา long straddle) ---------- สุดท้าย ก็กลับมาที่ definition คือ straddle เป็นการ "เล่น" กับ  volatilityว่า จะแทงด้าน เหวี่ยงมาก หรือเหวี่ยงน้อย แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 54 07:22:59 จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 07:13:03

ความคิดเห็นที่ 11 จุดอ่อนของการนํา mechanical trading (แบบที่ ดัชนีมาถึงจุด trigger แล้ว ต้องaction)มาใช้กับ option คือ option มันมีหมดอายุ. และอายุมันมีผลต่อราคาของมัน และสิทธิของผู้ซื้อหรือขาย. จึงทําให้ไม่สามารถใช้ mechanical trading ได้เหมือนกับหุ้นหรือกองทุน จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 07:36:20

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณคุณkrit587 มากๆครับ จุดอ่อนของระบบเท่าที่เห็นก็คือ 1.premium 2.time value 3.expire date เรื่องจริงผมอยากซื้อ option มาเพื่อทำการ hedge port KZM tdex ของผมน่ะครับ คุณkrit587 พอมีคำแนะนำบ้างไหมครับ เบื้องต้นผมจะนำเฉพาะกำไรมาเล่นก่อนเท่านั้นครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 10:27:26

ความคิดเห็นที่ 13 combination play ของ stock(หรือ underlying asset) กับ option เนี่ยเขียนเป็นบทได้ 1 บทเลยนะครับ แต่หลักง่าย ๆ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ แตะ underlying กับไม่แตะ underlying สงสัยต้องไปเปิด page บน facebook คุยกันแล้วครับ ------- พอดีอยู่ตจว. ครับ เดี๋ยวถึงที่พักจะคุยต่อ จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 11:17:58

ความคิดเห็นที่ 14 ผมลองคิดเล่นๆ สมมติผมซื้อ tdex โซนละ 20,000 หุ้น ราคา 4 5 6 7 8 (มีหุ้นเก็บไว้ในพอร์ทครบหมดแล้ว) และผมจะนำ option มาประยุกต์ใช้เพื่อการ hedge พอร์ทโดยมีแนวคิดดังนี้ เมื่อราคาถึง 7 บาท ขายออก 20,000 หุ้น พร้อมกับเปิด long put@700 (โดยตัดปัจจัยเรื่อง premium ออกไปก่อน) ถ้าหุ้นขึ้น ได้รอขายไม้ 8 บาท ถ้าหุ้นลง ได้รอซื้อคืนไม้ 6 บาทพร้อม profit จาก option ถ้า 7 ลงมา 6 และคิดจาก option จุดละ 200 จะได้เงินคืน 20,000 บาท (แต่ในความเป็นจริงต้องลบ premium ออกก่อน) แม้ท้ายที่สุดจะลงไม่ถึง 6 แต่ถือจนหมดอายุสัญญาอาจจะได้กำไรคืนมาบ้างนิดหน่อย ยกเว้นถ้าหุ้นขึ้นก็ขายทำกำไร tdex ตามปกติ ส่วน option ที่ซื้อไว้ก็ต้องถือว่าได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีแล้ว คุณ krit587 มีคำแนะนำอย่างไรบ้างครับ ? ปล.ผมไม่กล้าเล่น open short ครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 11:35:16

ความคิดเห็นที่ 15 #13 ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ผมอยากได้รับความรู้เรื่อง "แตะ underlying กับไม่แตะ underlying"  รบกวนคุณ  krit587 ให้คำแนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 11:37:10

ความคิดเห็นที่ 16 #6 ปล.คุณ The Rounder มีความเห็นอย่างไรกับ option ในตลาดบ้านเราครับ ? ^ ^ สภาพคล่องน้อยเกินไป อยากให้มี Maket Maker มาดูแลในช่วงแรก เนื่องจาก การกำหนดราคา Premium ที่เหมาะสม เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน พอสมควร คน Bid  ก็อยากได้ราคาต่ำมากๆ คน Offer ก็อยากได้ราคาสูงมากๆ ส่วนหนึ่ง เพราะสภาพคล่องมีน้อย จึงเสนอราคา ที่รวมค่าชดเชยตรงนี้ไว้ด้วย ถ้าไม่มี Maket Maker มาให้ราคาดุลยภาพ ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง ตลาด Options -ของไทย น่าจะโตยาก เพราะ Options ไม่เหมือน Futures ที่ราคาอิงกับ  Underlying Assets ซึ่งจะง่ายต่อการ ทำความเข้าใจ วางแผน และ ตัดสินใจ v v ประมาณๆนี้ ครับ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 13:45:56

ความคิดเห็นที่ 17 ขอแชร์พี่เด็กวัดนะครับ นับวันพี่ยิ่งล้ำลึกเข้าไปทุกทีจะตามไม่ทันแล้วครับ หลังจากไปใช้หมองนั่งมาธิมา พอจะจับประเด็นสำคัญของพี่ได้คือ จะเอา Option มา Hedge KZM TDEX จากที่เคยคุยกันไว้ ว่า 1) TDEX 20000 เทียบเท่า Option 1 สัญญา 2) KZM มันมี กอง B กับ กอง D ช่วย Hedge อยู่ในตัวแล้ว 3) กอง C กับ D เล่น ตาม Graph ขาขึ้นโดย เอา MA5 เป็น indy 4) ปัญหาของ Option คือเรื่องวันหมดอายุ แต่ KZM concept คือไม่ cutloss งั้นผมมองอย่างนี้ครับ กอง A B ก็เล่นเหมือนเดิม คือ A : ซื้อตามโซน B : ซื้อพร้อม A ถ้ามีกำไรในวัน ให้ Take profit เพื่อ hedge ให้ A ผิดทาง ไม่ Cut loss ผมเสนอให้ เอา Optioin มาแทนกอง C และ D ครับ เหตุผล คือ 1) กอง C D มีหน้าที่เก็งกำไร ไม่ได้มีหน้าที่ สะสม Asset และไม่จำเป็นต้องเล่น ขาขึ้นอย่างเดียว 2) กอง C D เล่นตาม graph ดังนั้นเล่นสั้นอยู่แล้ว อนุมานได้ว่า เราต้องปิดมันก่อนหมดอายุ ต่อให้เป็น TDEX ก็คิดว่าไม่น่าจะถือเกิน 3 เดือน ถ้าอย่างนั้น 3) graph บอกขึ้น ผม Long call 2 สัญญา มีกำไรในวัน ปิด 1 สํญญา เป็นการเร่งอัตรากำไร KZM ใน ตลาดกระทิง 4) graph บอกขึ้น ผม Long Put 2 สัญญา มีกำไรในวัน ปิด 1 สํญญา เป็นการ hedge KZM ใน ตลาดหมี ถ้าจำไม่ผิด KZM บอกอย่าคาดเดาตลาดซื้อแบบไร้อารมณ์ แต่ผมว่า กอง C D น่าจะเป็นการคาดเดาตลาดนะครับ ผมว่าวิธีนี้ไม่น่าจะผิด Concept ของ KZM จากคุณ : vanetwork เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 13:49:28

ความคิดเห็นที่ 18 http://www.youtube.com/watch?v=5OY9OzU3mqA                                                                                                               . จากคุณ : ศรัทธาดาวน์_7 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 14:04:09

ความคิดเห็นที่ 19 เนื่องจากการประยุกต์ tdex ให้เกี่ยวข้องกับ option มีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่พร้อมต่อสมมติฐาน เช่น ค่า premium และอายุคงเหลือของสัญญา ดังนั้น หากยึดแนวคิดเดิม แต่เปลี่ยนจาก tdex และ option มาเป็น stock และ stock future เช่น KTB พอจะมีทางสว่างเพิ่มมากขึ้นไหม ? แนวคิดคือ ตั้งโซน KTB ละ 1 จุดราคา 10 11 12 13 ... 20 สมมติซื้อได้ 14 และถือไว้จนแตะ 15 เพื่อขาย เมื่อราคาถึง 15 จึง open short @ 15 เพื่อ hedge port พร้อมกับซื้อ 15 เข้าพอร์ท KTB ราคา 15 ถือไว้ในพอร์ท พร้อมทั้งสัญญา open short @15 ถ้าราคาถึง 16 ขายทำกำไร แต่ขาดทุน future 1 จุด ทางเลือกคือ 1. open short @16 2. ซื้อ KTB 16 เข้าพอร์ท โดยสัญญาที่เล่นจะเล่น series ที่เราสามารถถือยาวๆได้ เช่นมากกว่า 100 วันเป็นต้น ภาพรวมที่มองเห็นคือ หุ้นขึ้นได้ทำกำไรหุ้น ได้ซื้อหุ้นเพิ่ม หุ้นลงได้กำไรจากการ hedge short ktb และได้ซื้อหุ้นคืนในตำแหน่งด้านล่าง พี่ๆมีความเห็นอย่างไรครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 14:21:06

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ krit587 ครับ ผมเข้าไปอ่าน entry ใน blog แล้วได้แนวคิดเพิ่มขึ้นมาก ขออนุญาต mark ไว้ที่กระทู้นี้นะครับ  ที่ถูกที่สุด (ในความคิดของผม) คือ เปิดแค่ 1 action ครับ แล้วเมื่อมันขยับ เราค่อยปล่อย action ที่ 2 เช่น ถ้าเริ่มที่ long put ถ้าดัชนีตก ๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ ถึงจุดที่เราok แล้ว ก็จะ short put ATM ตอนนั้น ก้คือมีแต่กำไรมากหรือกำไรน้อยเท่านั้น (กรณี เวลาคงเหลือยังอีกนาน time value ยังแพง) แต่หากกำไรเยอะ แต่เวลาเหลือน้อย ก็จะทำ long strangle คือ ซื้อ call ที่ ATM (ซึ่งไม่แพงมาก เพราะจะหมดอายุแล้ว) ก็เป็นการlock กำไรอีกแบบนึง  การเปิด action เดียว ไม่ได้แปลว่าเปิด contract เดียวนะครับ อาจ long put 20 สัญญาเลยก็ได้ ยิ่งเปิดเยอะมันก็มีเทคนิคย่อย ๆ เช่น พอดัชนีลด 10 จุด ก็ short put ATM ซะ 25% (เช่น 5 สัญญา) ถ้ามันยังลงไปอีก ก็ short put ATM อีกซัก 25% และยังลงไปอีก 10 จุด คราวนี้ short ให้หมดเลย ก็จะได้การกระจายความเสี่ยงที่ดี ตัวอย่าง  ปกติ ATM ของ option จะ มี time value เดือนที่ 1 = 30 เดือนที่ 2 = 20 และเดือนสุดท้ายเท่ากับ 10 (หมายถึงต้นเดือน) ให้ set50 อยู่ที่ 640  จะประมาณค่าเมื่อเริ่มเดือนแรก ของcall640 และ put640 ที่ 30 สมมุติว่าเราเปิด p640 ที่ 30 เสียเงินไป 30 (หรือ 30x200=6000 บาท) ถ้าในเดือนแรก ผ่านไป 2 wk ดัชนี set50 ไปที่ 610  ATM ณเวลานั้นก็คือ 610 และให้ time value เหลือ 25 (ครึ่งนึงของเดือน) P610 ควรจะมีราคาที่ 25  และถ้าเราคิดว่า ดัชนีมันไม่น่าจะลงอีกแล้ว และต้องการ lock กำไร เราก็ short put610 ได้เงินคืนมา 25 (หรือ 5000 บาท)  ถ้าไปทำ pay out table จะได้ว่า strategic play ที่ำเราทำ ถ้าถือจนหมดอายุ หากดัชนีต่ำกว่า 610 เราจะได้ 25 หน่วย หรือ 5000 บาท (best case) แต่หากดัชนีเด้งกลับไปสูงกว่า 635 เราจะเสีย 5 หน่วย หรือ -1000 บาท (worst case) ประเด็นมี  ทำไมไม่ปิด P640 ไปเลย   ก็มี 2 เรื่องคือ เมื่อ ดัชนีมันลงไปถึง 610  ตัว P640 มันไม่ได้เพิ่มขึ้น 30 หน่วย แต่มันเพิ่มน้อยกว่านั้น (คุณสมบัติของ delta) ประมาณว่าเพิ่มไปซัก 20 หน่วย หากขายได้ ก็ได้กำไร 20 หน่วย หรือ 4000 บาท แต่ปัญหาคือ มันไม่ค่อยมีคนมา bid ให้เราขาย ถ้าจะขาย บางทีอาจได้น้อยกว่าที่คิด  ในขณะที่ การทำ bear put (ก็คือที่อธิบายข้างต้น)เสียส่วนต่าง spread น้อยกว่า เพราะเป็น strike price ที่ active ทำ bear put  แล้วยังมีโอกาสขาดทุนอีก 1,000 บาท อย่างนี้ทำไปทำไม   คำตอบคือ ถ้าไม่ทำ เวลาที่ดัชนีมันขึ้นกลับไปที่ 635 แล้วหมดอายุที่ตรงนั้น กลายเป็นวา เราขาดทุน 25 หน่วย หรือ 5000 บาททีเดียว ก็ต้องชั่งใจระหว่าง 5000/-1000 กับ  unlimit gain/-6000  ว่าอะไรดีกว่ากัน แต่อย่าลืมว่า ณดัชนีที่ 610  p640 ของเรา มีกำไร ณวันหมดอายุคือ 0 บาท แต่กรณี bear put P640/P610 เรามีกำไร ณ วันหมดอายุอยู่ 5000 บาท  ประเด็นสุดท้าย พอทำ strategic เสร็จ แล้วไงต่อ คำตอบคือ ลืมมันไปเสีย ไปทำอย่างอื่นต่อ ขยายเพิ่มเติมคือ พอเราทำ strategic bear put เสร็จ  เงินส่วนนึงจะถูกกลับมาใน port ทำให้ purchasing power เราสูงขึ้น (แต่ไม่เท่ากับการขาย put ปิดสถานะเลย อันนั้นเงินกลับมาเต็มพร้อมกำไร)  เราก็ วางแผนอันใหม่ต่อ ว่าดัชนีจะขึ้นหรือลง โดยที่การตัดสินใจลงทุนครั้งใหม่ ไม่ควรจะใช้สมมุติฐานของ strategic play ชุดเดิมมาเกี่ยวข้อง เพราะชุดเดิมจบไปแล้ว เพราะหากเอามาคิด port เราจะซับซ้อนมากขึ้น และจะเริ่มงง และจะไม่รู้แล้วว่า จะทำยังไงต่อ จากคุณ : เด็กวัดบ้านนอก เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 15:24:29

ความคิดเห็นที่ 21 ลองเขียนดูนะครับ จากคุณ : krit587 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 54 18:39:00