 |
copy มาตรงที่เกี่ยวกับการเพิ่มพูนความรวย
ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความนี้ ผมก็ได้ตรวจสอบดู Portfolio ของ Berkshire Hathaway อย่างละเอียด ตลอดจนตรวจดูงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงินล่าสุด เท่าที่จะมีข้อมูลให้อ้างอิงได้ ทั้งจาก Annual Report ปีล่าสุด และจาก Edgar ไฟล์ของหน่วยงาน ก.ล.ต. (SEC) ของสหรัฐฯ ตลอดจนได้อ่าน Chairman’s Letter ฉบับล่าสุดและ Owner-Related Business Principles ฉบับอัพเดตทั้ง 15 ข้อ อันโด่งดัง ที่บัฟเฟตอ้างว่าเขาเขียนเอง และที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ย่อมเป็น Observations ของผมเอง ที่แม้ผู้รู้หลายท่านอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า มันจะเพิ่มเติมมุมมองใหม่ๆ ให้กับท่านไม่มากก็น้อย ถ้าท่านเป็นผู้ที่ฝักใฝ่สนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการ “หาทรัพย์” “ใช้ทรัพย์” “เพิ่มพูนทรัพย์” หรือต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่ต้องรักษาไว้ซึ่ง “ความมั่งคั่ง” (Wealth) ของครอบครัวหรือองค์กรของท่าน มิให้เสื่อมค่าลงตามกาลเวลาและอัตราเงินเฟ้อ คนรวย เนื่องเพราะผมไม่ใช่คนรวยและมิได้เกิดมารวย เพราะฉะนั้น ความเข้าใจต่อ “ความรวย” สำหรับผม ย่อมได้มาจากการอ่าน สังเกต ศึกษา เรียนรู้ สอบถาม แลกเปลี่ยน คิดหาเหตุผล และจินตนาการเอาเอง นานมาแล้ว สมัยที่ผมยังหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็น Investment Banker หัวหน้าผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็น Banker ที่เก่ง เคยบอกกับผมว่า “คนรวยจริงนั้นต้องรวยด้วย Wealth มิใช่รวยด้วย Income” และ นับแต่นั้น แม้จะฟังดูกำกวมอยู่บ้างในตอนแรก ผมก็ได้ยึดถือเอาคำพูดประโยคดังกล่าวเป็น Core Concept เสมอมา เมื่อต้อง Observe อะไรที่เกี่ยวกับทรัพย์หรือเกี่ยวกับความร่ำรวยหรือความมั่งคั่งของผู้คน และในฐานะที่ผมเป็นนักข่าวสายธุรกิจ เศรษฐกิจ และการจัดการ ผมย่อมต้องเคยพูดคุยกับคนรวยจำนวนมาก เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนและการบริหารสินทรัพย์หรือ หนี้สิน ตลอดจนสไตล์การใช้ชีวิตของคนเหล่านั้น ทั้งที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ๆ นักการเงิน นักลงทุน นักอุตสาหกรรม นักการเมือง เทคโนแครต หรือ Entrepreneur ที่เก่ง อีกทั้งยังเคยเห็นของมีค่ามาแล้วก็ไม่น้อย ทั้งของสะสม, Luxury Estate, Precious Metals, Arts และ Collectible Items อื่นๆ ที่ผู้คนคิดว่ามันจะสามารถ Store Value ของความมั่งคั่งไว้ได้ สุดท้าย ผมก็พบว่าคำกล่าวนั้นเป็นความจริง เพราะหลายคนที่ผมเคยพบ แม้จะมีรถยนต์จำนวนมาก แต่ก็ใช้ได้จริงทีละคัน แม้จะมีเครื่องเสียงและแผ่นเสียงมีค่าจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ก็ฟังได้จริงทีละชุดและทีละแผ่น แม้จะมีเครื่องเพชรละลานตา แต่ก็ใส่ออกงานได้จริงวันละไม่กี่ชุด ฯลฯ หรือ One at a time และแม้จะมีเงินจำนวนมหาศาล ทว่า 90% ของเงินที่มีอยู่ กลับไม่เคยถูกนำมาใช้กินใช้อยู่ใช้เที่ยวหรือเพื่อการใช้ชีวิตหรือดำรงชีวิต ประจำวันแต่อย่างใด เพราะคนเราจะกินอยู่กันซักเท่าไหร่กันเชียว วันๆ หนึ่ง ผมสังเกตว่า Bill Gates ตอนที่มาเมืองไทยก็พักอยู่ที่ดุสิตธานี เมื่อคิดดูให้ละเอียดก็จะเห็นว่าดุสิตธานีนั้นอยู่ไม่ไกลไปจากซอยงามดูพลี ที่ฝรั่งขี้นกชอบมาพักกันไม่เท่าไหร่ หรือเมื่อเขาไปภูเก็ต เขาก็เพียงอยู่กันคนละหาดกับบรรดาฝรั่งขี้นกพวกนั้น ผมว่าชีวิตประจำวันก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ที่ต่างกันมากมายมหาศาล ย่อมเป็น “เลขศูนย์” หรือ “เลขหลัก..” (000,000,000,000,000...) ที่ต่อท้ายตัวเลขในสมุดเงินฝาก (หรือในบัญชี Net Worth) นั่นแหละ ซึ่งหลักศูนย์จำนวนมากที่มาต่อท้ายนี้ เป็นสิ่งที่พึงปรารถณาของคนทั่วไป เพราะมันสามารถดลบันดาลให้ได้ครอบครองและบริโภคของดี ของหายาก ของแพง ของที่อยากได้ หรือแม้แต่จะให้ทานใครทีละมากๆ ฯลฯ ก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด...นั่นเป็นข้อดึของความรวย ผมสังเกตว่าคนรวยในโลกเดี๋ยวนี้ รวยกันทีเป็นหลักแสนล้านหรือล้านล้าน มิใช่ร้อยล้านหรือ Millionaire เหมือนเมื่อก่อน และแทบทั้งหมด (ถ้าไม่นับ Royal Family) ย่อมรวยด้วยการถือครองหุ้นในกิจการหรือกลุ่มกิจการของตัวเอง มิได้รวยขึ้นมาด้วยการถือครองที่ดิน หรือทรัพย์สินอื่น (แม้แต่ Government Bonds หรือ Treasury Bills ก็ตามที) หรือด้วย Stream of Incomes ที่แม้จะมีมาหลายทาง ก็รวมแล้วไม่มีทางเทียบได้กับ Market Capitalization ของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง Bill Gates ก็รวยขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นของโลกเพราะถือหุ้น Microsoft ที่ราคาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีแรก นั่นนับเป็นแกนหลักของความรวยของเขาที่ตอนหลังคืบคลานไปถือสินทรัพย์อย่าง อื่นด้วย หรืออย่าง "มหาเศรษฐีข้ามวัน" รุ่นใหม่จำนวนมาก Yahoo!, Google, eBay, YouTube, Netscape, MySpace, Amazon, Starbuck, Wal-Mart, Murdoch ฯลฯ ที่รวยขึ้นมาจากกิจการไฮเทคหรือแม้แต่พวก Hedge Fund และ Private Equity ที่มักต้องเก็บตัวรวยแบบเงียบๆ ก็ล้วนรวยมาจากมูลค่าหุ้นทั้งนั้นแหละ นั่นเป็นเพราะหุ้นมันมี “ตัวคูณ” ระบบทุนนิยมมันอนุญาตให้ตลาดหุ้นสร้าง “ตัวคูณ” ให้กับสินทรัพย์และรายได้ เพื่อให้เกิด “ความมั่งคั่ง” อีกระนาบหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นความมั่งคั่งในระดับ “อภิมหา” หรือ Super Rich Warren Buffet ก็ใช้วิธีการนี้มาตั้งแต่แรกและใช้มาก่อนใครเพื่อน นั่นเป็นเพราะเขาค้นพบความลับของ “ตัวคูณ” มาตั้งแต่เขายังเรียนหนังสืออยู่กับ Bill Graham ที่โคลัมเบียเมื่อยังเด็ก ดังนั้น เมื่อเขาได้ของมีค่ามา แม้ว่าจะเป็นที่ดิน อาคาร โรงงาน กิจการ หรือธุรกิจที่มีกำไร กระแสเงินสด และมีศักยภาพแห่งรายได้ เขาย่อมไม่ “กั๊ก” ไว้เอง เขาย่อมใส่เข้าไปใน Berkshier Hathaway หมด เพื่อสร้างตัวคูณให้กับหุ้น Bershire แล้วค่อยรอกินจาก “ยอด” นั้น ซึ่งวิธีนี้สำหรับเขา มันพิสูจน์ให้เห็นตำตาแล้วว่ามันได้โป่งขึ้นเป็นแสนเท่า เขากล่าวไว้ใน Annual Report ฉบับล่าสุดว่า “In line with Berkshire’s owner-orientation, most of our directors have a major portion of their net worth invested in the company. We eat our own cooking. Charlie’s family (หมายถึง Charlie Munger มือขวาของเขา--ทักษ์ศิล) has 80% or more of its net worth in Berkshire shares; I have more than 98% In addition, many of my relatives - my sisters and cousins, for example - keep a huge portion of their net worth in Berkshire stock. Charlie and I feel totally comfortable with this eggs-in-one-basket situation because Berkshire itself owns a wide variety of truly extraordinary businesses...... Charlie and I cannot promise you result. But we can guarantee that your financial fortunes will move in lockstep with ours...(..)...Moreover, when I do something dumb, I want you to be able to derive some solace from the fact that my financial suffering is proportional to yours.” (Berkshire Hathaway Inc., 2009 Annual Report, P.89) เก๋มะ! คำพูดเนี่ย ตัวคูณ เห็นมั้ยครับว่า Buffet คิดไม่เหมือนเศรษฐีไทย ซึ่งร้อยทั้งร้อยมุ่งเน้นแต่เรื่อง Cashflow และ Stream of Income แต่ต่อยอดไปสู่กระบวนทัศน์ของ “ตัวคูณ” ไม่ค่อยเก่ง ยกเว้นคนรุ่น ทักษิณ ชินวัตร สนธิ ลิ้มทองกุล สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง อนันต์ อัศวโภคิณ ฯลฯ เหล่านี้ที่โผล่ขึ้นมาในยุคเงินท่วมประเทศ และอาศัยตัวคูณในตลาดหุ้นต่อยอดให้ตัวเองอย่างโฉ่งฉ่าง โดยที่บางคนก็สำเร็จ บางคนก็ล้มเหลว (ถ้าดูให้ดี จะเห็นว่าเศรษฐีใหม่อย่าง ตัน ภาสกรนที ก็ Breakthrough ขึ้นมาได้เพราะหุ้นเหมือนกัน) เศรษฐีไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่ แม้ว่าจะเคยลิ้มลองรสชาติของ “ตัวคูณ” กันมาแล้วแทบทุกคน แต่นิสัยพื้นฐานลึกๆ มักจะคล้ายคลึงกัน คือนิยมที่จะรักษาความมั่งคั่งไว้กับที่ดิน อาคาร ทองคำ และเงินฝากธนาคารเสียมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นคนในตระกุลเศรษฐีประเภท “ของจริง” ที่สังคมรู้จักกันดี อย่างโสภณพนิชหรือเจียรวนนท์ พวกเขาย่อมเข้าใจมหัศจรรย์ของ “ตัวคูณ” เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้ถือเรื่องดังกล่าวเป็น Priority หลักของครอบครัว และไม่ได้หมกมุ่นกับมันเหมือน Buffet (เช่นเดียวกับอีกหลายตระกูลที่รวยมาก่อนหน้านี้ก็เช่นเดียวกัน จนสุดท้ายความมั่งคั่งที่เคยกระจุกตัวอยู่ในตระกูลก็ถูกแบ่งแยกแจกจ่ายกันไป ในหมู่สมาชิกรุ่นต่อมาจนทำให้ตระกูลไม่สามารถสืบทอดความมั่งคั่งต่อไปได้ และต้องกระเด็นออกจากทำเนียบมหาเศรษฐีไปโดยปริยาย) นั่นอาจเป็นเพราะวิธีคิดแบบคนจีนที่ถึงแม้จะชอบความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เมื่อรวยแล้วก็จะไม่กล้าไปแบบสุดๆ เหมือนฝรั่ง ในเชิงเทคนิคแล้ว “ตัวคูณ” ของราคาหุ้นย่อมมีพื้นฐานมาจากรายได้ กำไร และกระแสเงินสดของกิจการนั่นเอง ทว่า เื่มื่อถูกนำมาปรุงแต่งอย่างเหมาะสมด้วยมือของผู้ชำนาญแล้ว กำไรหรือกระแสเงินสดหรือ Book Value เพียง 1 บาท สามารถเป็นสปริงบอร์ดให้ราคาหุ้นของกิจการนั้นๆ มีค่าเป็นสิบเป็นร้อยได้ ซึ่งนักลงทุนเรียกมันว่า P/E Ratio บ้าง P/Cashflow บ้าง P/BV บ้าง หรือ P/NPV บ้าง โดยมันจะสูงจะต่ำ ย่อมขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ และจิตวิทยาของผู้ลงทุนในขณะนั้น ตลอดจนทัศนคติและความคาดหวังหรือภาพอนาคตของกิจการนั้นๆ ที่ผุดขึ้นในใจผู้ลงทุนในขณะดังกล่าวด้วย ในกรณีของ Buffet เขาตัดสินใจใช้ Net Worth เป็นตัวตั้ง กล่าวคือใช้ Per-Share Book Value เป็นตัวแสดงถึงความสำเร็จและความมั่งคั่งของ Berkshire เช่นในหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด เขาขึ้นต้นย่อหน้าแรกด้วยประโยคนี้ว่า “ระหว่างปี 2009 ที่ผ่านมา Net Worth ของ Berkshire เพิ่มขึ้นถึง 21.8 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ Per-Share Book Value เพิ่มขึ้นถึง 19.8% ต่อหุ้น” นั่นแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับมันเหนือสิ่งอื่นใด เขาว่า Per-Share Book Value นี่แหละที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของ “Intrinsic Value” หรือมูลค่าที่แท้จริงซึ่งเป็นหัวใจของการประเมินค่ากิจการและเงินลงทุนทั้งหมดของเขา ซึ่งเขาเรียนมาจากอาจารย์ Graham อีกทอดหนึ่ง Buffet เขียนไว้เองว่า “Intrinsic value is an all-important concept that offers the only logical approach to evaluating the relative attractiveness of investment and businesses. Intrinsic value can be defined simply: It is the discounted value of the cash that can be taken out of a business during its remaining life.” (P.92, เส้นใต้นั้นผมขีดเอง) เห็นหรือยังครับว่าวิธีการมอง “มูลค่า” หรือ “คุณค่า” ของเขามีหลักยังไง จึงไม่แปลกที่ Buffet จะมีความสามารถพิเศษในการ “เล่าเรื่อง” หรือ “Tell Stories” เพราะเขาจำต้องสร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนและตลาดหุ้น เขาต้องสร้างภาพในใจคนเหล่านั้น ให้เห็นว่าวิธีการที่เขาทำอยู่ (ที่สามารถชักชวนเอากิจการดีๆ ภายใต้ผู้บริหารที่เก่งกาจ ที่มีศักยภาพที่จะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากฉีดเข้ามาในพอร์ตของ Berkshire อยู่ตลอดเวลา) จะนำไปสู่การเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับ Berkshire Hathaway ในอนาคต ยิ่งนักลงทุนและตลาดมีความคาดหวังสูงมากเพียงใด ยิ่งภาพที่ผุดขึ้นในใจคนเหล่านั้นเริดหรูเพียงใด “ตัวคูณ” ของหุ้น Berkshire ในปัจจุบันย่อมสูงตามไปด้วย
จากคุณ |
:
Ii'8N
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ย. 54 07:25:00
|
|
|
|
 |