Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คิดแบบ VI/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50529
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor               20 พฤศจิกายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


  สิ่งสำคัญที่สุดของการลงทุนคือ  ความคิด  ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอะไรที่ความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับความคิดมากเท่ากับ  การลงทุน  คำพูดที่ว่า  “คิดแล้วรวย”  นั้น   เป็นความจริงที่สุดในเรื่องของการลงทุนเมื่อเราคิดถูก  แต่ถ้าคิดผิด  นอกจากจะไม่รวยแล้ว  เราก็จะจนลงไปด้วย  ดังนั้น  หากจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ  เราต้องคิดให้ถูก   แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น  เราควรรู้ว่าจะคิดอย่างไรหรือคิดแบบไหน  ข้อเสนอของผมก็คือ  ถ้าเราจะรวยจากตลาดหุ้นแบบ Value Investor  เราควรจะคิดแบบ  VI ซึ่งมีวิธีคิดดังต่อไปนี้

  ข้อแรกที่สำคัญมากก็คือ  ความคิดของเราต้องไม่ลำเอียง  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เพราะถ้าเราลำเอียงแล้ว  เราก็จะคิดผิดได้ง่าย  ความลำเอียงนั้นมักจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกชอบหรือเกลียดที่เรามีต่อสิ่งที่เราคิด   ความรู้สึกชอบหรือเกลียดนั้นบ่อยครั้งเกิดจากประสบการณ์  การเลี้ยงดูอบรม  พื้นเพหรือฐานะของเราในสังคมที่อาจจะหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็ก  นอกจากนั้น  ความลำเอียงยังอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากเราไม่ได้คิดเองแต่ถูกชักนำโดยคนอื่นที่มีความคิดที่ลำเอียง

  ตัวอย่างง่าย ๆ  ถ้าเราเป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดี   เรามักจะใช้สินค้าที่มีคุณภาพสูงมีบริการที่ดีดังนั้นเราจึงมักจะเข้าห้างที่เน้นขายสินค้าในระดับเดียวกัน  เรารู้สึกพอใจกับสินค้าและบริการ  แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นบ้างแต่เราก็ไม่คำนึงถึง  เราสรุปว่าห้างนี้ “ดี”    แต่ในบางครั้ง  เราก็ไปห้างที่ขายสินค้าให้กับคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเราเป็นหลัก  เราเข้าไปก็พบว่าสินค้าที่ต้องการมี “ไม่ค่อยครบ”  คุณภาพก็  “ดูไม่ดี”  บริการก็ “ไม่ประทับใจ”  เรารู้สึกว่าห้างนี้  “ไม่ดี”  ถ้าไม่จำเป็นเราคงไม่ค่อยอยากมาใช้บริการ  และใจเราก็คงคิดว่า  คนอื่นก็น่าจะคิดเหมือนเรา  เราลืมไปหรืออาจไม่ทันคิดว่า  ราคาสินค้านั้นอาจจะถูกกว่าร้านที่เราใช้ประจำ  แต่ถึงจะรู้  มันก็ “ไม่น่าสนใจ”   ดังนั้นคนอื่นก็คงไม่สนใจเหมือนกัน  ว่าที่จริง  เวลาที่เราคุยกับคนอื่นที่เป็นเพื่อนกัน  เขาก็มีความเห็นคล้าย ๆ  กันว่าห้างแรกดีแต่ห้างหลังห่วย   สิ่งนี้ยืนยันกับเราว่าความคิดของเราเกี่ยวกับสถานะของห้างทั้งสองแห่งนั้นถูกต้อง  แต่เราลืมคิดไปว่า  คนที่เราคุยด้วยนั้น  ก็มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมคล้าย ๆ  กับเรา  เขาเองก็มีความลำเอียง  ถ้าเราไปคุยกับคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าเรา  เราอาจจะได้ภาพอีกภาพหนึ่งที่ตรงกันข้าม  นั่นคือ  “ห้างหลังดีกว่าห้างแรก”  อย่างไรก็ตาม  น้อยครั้งที่เราจะได้คุยกับคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่างกับเรามากถ้าคุณไม่ตั้งใจจริง ๆ

  คิดแบบ VI ข้อสอง  นั้น  ผมคิดว่าต้อง  คิดยาว  และ  หลายชั้น  มองทะลุให้เห็นถึง  “พื้นฐาน”  จริง ๆ  ของเรื่องต่าง ๆ   เหตุผลก็คือ  สิ่งที่เราเห็นชัดเจนนั้น  ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลหรือเป็นเรื่องปลายทางหรือบางทีเป็น   “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำทะเล   ถ้าเราวิเคราะห์เฉพาะจากสิ่งที่เราเห็น  เราจะไม่เข้าใจพลังหรือปัจจัยสำคัญที่กำหนดให้มันเป็นอย่างนั้น    การวิเคราะห์ย้อนหลังจนถึงพื้นฐานสำคัญอย่างเดียวคงไม่พอ  เราจะต้องวิเคราะห์ต่อไปข้างหน้าหรือมองไปในอนาคตด้วยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป  ถ้าพื้นฐานไม่แน่น  อนาคตก็คงไม่แน่นอน  ตรงกันข้าม  ถ้าพื้นฐานใหญ่มาก  อนาคตก็คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย  ลองนึกภาพดูว่าถ้าเราเห็นก้อนน้ำแข็งอยู่เหนือน้ำ  มันอาจจะเป็นก้อนน้ำแข็งที่ไม่มีฐานเลยและพร้อมจะล่องลอยไปมา  หรือมันอาจจะเป็นปลายของภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีทางเคลื่อนไปไหนได้เลยก็ได้

  การคิดยาวและหลายชั้นนั้นจะทำให้เรารู้ว่าการเติบโตและผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวจะเป็นอย่างไรซึ่งจะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าหุ้นของบริษัทคุ้มค่าไหมเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เห็นด้วยความมั่นใจที่สูงเพราะมันมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและใหญ่โตรองรับ   ตรงกันข้าม  ถ้าเราวิเคราะห์แล้วพบว่าสิ่งที่เราเห็นนั้น  ถึงแม้จะดูยิ่งใหญ่  แต่พื้นฐานจริง ๆ  ง่อนแง่น  อนาคตคงยากที่จะทำนาย  แบบนี้การลงทุนก็เป็นความเสี่ยง  การให้มูลค่ากับมันก็จะต้องไม่สูง   และเราจะต้องเข้าใจว่าถ้าเราจะซื้อหุ้น  มันก็อาจจะเป็นเรื่องของการ  “เก็งกำไร”  

  คิดแบบ VI  ข้อสามก็คือ  คิดถึงเรื่องการแข่งขัน  นี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เพราะธุรกิจทุกประเภทนั้น  โดยเนื้อหาจริง ๆ  แล้วก็คือการแข่งขัน  “ผู้ชนะ”  มักจะร่ำรวยมั่งคั่งและเติบโตขึ้น   “ผู้แพ้” มักจะจนลงหรือบางทีก็ล้มหายตายจากไป  ว่าที่จริงไม่ใช่เฉพาะธุรกิจ  แทบทุกอย่างที่มีชีวิตในโลกนี้ต่างก็ต้องแข่งขันหรือต่อสู้เอาตัวรอดและเติบโตขึ้นทั้งสิ้น  คนบางคนหรือบางธุรกิจอาจจะบอกว่า  “ไม่ต้องหรือไม่ได้แข่งขันกับใคร”  นี่เป็นคำพูดที่มีความเป็นจริงน้อยมาก  เขาอาจจะไม่ตระหนักว่ากำลังแข่งขันเพราะไม่มีคู่แข่งให้เห็นชัดเจน  ยกตัวอย่างดารานักแสดงนั้น  ในชีวิตอาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้แข่งประกวดกับใครที่ไหน  แต่จริง ๆ  แล้วทุกคนแข่งขันกันหนักมากในการที่จะ  “แย่งชิงคนดู”  

  การวิเคราะห์โดยใช้โมเดลการแข่งขันนั้น   จะทำให้เรารู้และเข้าใจธุรกิจและชีวิตที่ดีขึ้นมาก  ประเด็นสำคัญก็คือ  มันจะทำให้เรารู้ว่าใครจะเฟื่องฟูและใครจะตกต่ำลงในอนาคต  หัวใจก็คือ  คนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงเนื่องจากมีความ “ได้เปรียบ”  ก็จะเจริญเติบโตขึ้น  ส่วนคนที่เสียเปรียบก็จะถดถอยลง  หน้าที่ของเราก็คือ  วิเคราะห์หรือค้นหาว่าอะไรทำให้การแข่งขันในแต่ละเรื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ได้เปรียบและสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่คงทนถาวรแค่ไหน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเป็นการแข่งขันของดารานักแสดง  ปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของความสวยหรือความหล่อและรูปร่างที่สูงเพรียวได้สัดส่วน  หรือถ้าเป็นธุรกิจ  ปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของขนาด  นั่นคือ  บริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งมากนั้น   มักจะมีความได้เปรียบค่อนข้างมาก  เป็นต้น

  คิดแบบ VI ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  การคิดโดยตัดอารมณ์ร่วมหรืออารมณ์หมู่  ที่มักจะขยายความรุนแรงของปัญหาหรือทำให้ภาพดูสดใสกว่าความเป็นจริง  ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือวิกฤติทั้งหลายเช่นวิกฤติเศรษฐกิจ  การเมือง และ  วิกฤติภัยธรรมชาติอย่างเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้น  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้   ในช่วงที่กำลังเกิดขึ้นนั้นคนมักจะกล่าวถึงและวิจารณ์กันมากและส่วนมากมักจะมองภาพที่เลวร้ายสุด ๆ   อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไปเราก็มักจะพบว่าผลกระทบของมันนั้นไม่ได้รุนแรงเท่ากับที่พูดหรือคาดกัน  ลองนึกย้อนหลังไปตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่เราสงสัยกันในตอนนั้นว่าประเทศไทยจะรอดหรือไม่  ไล่มาจนถึงปัญหาทางการเมืองที่รุนแรงจนคนคิดว่าเมืองไทยจะหมดอนาคตไม่มีใครจะมาลงทุน   การปิดสนามบินที่คนพูดกันว่าความเสียหายจะเป็นหลายแสนล้านบาท  แต่ทุกอย่างที่พูดถึงนั้นนับถึงวันนี้ผมมองว่าเราผ่านมาได้โดยที่ความเสียหายนั้นน่าจะต่ำกว่าที่เคยกลัวกัน  และล่าสุดในขณะนี้ที่คนบอกว่าความเสียหายจะมโหฬารจนทำให้เศรษฐกิจหดตัวลงค่อนข้างมาก  ซึ่งก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าเป็นจริงแค่ไหน   ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมคิดว่า VI ไม่ควรจะคิดตามคนหมู่มากที่กำลังอยู่ในอารมณ์ร่วมที่รุนแรง  ตรงกันข้าม  เราควรคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้  เราอาจจะเห็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากการที่คนกลัวเกินเหตุทำให้หุ้นมีราคาตกลงมามากเกินกว่าความเสียหายก็ได้

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 54 16:59:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com