Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลอกคราบ วอเรน บัฟเฟต (Warren Buffet) ติดต่อทีมงาน

เช้าตรู่ของวันที่ 1 เสาร์แรกของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด


บนท้องถนน บริเวณสี่แยกราชประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง อัดแน่นไปด้วยเต้นท์และผ้าพลาสติกปูนอนของผู้คนที่มีความรู้สึกอึดอัดขัด ข้อง และเรียกตัวเองว่า “ไพร่” ซึ่งสะท้อนถึงความด้อยอภิสิทธิ์ และขาดแคลนสินทรัพย์ตลอดจนความมั่งคั่งด้วยประการทั้งปวง กำลังเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ฯลฯ


แต่ทว่า ณ อีกมุมหนึ่งของโลก ที่เมืองโอมาฮา เมืองเล็กๆ ในรัฐเนบราสก้า ของสหรัฐอเมริกา บรรดาเศรษฐีและมหาเศรษฐีของโลกจำนวนกว่า 35,000 คน ก็กำลังชุมนุมกันอยู่อย่างเบียดเสียดยัดเยียดเช่นกัน


“ม็อบมหาเศรษฐี” เหล่านี้ มาที่นี่ทุกปีในช่วงเวลานี้


เพราะพวกเขาต้องมาเพื่อตรวจสอบทรัพย์สินและความมั่งคั่งของตัวและครอบครัว ว่าได้สะสมงอกเงยมาเป็นเท่าใดแล้วในขณะนั้น และกำลังจะงอกงามสืบไปอีกสักเท่าใดกันแน่ในอนาคต และด้วยวิธีใด



นั่นเพราะพวกเขาพร้อมใจกันฝากฝังให้บุคคลผู้หนึ่งเป็นคนจัดการดูแลให้ อย่างแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด



Warren Buffet คือบุคคลผู้นั้น



บุคคลผู้เกือบมีสถานะเป็น “เทพ” เชี่ยวชาญในการ “เล่นแร่แปรธาติ” เอาเงินมาต่อเงิน ผ่านกลไกตลาดทุน รู้จักวางตัว รู้จักพูดจา รู้จัก Tell Story เพื่อสร้างตัวคูณให้กับราคาหุ้น จนตัวเองร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับสร้างภาพว่าเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ติดดิน ใจบุญสุญทาน จนเกือบมีสถานะเป็น “ฤาษี”



วิธีการแบบนี้ นับว่าน่าสนใจมาก



วิธีการของเขานั้นดูเหมือนง่าย เพียงทุกคนเข้าถือหุ้นใน Holding Company อันหนึ่งที่ชื่อ Berkshire Hathaway Inc. ที่ มีเขาและครอบครัวตลอดจนพรรคพวกของเขาควบคุมอยู่ เสร็จแล้วก็กลับบ้านมานั่งรอให้ราคาหุ้นไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ คอยบวกลบคูณหารว่า Wealth ของตัวจะงอกงามเป็นเท่าใดในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี



แล้วในความเป็นจริง มันก็ดันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ราวกับราคาหุ้นมันเสกกันได้



คนที่ลงเงินกับเขาในปี 1964 แล้วยังถืออยู่จนปัจจุบัน ก็คำนวณกันแล้วว่าได้ผลตอบแทนถึง 434,057% (คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสะสมต่อปีถึง 20.3%...อันนี้ผมพูดถึง Compounded Annual Gain ของ Per-Share Book Value of Berkshire Hathaway ตั้งแต่ 1965-2009 ซึ่งเขาใช้เป็น Index ในการวัดความเก่งกาจของตัวเอง)



ขณะที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับอยู่นี้ คือเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2553 ราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway ปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นละ 115,815 เหรียญฯ สำหรับหุ้นสามัญชั้นหนึ่ง (Class A Stock, ชื่อหุ้นใน NYSE คือ BRKa) และ 77.10 เหรียญฯ สำหรับหุ้นสามัญชั้นสอง (Class B Stock, ชื่อหุ้นใน NYSE คือ BRKb)



เห็นหรือยังครับ ว่าในหมู่เศรษฐีก็ยังแบ่งชนชั้นกันเอง กล่าวคือผู้ถือหุ้นชั้นหนึ่งหรือ “ชั้นเจ้า” จะมี Voting Right หรือ “สิทธิในการออกเสียง” เหนือกว่าผู้ถือหุ้นชั้นสองหรือ “ชั้นไพร่” ถึง 1,500 เท่า เพราะหุ้น Class A สามารถแลกเป็น Class B ได้ 1,500 หุ้น



ท่านผู้อ่านลองคูณเป็นเงินบาทดูสิครับ หุ้น BRKa ตกแล้วราคากว่า 3.8 ล้านบาท ยังงี้ถือแค่เพียงหุ้นเดียว คนแถวบ้านก็พากันเรียก “เศรษฐี” แล้วละครับ



ผมลองคำนวณมูลค่าหุ้นทั้งหมดของ Berkshire Hathaway รวมกันที่เรียกว่า Market Capitalization ก็จะได้ประมาณ 382.01 พันล้านเหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 12.6 ล้านล้านบาท นับว่ามากกว่าขนาดของเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ (GDP ของไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ 9.5-10 ล้านล้านบาท)



เห็นหรือยังครับว่าทำไม “ม็อบเศรษฐี” พวกนี้ถึงต้องมาชุมนุมกันที่โอมาฮาทุกปี (อ่านรายงานของคนที่เคยไปชุมนุมที่นั่นแล้วออกมาบอกเล่ากันได้ใน “จาริกแสวงบุญที่โอมาฮา เฝ้าศาสดา วอเรน บัฟเฟต” หน้า 76)



หลายปีมานี้ มีหนังสือจำนวนมาก (รวมทั้ง MBA ด้วย) ได้พยายามอธิบายวิธีการของ Warren Buffet วิธีคิดของเขา วิธีมองหาเพชรในตมของเขา วิธีการเจียรนัยเพชรของเขา วิธีการมองโลกและชีวิตของเขา ตลอดจนเคล็ดลับ เคล็ดวิชา หรือกลเม็ดเด็ดพรายเล็กๆ น้อยๆ ว่าเขารวยขึ้นมาได้ยังไงกัน (วะ)



แต่เขามักจะเก็บตัว และ้ถ้าจะพูดก็จะเลือกพูด หรือพูดผ่านคนที่เขาไว้ใจหรือซื้อไว้แล้ว




สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะที่เขายังไม่โด่งดังมากขนาดนี้ ผมได้ขอให้ตัวแทนของ Talent Agency ที่มีชื่อเสียงติดต่อกับเขา เพื่อขอให้มาพูดที่เมืองไทย แต่เขาก็เฉยๆ แม้ตัวแทนคนนั้นบอกผมว่าได้ติดต่อผ่านไปยังวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ คนหนึ่งที่มีความสนิทชิดเชื้อเป็นกันเองกับเขา ด้วยซ้ำไป



จนอีกหลายปีต่อมา จึงเพิ่งจะมารู้ว่าเดี๋ยวนี้ “คนนอก” จะไปพบเขาก็ต้องประมูลผ่านทาง eBay อย่างกลุ่มนักธุรกิจจีนกลุ่มหนึ่งที่ชนะประมูลด้วยวงเงินกว่า 10 ล้านบาท เป็นต้น แม้จะว่าเป็นการกุศล ผมก็ว่ามันทะ:-)ๆ ซึ่งเขาก็คงตระหนักเหมือนกัน จึงบอกให้เลิกกิจกรรมแบบนี้เสีย



แต่นั่นก็ทำให้เราเห็นว่าความนิยมในตัวเขานั้นมากเพียงใด โดยเฉพาะในหมู่ประเทศเศรษฐีใหม่ (เมื่อปีที่แล้ว มีเศรษฐีต่างชาติกว่า 800 คน เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway และขอให้เขาเซ็นลายเซ็นให้บนข้าวของคนละ 1 ชิ้น แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อการนี้ถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง จนมาปีนี้เขาขอให้เลิก เพราะเหนื่อย)



ผมรู้ดีว่าแฟนๆ บัฟเฟตในเมืองไทยมีแยะ เพราะหลายครั้งที่เราพูดถึงเขาใน MBA นิตยสารฉบับนั้นก็จะขายดีเป็นพิเศษ



นั่นจึงเป็นที่มาของเรื่องที่ท่านถืออยู่ในมือ ณ ขณะนี้ ซึ่งเราตั้งใจจะให้ละเอียด Update และลึกซึ้งครอบคลุมที่สุด เท่าที่จะทำได้ในภาคภาษาไทย



ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความนี้ ผมก็ได้ตรวจสอบดู Portfolio ของ Berkshire Hathaway อย่างละเอียด ตลอดจนตรวจดูงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงินล่าสุด เท่าที่จะมีข้อมูลให้อ้างอิงได้ ทั้งจาก Annual Report ปีล่าสุด และจาก Edgar ไฟล์ของหน่วยงาน ก.ล.ต. (SEC) ของสหรัฐฯ ตลอดจนได้อ่าน Chairman’s Letter ฉบับล่าสุดและ Owner-Related Business Principles ฉบับอัพเดตทั้ง 15 ข้อ อันโด่งดัง ที่บัฟเฟตอ้างว่าเขาเขียนเอง



และที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ย่อมเป็น Observations ของผมเอง ที่แม้ผู้รู้หลายท่านอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า มันจะเพิ่มเติมมุมมองใหม่ๆ ให้กับท่านไม่มากก็น้อย ถ้าท่านเป็นผู้ที่ฝักใฝ่สนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการ “หาทรัพย์” “ใช้ทรัพย์” “เพิ่มพูนทรัพย์” หรือต้องแบกรับภาระหน้าที่ที่ต้องรักษาไว้ซึ่ง “ความมั่งคั่ง” (Wealth) ของครอบครัวหรือองค์กรของท่าน มิให้เสื่อมค่าลงตามกาลเวลาและอัตราเงินเฟ้อ

จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา
เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 54 05:16:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com