ความคิดเห็นที่ 1 ต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยครับ   ถ้าต้องการสะสมทรัพย์  ในกรณีที่ทำงานมีสวัสดิการอยู่แล้ว เช่น กบข. สำรองเลี้ยงชีพ (คิดว่า ไม่จำเป็นแล้วครับ)  แต่ถ้าไม่มี  ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี (แต่สัดส่วนไม่ควรมาก) เช่น หุ้น 50  บ้าน ที่ดิน 30  เงินฝาก 10 ทอง 5  ประกัน 5 (เหตุเพราะเอาเงินไปให้คนอื่นได้ประโยชน์ ไม่ดีกว่า) แต่ถ้าต้องการการรักษาพยาบาล  ดูว่าเรามีสวัสดิการหรือไม่ ถ้ามีแล้วก็ไม่เอา เพราะเบี้ยส่วนใหญ่เสียเปล่า คือ ซื้อทิ้ง   แต่ถ้าไม่มีเลย ก็ซื้อไว้ดีกว่า ส่วนลดหย่อนภาษี  ผมไม่เลือกประกันครับ เพราะเงินจม เอามาซื้อหุ้น ก็ได้ผลตอบแทนดีกว่า เมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไป โดยสรุป มองเป็นลำดับท้ายๆ ครับ ถ้าไม่มีทางเลือกในการลงทุนก็เอา .. ส่วนจะเลือกที่ใหน ขอเป็นเบอร์ต้นๆ ในธุรกิจนี้ดีกว่าครับ มั่นคง มั่นใจกว่า วิธีไม่เกียง เพราะสุดท้ายได้รับกรมธรรม์เหมือนกัน (แต่ถ้าได้อ่านก่อนก็จะดี) จากคุณ : if you know เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 20:54:34

ความคิดเห็นที่ 2 ขอตอบว่าประกันไม่ใช่การลงทุน มีประกันบางตัวที่แฝงการลงทน แต่ผลตอบแทนมันต่ำ ที่ทำเพราะเอาไว้ให้คนขี้งกซื้อ จำใจทำมาขาย ดังนั้น้าจะมองประกันชีวิต ให้คิดเรื่องลดหย่อนภาษี + คุ้มครองพอครับ ส่วนจะซื้อแค่ไหน ให้คำนวณง่ายๆว่าสมมุติเราตายไป ครอบครัวต้องการใช้เงินเท่าไหร่ และเงินที่ว่านั่นเมื่อเป็นทุนประกันแล้วมันเป็นเบี้ยเท่าไหร่ (ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี) แล้ระยะเวลาการจ่ายเหมาะสมกับช่วงเวลาทำเงินหรือไม่ ให้เลือกประกันเน้นการคุ้มครอง whole life เท่านั้น ประกันชีวิตให้คิดว่าเหมือนกระกันรถ เราไม่ได้ซื้อหวังรวย แต่เราหวังว่าหากเกิดอะไรขึ้นเราสามารถควบคุมความเสียหายได้ ด้วยเงินจำนวนที่เราจ่ายออกไปแล้วไม่ลำบาก ส่วนที่ซื้อประกันหวังผลตอบแทนนั้น เพราะไม่เข้าใจว่าประกันให้ผลตอบแทนต่ำ ก็ว่ากันไม่ได้ แต่เราอย่าไปทำตาม จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:01:41

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่ามันเหมือนกับการเอาเงินไปฝากธนาคารนั่นแหละ แต่เป็นการฝากในระยะยาวนานมาก แล้วมีบริการเสริมอื่นๆ เป็นของแถม แต่ผมว่าก็ดีกว่าไปเสียเงินให้ประกันสังคมล่ะกัน บางทีการเสียเงินในแต่ละเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ สะสมไป ก็ทำให้เวลาป่วยเราสามารถนอนได้อย่างสบายใจไม่ต้องมาประสาทกินหลังจากหายป่วยแล้ว ผมซื้อไว้ 1 อันของออมสินอุ่นใจ ระยะเวลา 15 ปี จ่ายเดือนละพัน 2 ผมว่าก็โอเคนะแต่ถ้าให้ซื้อเยอะ ๆ จ่ายพร้อมกันหลายๆ อันผมว่าเอาเงินไปลงทุนในหุ้นจะดีกว่าเพราะลงทุนในหุ้นมันยังแปลงเป็นเงินได้อย่างรวดเร็วถ้าเราเกิดร้อนเงินกระทันหัน ไม่เหมือนประกันที่ถ้าเกิดเราร้อนเงินก็ทำอะไรไม่ได้ จะไปขอยกเลิกก็ขาดทุนมหาศาลอีกต่างหาก จากคุณ : DarthTrowa เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:30:37

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณความคิดเห็นเพื่อนๆๆ ครับ รอเพื่อนๆๆ มาแสดงความคิดเห็นเพิ่มน่ะครับ จากคุณ : gooddy good เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 23:06:07

ความคิดเห็นที่ 5 ประกันเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงนะครับ ไม่ช่ายเครื่องมือเพื่อการลงทุนครับ ประกันจึงเป็นการถ่ายโอนความเสี่ยงไปให้บริษัทประกัน โดยเราจ่ายเบี้ยคุ้มครองในวงเงินคงที่ ทุกปีครับ สนใจวางแผนการเงินเชิญหลังไมค์ครับ จากคุณ : MoneyPlan เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 01:41:04

ความคิดเห็นที่ 6 ประกันชีวิตผลตอบแทนสู้การลงทุนอื่นไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำไว้เพื่อการลงทุน ประกันชีวิต คนทำไม่ได้ใช้เงิน คนที่ใช้เงิน ไม่ได้ทำ ประกันชีวิต ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีภาระ คนโสด ตายไปเงินให้ใครใช้ แต่หากกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่ารักษาพยาบาล ประกันสุขภาพ เป็นทางออกที่ควรพิจารณา จากคุณ : Dr.D70 เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 10:37:42

ความคิดเห็นที่ 7 ความเห็นสองตอบได้เคลียร์   ที่ผมทำประกันส่วนหนึ่งเพราะ ผมจะเอาไว้ลดหย่อนภาษี และ ที่สำคัญ ผมบอกตรงๆว่ากลัวตาย กลัวอัมพาตแดรก แล้ว พ่อแม่ก็จะไม่มีเงินเพราะขาดคนดุแลยามท่านแก่ชรา   ลุกเมียก็อดอยากเพราะไม่มีคนหาเลี้ยง ทรัพย์สินที่หามาก็ร่อยหรอเพราะต้องขายออกไปประทังชีวิต   ภรรยาหาสามีใหม่  ลูกสาวถูกพ่อเลี้ยงทำทารุณ  ผมนึกถึงภาพนี้ในอนาคต ผมจึงซื้อประกันชีวิตยกผลประโยชน์ให้คนข้างหลังทั้งหมดครับ จากคุณ : november sea เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 11:43:56

ความคิดเห็นที่ 8 คิดแบบ ค.7 ถูกต้องแล้วครับ บางอันซื้อให้ตัวเองก็ได้ เช่นคุ้มครองมะเร็ง เกิดเป็นมะเร็งประกันก็จ่าย ก็แบ่งเบาภาระได้ คนส่วนมากเจอพวกยาวๆ เช่น 90/20 99/5 ก็สงสัยว่าจะฝากทำไม ใครจะอยู่ถึง 90 รับเงิน ก็เป็นอย่างที่ค.7ว่าไว้คือซื้อไว้เพื่อคนข้างหลัง หากเราไปเร็ว เงินที่พวกเค้าได้มันก็ช่วยได้ เราไปช้า ถึงตอนนั้นเงินมูลค่าน้อยลงเทียบค่าครองชีพ แต่ว่าลูกๆคงดูแลตัวเองได้แล้ว หรือถ้ามองว่าน้อยจริงๆก็ซื้อเพิ่ม ส่วนลดหย่อนภาษีเป็น option เสริมที่รัฐบาลใจดีส่งเสริมการทำประกัน รัฐบาลก็ประหยัดเงินในการเลี้ยงดูคนแก่ เพราะหลอกล่อให้พวกเราออมเงินไปแล้ว เราก็ได้ลดหย่อนภาษี win ทั้งคู่ จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 11:57:00

ความคิดเห็นที่ 9 เราต้องมองประกัน ว่าเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงครับ ส่วนการลดหย่อนภาษี ถือเป็นของแถม ซึ่งหน้าที่ในการป้องกันความเสี่ยงหลักๆมี2ส่วน คือ ตัวเราและครอบครัว สำหรับตัวเรา ก็พวกสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลหรือโรคร้ายแรง ถ้าเรายังไม่มีตรงนี้ เพราะป้จจุบันค่ารักษาพยาบาลนี่ขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อซะอีก เกิดเราไม่มีตรงนี้ มีแต่เงินที่ลงทุนอย่างเดียว เกิดแจ็คพอตเป็นโรคร้ายขึ้นมา เดี๋ยวนี้ค่ารักษาอย่างต่ำก็เป็นแสนครับ แทนที่เราจะได้ผลตอบแทนที่เราเฝ้าลงทุนมานาน ก็ต้องถอนส่วนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้นเราควรแบ่งส่วนนี้แยกตังหากตั้งแต่แรกครับ ส่วนสำหรับครอบครัวก็อย่างความเห็นหลายๆท่านครับ ว่าเกิดเราที่เป็นคนหาเงินให้ครอบครัว เป็นอะไรขึ้นมา คนข้างหลังเราก็ยังพอมีเงินก้อนนึงเพื่อสามารถใช้ชีวิตต่อไปโดยที่คุณภาพชีวิต ไม่ลดลง จากคุณ : อัลมอนต์ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 17:48:37