Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สภาพคล่องของหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50696
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor     10 ธันวาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

  ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการลงทุนที่ดูเหมือนว่า Value Investor “พันธุ์แท้”  จำนวนมากอาจจะไม่พูดถึงเลยก็คือ  สภาพคล่องในการซื้อขายของหุ้น  เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะนี่คือปัจจัยที่  “ไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน”  ของกิจการ  หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI มีน้อยมากที่จะกล่าวถึงสภาพคล่องของหุ้น   คนที่สนใจเรื่องสภาพคล่องของหุ้นมากที่สุดน่าจะเป็น  นักวิเคราะห์ทางเท็คนิคที่มองว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นในแต่ละวันนั้น   ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญสุดยอดที่จะบอกว่าราคาหุ้นจะไปทางไหนในอนาคตอันใกล้  อย่างไรก็ตาม  หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้น  ก็เป็นหุ้นที่นักเท็คนิคหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหรือวิเคราะห์   ว่าที่จริงนักเท็คนิคนั้นมองว่าหุ้นประเภทนี้ใช้หลักการทางเท็คนิคไม่ได้ด้วยซ้ำ   อย่างไรก็ตาม  ในฐานะของ VI  ความเข้าใจในเรื่องของสภาพคล่องน่าจะมีประโยชน์พอสมควร  และต่อไปนี้เป็นมุมมองของผมต่อเรื่องสภาพคล่องของหุ้น

  ประเด็นแรกก็คือ  สภาพคล่องของหุ้นนั้นมองได้เป็นสองมิตินั่นคือ  มิติแรก  มองจากนักลงทุนที่จะซื้อขายหุ้นหรือพูดง่าย ๆ  มองจากตัวเราเองว่าเรามีเงินลงทุนเท่าไรและจะซื้อหุ้นแต่ละตัวในวงเงินเท่าไร  ตัวอย่างเช่น  พอร์ตของเรามีอยู่ 10 ล้านบาท  และเราจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 2-3 ล้านบาท  แบบนี้  เราก็จะต้องดูว่าหุ้นที่เราสนใจจะลงทุนนั้นมีการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณเท่าไร   ถ้าพบว่าหุ้นตัวนั้นมีการซื้อขายประมาณวันละเพียง หนึ่งแสนบาท  นั่นก็แปลว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาในการขายหุ้นให้หมดถึง 20-30 วัน  ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวนั้น 2-3 ล้านบาท  และสมมุติว่าไม่มีคนอื่นขายเลยนอกจากเรา  ในสถานการณ์แบบนี้  ก็ต้องถือว่าหุ้นมีสภาพคล่องต่ำเกินไป   การซื้อหุ้นอาจจะอันตรายถ้าเราคาดการณ์ผิดและจำเป็นต้องขายทิ้ง   เพราะในการขายหุ้นจำนวนมากเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันจะทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลงมากอย่างต่อเนื่อง   ดังนั้น   การซื้อหุ้นแบบนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าราคามันต่ำกว่ามูลค่ามากและเราพร้อมที่จะถือมันไว้ตลอดไป  หรืออย่างน้อยก็ต้องถือได้ 3-5 ปีขึ้นไป  นอกจากนั้น  ในระหว่างที่ถือหุ้นอยู่  มันควรจะมีปันผลให้เราอย่างน้อย 4-5% ต่อปีโดยไม่ลดลงและมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

  มิติที่สองเกี่ยวกับสภาพคล่องก็คือ  ปริมาณการซื้อขายของหุ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท  นี่เป็นการวัดอย่างคร่าว ๆ  ว่าคนที่เข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  ซื้อแล้วถือไว้นานแค่ไหนโดยเฉลี่ย  ตัวอย่างเช่น  ถ้าบริษัทมีมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทหรือเรียกว่า  Market Cap. เท่ากับ  1,000 ล้านบาท  และหุ้นของบริษัทมีการซื้อขายในตลาดหุ้นเฉลี่ยวันละ 10 ล้านบาท  นี่ก็แปลว่าคนที่ซื้อและถือหุ้นของบริษัทไว้นั้น  เขาจะทยอยขายหุ้นและใช้เวลาขายหมดภายใน 100 วัน  หรือประมาณ 3 เดือนกว่า ๆ    หรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  คนที่ลงทุนในบริษัทนี้  โดยเฉลี่ยแล้วลงทุนเพียง 3 เดือนเศษ ๆ  ก็ขายทิ้งแล้ว  ไม่ได้เป็นนักลงทุนระยะยาวที่เน้นที่ผลประกอบการและรอกินปันผลที่บริษัทอาจจะจ่ายปีละครั้ง

  คำถามที่อาจจะตามมาก็คือ  คนที่ลงทุนถือหุ้นนั้น  ต้องถือไว้นานเท่าไรจึงจะถือว่าเป็นนักลงทุนระยะยาว?   คำตอบนั้นก็คือ  มันเป็นเรื่องอัตวิสัยของแต่ละคน  บางคนบอกว่า  3  เดือนถือว่ายาว  แต่บางคนบอกว่า 3 ปี ถึงจะเรียกว่ายาว  อย่างไรก็ตาม  เราสามารถพูดโดยเปรียบเทียบได้  เพราะเรามีค่าเฉลี่ยระยะเวลาของการถือหุ้นของบริษัททุกแห่งในตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละปีหรือในแต่ละช่วงเวลา  ยกตัวอย่างเช่น  มูลค่าหุ้นทั้งหมดในตลาดในช่วงนี้คือ  8.5 ล้าน ล้านบาท  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันโดยเฉลี่ยประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท  ดังนั้น  จะใช้เวลาขายหุ้นหมดเท่ากับประมาณ  340 วันทำการ  หรือคิดเป็นประมาณ 1 ปีกับ 4 เดือน  ดังนั้น  เราก็สามารถพูดได้ว่า  หุ้นตัวไหนที่มีการซื้อขายหุ้นที่ทำให้คนถือหุ้นเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ปี 4 เดือน ก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นมีผู้ถือที่เป็นนักลงทุนระยะสั้นกว่าค่าเฉลี่ย  และหุ้นที่มีการซื้อขายน้อยและทำให้คนถือหุ้นเฉลี่ยเกิน 1 ปี 4 เดือน ถือว่าผู้ถือหุ้นถือหุ้นลงทุนนานกว่าค่าเฉลี่ย

  ประเด็นของการถือหุ้นสั้นหรือถือหุ้นยาวของนักลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็คือ   มันเป็นการบอกถึง  “ดีกรี”  หรืออัตราในการ  “เก็งกำไร”  ของนักลงทุนในหุ้นแต่ละตัว   นั่นก็คือ  หุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมาก  วัดจากปริมาณการซื้อขายต่อวันเทียบกับมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัท  เช่น  หุ้นบางตัวที่มีการซื้อขายต่อวันเท่ากับ  100 ล้านบาท  ในขณะที่  Market Cap. เท่ากับ  1,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่าผู้ถือหุ้นถือหุ้นลงทุนเพียง 10 วันโดยเฉลี่ยก็ขายทิ้งแล้ว  แบบนี้ก็ถือว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีการเก็งกำไรร้อนแรง  ตรงกันข้าม  หุ้นบางตัวนั้น  ผู้ถือหุ้นถือไว้โดยเฉลี่ยถึง 3 ปี  แบบนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีการเก็งกำไรหรืออาจจะบอกว่าเป็นหุ้นที่คนไม่สนใจที่จะซื้อขายเนื่องด้วยเหตุผลต่าง ๆ

  เป็นเรื่องยากที่จะขีดเส้นว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้น  “เก็งกำไร” และหุ้นตัวไหนไม่มีอาการอย่างนั้น  ส่วนตัวผมเอง  กำหนดว่า  หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 1% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดถือว่าเข้าข่ายเป็น  “หุ้นเก็งกำไร”  ยิ่งมากกว่านั้นก็ยิ่งมีการเก็งกำไรสูงเท่านั้น  และยิ่งหุ้นมีการเก็งกำไรสูงเท่าไร  ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะสูงเกินกว่าราคาที่ควรจะเป็น  ดังนั้น  โอกาสที่หุ้นเก็งกำไรสูงจะเป็นหุ้น Value จึงมีน้อย  ผมจึงมักหลีกเลี่ยงและถ้ามีก็จะขายทิ้ง   หุ้นที่เข้าข่ายเก็งกำไรสูงลิ่วกลุ่มหนึ่งก็คือ  หุ้นที่เพิ่งเข้าซื้อขายหุ้นใหม่ในตลาดหลังจากการทำ IPO  ซึ่งมักจะมีปริมาณการซื้อขายสูงมาก  ดังนั้น  ผมจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน  และถ้าผมได้จองซื้อหุ้นไว้ผมก็มักจะขายทิ้งค่อนข้างเร็ว  ถ้าผมสนใจหุ้นเหล่านี้  ผมจะรอจนปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงจนต่ำกว่า 1%  ต่อวันซึ่งเป็นจุดที่ผมคิดว่าหุ้นไม่มีการเก็งกำไรมากจนเกินไป

  กลับมาที่สภาพคล่องของหุ้นเมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ตหรือการลงทุนของเรา  ในอดีตที่ผมเริ่มลงทุนใหม่ ๆ  นั้น  ปัญหามีน้อยมาก  ผมสามารถลงทุนได้ในหุ้นเกือบทุกตัวเนื่องจากเม็ดเงินลงทุนที่ยังน้อยมาก   อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป  การลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำมากก็ทำได้ยากลำบากขึ้นเนื่องจากผมไม่สามารถลงทุนเป็นเม็ดเงินมากเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายต่อวันของหุ้นได้  การลงทุนด้วยเงินที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพอร์ตโดยรวมนั้นทำให้เราจะต้องหาหุ้นลงทุนจำนวนมากตัวซึ่งจะทำให้พอร์ตของเราไม่  Focus หรือไม่มีจุดเน้นกลายเป็น  “เบี้ยหัวแตก”  และทำให้ผลตอบแทนของเราต่ำลงเนื่องจากเราจะไม่เอาใจใส่กับมันเท่าที่ควร   ดังนั้น  ในระยะหลัง ๆ  ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงถ้าหุ้นมีสภาพคล่องน้อยเกินไป  และนี่ก็เกิดขึ้นเฉพาะในหุ้นตัวเล็ก ๆ  ทั้งหลายซึ่งบางครั้งเป็นหุ้นที่ดีและเป็นหุ้น  Value   หุ้นเหล่านี้บางตัวอาจจะให้ผลตอบแทนได้เป็นร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาอันสั้นได้   และนั่นก็เป็นข้อได้เปรียบของ  VI ที่ยังมีพอร์ตไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับนักลงทุนกลุ่มอื่น ๆ  โดยเฉพาะสถาบันการลงทุนเช่นกองทุนรวมที่มีข้อจำกัดมากกว่า   และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พอร์ตเล็กนั้นโตวัยกว่าพอร์ตใหญ่เมื่อองค์ประกอบอย่างอื่นเช่นความสามารถในการลงทุนและการกล้ารับความเสี่ยงของนักลงทุนเท่ากัน

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 20:49:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com