Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
School of Reflexivity ,,,ช่องว่างระหว่าง "สิ่งที่ควรเป้น" กับ "สิ่งที่เป็น" ในความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ ติดต่อทีมงาน

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Reflexivity
มีคนเคยเล่าให้ฟังครับ
ได้ยินมาว่า ......Reflexivity คือ ช่องว่างระหว่าง "สิ่งที่ควรเป้น" กับ "สิ่งที่เป็น" ในความสัมพันธ์เชิงสะท้อนกลับ

มีคนเขียนไว้เหมือนกัน ลอกเขาให้อ่านครับ.....


ผมขอน้อมกราบเคารพครูทั้งสามท่านที่ประสทธิความรู้็้ให้ลูกศิษย์คนนี้ ท่านแรก จอร์ส โซรอส ท่านที่สอง ดร.วิคเตอร์ แฟรงเกิล และ ท่านที่สาม ชาลี มังเกอร์ ประโยชน์อันใดก่อเกิดคุณุประการ ข้าพเข้าขอน้อมอุทิศให้อาจารย์ทั้งสามท่านทั้งหมดสิ้น


School of Reflexivity

สวัสดีครับ นานๆ ที จะเขียน ไม่มีอะไรมากครับ มีเวลาก็เขียน แค่เรื่อง reflexivity เรื่องเดียวเท่านั้นครับ ไม่มากไปกว่านี้ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิม


ความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับคืออะไร?


ผมสังเกตเห้นบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงแห่งเวลาความทุกข์ สิ่งนั้นคือความวิตกกังวลจนเกิดความกะวนวายใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แต่ลักษาณะความกลัวแบบนี้กลับทำให้สิ่งที่เรากลัวเป็นความจริงขึ้นมาจนนึก หันมาด่าตัวเอง

เมื่อสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เราไม่มองโลกตามความจริงหรือเป้นเพราะอคติบางอย่างมาบดบังความคิดที่แจ่มชัดของเรา อาการทางประสาทจะก็เกิดขึ้น

สิ่งนั้นคิอสาเหตุของการสะท้อนกลับระหว่างสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ควรเป้นและกลไกการสะท้อนกลับอย่างกะวนกะวายใจแบบคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านี้ดูจะเป็นต้นเหตุสำคัญของวงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกต้อง ยิ่งมีการคาดการณ์มากเท่าไร ความวิตกกังวลยิ่งตอกย้ำมากให้มีความกลัวมากเท่านั้น

ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับในตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง?


ถ้าฝรั่งหมดสัทธาเงินบาท เพราะเราขาดทุนการค้าตลอด ขายของไม่ดี เงินบาทเต็มไปหมด ไม่มีใครมาแลกเลย เขาก็ขายออก พอขายบาทออกมามาก ๆ แนวโน้มอย่างนี้จะพลักดันให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศซ้ำเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นการตอกย้ำความถูกต้องของแนวโน้มการหมดความเชื่อถือของเงินบาท ที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก

เมิ่อเราคาดการณ์ เรากำลังใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยกฎของความไม่เที่ยงในฃ่วงสงคราม ช่วงไหนจะไม่เที่ยงสุดๆ เท่าช่วงอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เกิด สิ่งนั้นเลยเกิดตาม สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จึงไม่เกิด ใช้ชีวิตกับเดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกที่อะไรเกิดขึ้นจริง นั่นคือปัจจุบัน ถ้าทำอะไร อย่าบอกใคร จนกว่าคุณจะได้สิ่งนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อคุณบอกคนอื่นแล้ว ความวิตกกังวลแบบการคาดการณ์ล่วงหน้าจะเกิดขึ้นทันที แล้ววงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับก็จะเกิดตามมา

ความสัมพันเชิงสะท้อนกลับมีอยูในนิทาน?

ผู้เขียนชอบอ่านนิทานอีสปมาก มันมีทั้งการสะท้อนกลับในรูปแบบต่างๆ มีทั้งสาเหตุของการทำผิดพลาดเหล่านั้น มี psychology of misjudgement ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มันมีไม่หมดหอรกครับ Munger มีแค่ 40 ข้อ มันมีเป้นร้อยเลยเรื่องเหล่านี้ จนผู้เขียนชักสงสัยว่า มันจำเป้นสำหรับคนที่ลงทุนมากกว่าหนังสือการลงทุนซะอีก

ผู้เขียนคิดถึงนิทานเรื่องไข่ห่านทองคำ ชายคนหนึ่งเก้บห่านใกล้ตายมาเลี้ยงด้วยความสงสาร เลี้ยงไปเลี่ยงมา ห่านออกไข่เป้นทองคำ ชายใจดีเห็นห่านออกไข่วันละฟอง เลยเกิดความโลภ อยากได้วันละ 2 ฟอง เลยเอาอาหารมาให้กินเพิ่ม ห่านกินไปเลยอ้วน แล้วขี้เกียจไม่ยอมออกไข่อีกเลย เรื่องนี้เป้น Negative Feedback Loop ทุกอย่างมีผลข้างเคียง แม้กระทั่งเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเหตเป็นผลดีแล้ว ก้ยังไม่วายมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดคิดเสมอ

Reflexivity พัฒมาจากความคิดอะไร?

การเจอกับความทุกข์และความไม่เที่ยงของชีวิตในท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอน รอบตัวคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด มันมีความเป็นไปได้ของความไม่เที่ยงรอบตัวทุกวินาที แม้พวกเขาอาจถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิต ยกเว้นอย่างเดียว คือ อิสรภาพสุดท้ายของคน อิสรภาพทางใจที่จะเลือกว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ใครก็พรากไปไม่ได้ เราเลือกขีดเส้นชะตาชีวิตของเราเอง ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

Reflexivity เกี่ยวกับวิชาจิตวิทยาอย่างไร?

คนมีความเครียด เพราะเกิดอาการอยาก อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น ช่องว่างระหว่าง 2 ขั้วนี้มีอยู่ตัวเราทุกคน และมันมีสมรรถภาพมากครับ มันไกว่แกว่งสะท้อนไปมาเหมือนกระดานหกอย่างไรอย่างนั้น สะท้อนไปมามากๆ ก็เป็นโรคประสาท และอาจมีจิตใจที่ไร้เสถียรภาพจนเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดใน บางอย่าง

มีตัวอย่างอื่นอีกไหม ?

สองสาวใช้กับไก่
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย Negative Feedback Loop
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้

ทำไมเราถึงมองว่าสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นภาพเดียวกัน?

เราหลอกตัวเองด้วยอคติต่างๆ ทีมีติดตัวเรา เราเลี้ยงศัตรูไว้ในตัวเอง คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ชอบตัวเอง แปลว่าเราจะอยู่กับคนที่เราใม่ชอบตลอดเวลา อย่างนั้น เราจะมีสุขภาพจิตที่ดีได้อย่าไงร ถ้าเราชอบมันจริงๆ ลองพากลับไปบ้านตามลำพัง ไปยืนหน้ากระจกและบอกดังๆ ว่า โอ้ มันสุดยอดจริง ๆ สุดยอดจริงๆ มันไมได้เป็นฮี่โร่ในตัวเราหรอกครับ ถ้าเราไม่ยอมรับอยางอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ช้าไม่เร็ว มันจะตามมาหลอกหลอนเรา และทำให้เราขาดทุนทั้งทุนชีวิตและทุนที่เป็นทุนอื่นๆ บางทีอาจถึงคนที่เรารัก อาจเสียทุกอย่างที่เรา มี แม้กระทั่งอิสรภาพทางใจ เพราะแม้แต่ใจเองก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวแล้ว

มีเทคนิคมาทำให้วงจรอุบาทแบบความสัมพันเชิงภาพสะท้อนหายไปหรือไม่?

มองโลกตามความเป้นจริง หรือจะจำเอาเทคนิคของคนยิวในช่วงสงครามไปใช้ จากสิ่งที่พวกเขาค้นพบเกี่ยวกับการรักษาอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ พวกเขาได้ invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต

เป็นไปได้อย่างไรที่ว่า invert ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต?

ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า เราผ่านมันมาแล้วเมื่อวาน แล้วเรากำลังเจอมันอีกครั้ง แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาดหมดเลย

ยังไม่เข้าใจดี มีคำอธิบายอื่นไหม ?

อนาคตคือความเป็นไปได้ อดีตคือความจริง คำกล่าวนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง พวกเขา invert ความคิดว่า เด็ก ๆ ควรอิจฉาผู้ใหญ่! เพราะชีวิตเด็ก ๆ ยังมีเรื่องไม่เที่ยงรออีกเยอะ ผู้ใหญ่มีความจริงเก็บไว้ในอดีต ความจริงที่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราเก็บอดีตที่เป็นความจริงเข้าไปไว้ในความทรงจำของเราและอยู๋ในนั้นตลอดการ จะลบอย่างไรก็ทำไมได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว

สิ่งที่เป็นอยู๋ในขณะนี้จึงเป็นสิ่งทีเราเลือกเอง เราเป้นคนกำหนดเองว่า จะเอาภาพอย่างไรเก็บไว้ในความทรงจำของเรา อดีตคือความจริงทีแก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ความคาดหวัง ความกลัว ความกลัวการผิดพลาด อคติทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และตรวจสอบตลอดเวลาว่าสื่งที่เราทำนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตในแต่ละวินาทีเหมือนทีเราเคยใช้มันมาแล้วเมื่อวาน แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาด วันนี้เราจะทำผิดพลาดแบบเดิมอีก เราจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดอย่างเดิมอีก ไม่มีใครสามารถเชื่อมปัจจุบันไปอนาคต

ด้วยความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด ทุกอย่างเป็นภาพบิดเบือน เราทำได้แต่เพียงเชื่อมปัจจุบันไปอดีต ทุกอย่างที่ทำจึงมันใจว่า เมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้ว เราจะไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำ เพราะอดีตจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะคิดอย่างไรเป็นผลมาจากการตัดสินใจเลิอกที่จะคิดในใจของคนคนนั้น


ประสบการณ์อย่างอื่นของการใช้ invert มีอะไรบ้าง?

เรื่องของการ invert อาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์หลายเรื่อง

ครั้งหนึ่ง พาลุกสาวไปขี่จักรยานที่สวนรถไฟ มีนกนพิราบ เรามีขนมปัง มันบินมาหา ลูกสาวเอาขนมปังให้ ยิ่งเดินหามัน มันยิ่งเดินหนี ผู้เขียนนึกถึงคำว่า invert บอกให้ลุกสาวนั่งเฉยๆ ทำไม่สนใจมัน โยนขนมปังแต่ทำไม่สนใจมัน จากหนึ่งตัว เป็นสองตัว สาม สี่ แล้วค่อยๆ เห็นกระบวนการ critical mass เกิดขึ้นตรงปลายเท้าเรานี่เอง แล้วผู้เขียนก็เข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ อีกมุมหนึ่งที่ผู้เขียนไม่เคยมอง

อีกตัวอย่าง.....

ผู้เขียนมีอาการนอนไม่หลับ ไม่ชอบกินยา นอนนึกว่าจะทำอย่างไร ลองตั้งใจที่จะไม่นอนในวันนั้น บอกตัวเองว่าจะถ่างตาถึง 6 โมงเช้าเลย ไม่นานก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว

หรือไม่ก็เรื่องนี้...

ผู้เขียนเคยมีอาการวิตกเรื่องเหงื่อออกเวลาขึ้นรถไฟฟ้า อาการนี้เป็นอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับที่มีอคติของการ กลัวคนอื่นเหม็น พอขึ้นรถไฟก็เหงื่อออกจริงๆ บางทียังไม่ได้ขึ้นเลย แค่นึกก็เหงืออกแล้ว อากาวิตกกังวลแบบคาดการณืไปล่วงหน้าอย่างนี้มีในตัวเราทุกคน เพราะมีช่องว่างของการความคาดหวัง ระหว่าง อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น หรือ สิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เป้นไปตามจริง ในที่นี้อคติของผู้เขียนคือ ความกลัวคนอื่นเหม็น สิ่งที่ผู้เขียนคิดในใจนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาเกิดขึ้น ถ้ายอมรับความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ภาถลวงตาจะไม่เกิด และ เมื่อมันไม่มีอะไรให้สะท้อนกลับแล้ว ความสัมพัรเชิงสะท้อนกลับเลยไม่เกิดตามไปด้วย

ผู้เขียนชอบ invert นึกได้ว่า เราต้องเปิดเผยให้โลกรู้ว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน ผู้เขียนได้แต่งตัวเป้นนักกีฬาทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ โดยมีติดผ้าขนหนูผันคอทุกครั้ง ทั้ง ๆที่ ขอโทษนะครับ กรรรรูไม่ได้เล่นอะไรมาเลย แต่ปกติเดินขึ้นบรรไดเหงื่อออกแล้ว ครั้งแรกที่ผู้เขียนลอง invert ความกลัวนั้น ผู้เขียนตั้งใจโชวเต็มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเหงื่อออกเยอะขนาดไหน ถ้าเหงื่ออกมาก ๆ แม่มมมมมมออกมาขนาดนี้ คราวหน้ากรุรรรรใส่ชุดว่ายน้ำ กางเกงในตัวเดียวโหนรถไฟฟ้าเลยดีกว่า ผู้เขียน เรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเอง

วันนั้นพออยากให้เหงื่อมันออก มันเลยไม่ออก นึกถึงคำที่ Charlie Munger สอนว่า invert, always invert แล้วเรื่องนี้เป็นเทคนิคที่ได้ผลจริงๆ คราวนี้ลองเอาไปรับใช้ในตลาด ผู้อ่านเก่ง ๆทั้งนั้น

หรือย้อนไปเด็ก ๆ ช่วงที่ผมติดอ่างตอนเด้ก มีวันหนึ่งในชีวิตกว่า 5 ปีช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครน่าสงสารให้มารับได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด ผู้เขียน invert อาการวิตกของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ อาการภาพสะท้อนเลยหายไป ท่านผู้อ่านก็มี ลองนึกดู แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้าง หรือ ใครถ้าเจอปัญหาต่างๆ เพื่อนๆ ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม แล้วผลเป็นอย่างไ มาเล่าให้กันฟังเป็นวิทยาทานบ้างครับ

know who สำคัญกว่า know How จริงหรือไม่ ?


สำคัญกว่าครับ แต่ know why สำคัญมากกว่า
ส่วนที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นในตอนนั้น มันเป้นเรื่องของการตัดสินใจว่าอะไรควรค่าแก่การลงมือทำ อะไรไม่ควรทำ ที่เราทำผิดพลาดไปเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราทำไปอย่างนั้น

ถ้าเราไปสำรวจเด็กมหาลัยที่ไหนสักแห่ง ถามว่าอะไรที่เขาอยากมีที่สุดในยุคนี้ เขาจะตอบว่าอะไร?

ความมั่นคงทางการเงินจะขึ้นเป็นลำดับต้นๆ การเข้าใจความหมายของชีวิตสำคัญน้อยลงไปมาก การค้นหาตัวเองด้านนามธรรมมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ

การรู้จักตัวตนของตนเองมีความสำคัญกับอาชีพ trader มากแค่ไหน?


แรบไบโซรอสให้ความสำคัญมากทีเดียวครับ

ท่านเน้นให้เราตั้งคำถามว่าเราเป็นใครและเราจะทำอะไรให้กับโลกนี้บ้าง ท่านเน้นสอนให้เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่อยู๋ข้างในเปลือกหอยส่วนตัวของเรา บ่อยครั้งที่เขาถามลุกน้องว่ามีความคิดอย่างไร โดยหยิบยกสถานการณ์เศรษฐกิจขึ้นมา จากเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น พวกเขาจะตอบโต้กับสถานการณ์เหล่าน้นอย่างไร สมัยนั้น ทุกเช้าลูกน้องต้องมีพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า การสร้างภาพ กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง

บางครั้งในห้องน้ำ ระหว่างเดินไปทำงาน พวกเขาจะถุกสอนให้สร้างภาพที่จะเกิดในตลาดหุ้นทุกวัน ต้องสร้างกรอบขึ้นมาเกี่ยวกับการคาดการณ์ไปข้างหน้าขึ้นมาและสร้างข้อสรุป ว่าจะตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวไหนดี หลักจากนั้นในช่วงเย็น ก้นั่งทบทวนว่าสิ่งที่เราทำไปในตอนเช้านั้น มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างกับตอนเย็นบ้าง ยังเชื่อในสิ่งที่คิดในตอนเช้าหรือไม่ ประสบการณ์ของการนั่งทบทวนความผิดพลาดตัวเองนั้นเหมือนการมองหาจุดอ่อนตัว เองทุกวัน พยายามค้นหาว่าเหตุผลอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างนั้น

ผู้เขียนจำได้ว่า เคยเขียนสิ่งที่เขาสอนลูกน้อง ว่า..

เวลาลงทุน ที่สำคัญ สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน แล้ว Invest first , Investigate later, ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ

การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้ ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผลและยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่ หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด

..........................


สวัสดีครับ shalom leaf



credit leaf
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=43886&start=30
http://jan-room.blogspot.คอม/2010/12/reflexivity.html

แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 16:20:21

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:19:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com