Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เกษียณก่อนกำหนด/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

โลกในมุมมองของ Value Investor              

Value Investor หนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยมักคิดถึงเรื่องการ  “เกษียณก่อนกำหนด”   บางคนบอกว่าอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ  40-50 ปี  โดยที่พวกเขามักวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่าจะมีเงินเพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหรือเรียกว่ามี  “อิสรภาพทางการเงิน”  ได้ในวันที่เกษียณ   หลังจากนั้น   เขาก็จะลงทุนเพียงอย่างเดียวและใช้ชีวิตและเวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบและเป็นประโยชน์    นั่นคือเป้าหมายสูงสุดและเป็นสิ่งที่ดี   แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนตั้งนั้นได้กำหนดเป้าอย่างสมจริงและมีเหตุผลดีพอหรือไม่    บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในอนาคตนั้นอาจจะมากกว่าปัจจุบันที่เขายังเป็นหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบคนอื่นนอกจากตนเอง    บางทีเขาอาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวต่อปีโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่เขาจะทำได้จริง ๆ  เช่นตั้งไว้ถึงปีละ 15%  ซึ่งเป็นสถิติระดับโลก   เป็นต้น  

ในฐานะของคนที่ผ่านชีวิตการ   “เกษียณก่อนกำหนด” มาแล้ว  ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมาย  “เกษียณก่อนกำหนด” อาจจะไม่มีความจำเป็นเลย    ว่าที่จริงผมเองไม่เคยตั้งเป้าเกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ   ผมคิดว่าชีวิตคนนั้นไม่มีวันเกษียณ   วันที่เกษียณก็คือวันที่เราตาย   ดังนั้น  ผมจึงคิดแต่ว่าเราจะทำงานไปเรื่อย ๆ   ถ้างานนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงงานและเวลาที่เราเสียไปรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงานนั้นด้วย   การที่คิดว่าตนเองมีเงิน  “พอ”  นั้น   เราอาจจะลืมเผื่อความปลอดภัย   หรือ  Margin Of Safety  ไว้    ลองนึกดูว่า   ถ้าเรามีเงินที่อยู่ในหุ้น  20  ล้านบาทแล้วเราคิดว่าเราสามารถเลิกทำงานประจำได้    เราลาออกจากงาน   แต่แล้วตลาดเกิดวิกฤติราคาหุ้นของเราตกลงมาเหลือเพียง  10  ล้าน   อิสรภาพทางการเงินของเราอาจจะหายไป   ดังนั้น   การทำงานประจำต่อไปเรื่อย ๆ  อาจจะเป็นการเพิ่ม  Margin Of  Safety  และทำให้เรามีเงินมากขึ้น   รวยขึ้น  และมีความสุขเพิ่มขึ้น    

การที่จะ  “เกษียณ” เมื่อไร   ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณากันในช่วงเวลานั้น   การตั้งเป้าล่วงหน้าไปไกล ๆ  นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยเฉพาะถ้ามันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมายหรือกลยุทธ์ที่บีบรัดตัวเองมากเกินไป   ซึ่งอาจทำให้เราต้อง  “เสียสละ”  ความสุขมากเกินไป   เพื่อที่จะไปถึง  “เป้าหมาย”  ที่เราคิดว่ามีความหมายมากในวันนี้แต่อาจจะไม่มีความหมายเมื่อเราไปถึง   ผมคิดว่า   “ชีวิตคือการเดินทาง”   เราต้องพยายามมีความสุขกับมันตลอดเส้นทาง   เป้าหมายของชีวิตที่เราพูดถึงนั้น   แท้ที่จริงมันคือหลักไมล์ต่าง ๆ   ที่เราวางแผนจะเดินผ่าน   การมี   “อิสรภาพทางการเงิน”   นั้นเป็นหลักไมล์ที่สำคัญเพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่เราชอบและมีความสุขได้    แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องเกษียณจากงานประจำถ้างานประจำนั้นยังให้ผลตอบแทนต่าง ๆ  คุ้มค่าและเรา “เลือก”  ที่จะทำต่อไป

ในความเห็นของผมนั้น   แผนของชีวิตที่เราควรมีและกำหนดให้ชัดเจนก็คือ   แน่นอน   เราควรมีเงินเท่าไรในแต่ละช่วงชีวิต  เช่น  เมื่ออายุ  40 ปี  50 ปี  60 ปี  และในวันที่เราตายที่  80  ปี  เป็นต้น    สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนวณก็คือ  รายได้จากการทำงานที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้น   ผมคิดว่าควรตั้งไว้ว่าเงินรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7%      รายจ่ายนั้น  สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของครอบครัว   จะต้องคำนึงถึงเรื่องการเลี้ยงดูและให้การศึกษากับลูก ๆ   และการดูแลพ่อแม่ถ้ามี    ในกรณีนี้คนที่ยังเป็นโสดอาจจะคาดการณ์ได้ยากกว่าเพราะยังไม่มีสถิติและข้อมูลในอดีตและปัจจุบันที่จะบอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร     รายจ่ายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องตั้งไว้ก็คือ  รายจ่ายสำหรับรายการใหญ่ ๆ   เช่น  การซื้อบ้านเป็นของตนเองถ้ายังไม่มี    การเดินทางท่องเที่ยวไกล ๆ  หรือต่างประเทศ  เช่น   บางคนอาจตั้งว่าจะเดินทางเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองปีครั้ง  เป็นต้น

แผนการเงินที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การออมและการลงทุน   นี่อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการที่เราจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปี   ควรจะกำหนดเป็นเป้าหมายว่า  เราจะออมโดยเฉลี่ยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้  ผมคิดว่าอย่างน้อย  10 %     นี่คงต้องคำนึงถึงรายจ่ายของแต่ละคนที่มีภาระไม่เท่ากัน   คนที่มีบ้านอยู่แล้วส่วนใหญ่น่าจะสามารถเก็บออมได้ดีกว่าคนที่ไม่มีบ้านและต้องผ่อนส่งอยู่    จะเก็บออมกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม   ควรคำนึงถึงว่าเงินที่เหลืออยู่นั้นไม่ทำให้ชีวิตของเราขัดสนจนหาความสุขไม่ได้

การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออม   ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน  10%  ต่อปีโดยเฉลี่ยยกเว้นว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีฝีมือสูง    ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร   ผมคิดว่าในระยะยาวหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความสะดวกในการทยอยลงทุนได้ดีกว่าหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอย่างอื่น   ดังนั้น  ควรตั้งเป้าว่าเงินออมของเรา  อย่างน้อยจะต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า   50%   โดยเฉลี่ย   นั่นจะเป็นเครื่องมือในการคุมให้ตนเองอยู่กับหุ้นได้ในยามที่ตลาดหุ้น  “ไม่ดี” ซึ่งมักจะเป็นโอกาสดีของการลงทุนในหุ้น

จากแผนทั้งหมดที่กล่าวถึง   เราก็อาจจะสามารถกำหนดหลักไมล์คร่าว ๆ  ได้ว่าเราจะมี  “อิสรภาพทางการเงิน”  เมื่อเรามีอายุเท่าไร   แผนที่ดีนั้น  เราควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณปีละ  3%  ไว้ด้วย   ซึ่งจะทำให้เงิน  20 ล้านบาทในวันนี้อาจจะไม่พอในวันที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินในอีก 20 ปีข้างหน้า   เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีอิสรภาพทางการเงินได้จริง  ๆ   ก่อนอายุ 60 ปี  ซึ่งทำให้เราไม่สามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ตามที่หวังไว้   อย่าเสียใจหรือท้อถอย   ชีวิตคือ “การเดินทาง”   เงินคือปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้การเดินทางง่าย  สะดวก   และน่ารื่นรมย์    แต่มันไม่จำเป็นต้องมากจนเหลือเฟือ   คนรวยจำนวนมากกลับทุกข์มากกว่าคนชั้นกลาง    เช่นเดียวกัน  คนเกษียณก่อนกำหนดก็ไม่ได้มีความสุขกันทุกคน   หลายคนที่ผมรู้จักบ่นว่า  เขาไม่รู้จะทำอะไรหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลกหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด
 
ข้อแนะนำสุดท้ายของผมสำหรับคนที่มองถึงการเกษียณก่อนกำหนดก็คือ   เราต้องมั่นใจว่ามีสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ   ทำแล้วมีความสุขจริงในระยะยาว   ผมเตือนเรื่องนี้เพราะมักได้ยินคนบางคนพูดถึงเรื่องการสอนหนังสือหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด   เหตุผลก็คือ  การบรรยายหรือการสอนหนังสือเล็ก ๆ  น้อย  ๆ   นั้น   ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกดีมีความสุข    แต่การสอนนักเรียนที่ต้องมาฟังเราทุกสัปดาห์เพื่อให้สอบได้นั้น   บางทีเราอาจจะไม่รู้สึกสนุกหรืออยากทำก็ได้

จากคุณ : Wild Rabbit
เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 54 22:55:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com