หุ้นหมัดน๊อค / By Yoyo ThaiVI
|
|
หุ้นที่ผมชอบมากๆคือหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้สูงและมีโอกาสที่จะขาดทุนต่ำ ซึ่งผมตั้งชื่อว่าหุ้นหมัดน๊อก
ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา ผมพยายามนั่งคิดย้อนกลับไปว่าหุ้นที่ทำกำไรให้ผมมากๆ และขณะเดียวกันไม่ค่อยทำให้ผมขาดทุน ส่วนใหญ่มีลักษณะอย่างไร หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนนักลงทุนหลายๆคน ผมก็เลยพอจับลักษณะสำคัญของหุ้นที่ทำกำไรสูงได้ว่าต้องมีหมัดเด็ด 2 หมัดนี้เป็นสำคัญ
หมัดที่ 1. เป็นหุ้นที่มี pe ต่ำ - pe ที่พูดถึงในที่นี้จะต้องมองไปในอนาคตนะครับ คือจะต้องคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตให้ได้แล้วประเมิน pe ออกมา ยิ่ง pe ต่ำเท่าไหร่ หมัดนี้ก็ยิ่งหนักเท่านั้น หมัดที่ 2. เป็นหุ้นที่มี Growth ของกำไรในอนาคตที่ค่อนข้างสูง - แนวโน้มของผลกำไรในอนาคตจะต้องสูงขึ้นติดๆกันหลายๆปี ไม่ใช่ปีหน้าโตสูง แต่ปีถัดไปอาจจะแย่แบบนี้ไม่เอา ผมว่า growth ที่พอจะเป็นหมัดน๊อกได้นี้ควรจะอย่างต่ำก็ซัก 25% ขึ้นๆไป
หุ้นที่มีหมัดเด็ดครบทั้ง 2 หมัดนั้นค่อนข้างหายาก แต่ถ้าเจอแล้วจะสร้างกำไรให้เราได้มาก... ลองมาดูกันนะครับว่ามันมีมันสร้างกำไรให้เราได้อย่างไร
กรณีเข้าเป้าทุกหมัด (ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้) สมมติผมสามารถซื้อหุ้นที่มีราคา 6 บาท eps สิ้นปีนี้ประมาณ 1 คิดเป็น pe ประมาณ 6 เท่า และมี growth สูงในอนาคตหลายๆปี หุ้นตัวนี้มี pe เหมาะสมที่คนส่วนใหญ่ให้ประมาณ 8 เท่า (อาจจะดูได้จากค่า pe ที่บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ หรือถ้าไม่มีบทวิเคราะห์ก็ใช้การประมาณ pe ที่เหมาะสมอย่างที่เคยเขียนในบทความก่อนๆ ตรงนี้ไม่มีสูตรตายตัว)
- ถ้ากำไรของหุ้นสามารถเติบโตไปได้ประมาณ 25% ต่อปี โดยที่หุ้นยังคงซื้อขายกันที่ pe 6 เท่าอยู่ตลอด การซื้อหุ้นถือยาวๆก็จะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 25% - แต่ถ้าหุ้นปรับขึ้นไปซื้อขายเป็น pe 8 เท่า ใน 1 ปีข้างหน้ากำไรจะเพิ่มเป็น 1.25 บาท ทำให้ซื้อขายกันที่ราคา 10 บาท ทำให้ได้ผลตอบแทนถึง 67% ใน 1 ปีเท่านั้น - มากไปกว่านั้นซึ่งผมเรียกว่าเป็นกรณีพิเศษ (ซึ่งหลายๆครั้งก็มีโอกาสเกิดขึ้นอยู่บ้าง และทำกำไรให้ port ผมมากๆ) คือการที่ตลาดเริ่มเห็นหุ้นค่าของหุ้นตัวนี้ว่ามีการเติบโตค่อนข้างสูง ทำให้หุ้นเป็นที่นิยมมากขึ้นและค่า pe ที่เหมาะสมถูกปรับขึ้นมากกว่าเดิมจาก 8 เท่าไปเป็น 10 เท่า 12 เท่า หรือแม้แต่ 15 เท่า เมื่อบริหารโตไป 25% ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น ณ pe 8 10 12 15 เป็นดังนี้ 10 12.5 15 18.75 บาท ตามลำดับ เทียบจากต้นทุนที่ซื้อมาที่ 6 บาท จะทำผลตอบแทนได้สูงถึง 67% 108% 150% 212.5% ตามลำดับเช่นกัน
หุ้นประเภทนี้ถ้าให้ยกตัวอย่างในปีนี้จะเห็นได้ชัดๆ 3 ตัว คือ snc uec และ ums เพราะเมื่อช่วงต้นปี ผมก็ได้ยินคนพูดถึงหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้อยู่หลายคน ซึ่งส่วนใหญ่เค้าก็จะซื้อหุ้นแล้วประเมินกันว่า pe เหมาะสมน่าจะประมาณ 8 เท่า growth ของหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้อยู่ในหลัก 25-30% ขึ้นไปทั้งนั้น และมีแนวโน้มจะโตในลักษณะนี้ไปหลายปี คนที่ซื้อช่วงนั้นส่วนใหญ่ก็ซื้อหุ้นกันประมาณ pe 6-7 เท่ากัน พอเวลาผ่านไปผลประกอบการเริ่มแสดงออกมาให้เห็นก็เห็นได้ชัดส่วนหุ้นทั้ง 3 ตัวมีแนวโน้มกำไรที่โตมากจริงๆ คนเริ่มเข้ามาสนใจมากขึ้น นักวิเคราะห์ก็เริ่มเข้ามาวิเคราะห์ ทำให้ pe ของหุ้นทั้ง 3 ตัวนั้นถูกมองไปถึงระดับ 12 เท่าเป็นอย่างต่ำ (ums ตัวเดียวที่ดูเหมือนว่าจะให้กันระดับสูงถึง 15 เท่า) snc วิ่งจากประมาณ 7 บาทไปเป็น 14 บาท uec จาก 12 บาทไปเป็น 40 บาท (ก่อนแตกพาร์) และ ums จาก 15 บาทไปถึงหลัก 100 บาท (ปรับพาร์ให้ตรงกัน)
ปีนี้ก็โชคดีที่ผมและเพื่อนหลายๆ ได้ซื้อหุ้นทั้ง 3 ตัวมากน้อยบ้างตามจังหวะทำให้ได้ผลตอบแทนกันสูงมาก
กรณีพลาดไป 1 หมัด เข้าเป้าหมัดเดียว - เช่นหุ้นอาจจะโตน้อยกว่าที่คิดเช่นคาดไว้ว่าจะโต 25% กลับโตแค่ 10% แต่ถ้าเราซื้อมาใน pe ที่ต่ำนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะปรับ pe เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ซึ่งการโต 10% ก็ให้ eps เป็น 1.1 แต่ราคาซื้อขายก็ไปได้ถึง 8.8 หรือ 11 บาท จากทุนที่ซื้อมา 6 บาทก็ยังสร้างผลตอบแทนได้มาก - หรือหุ้นอาจจะโตไปตามคาด 25% แล้วหุ้นมี pe อยู่ที่ 6 หรือ 8 เท่า ผลตอบแทนก็ยังอยู่ในระดับที่ 25% และ 67% ซึ่งก็ไม่ได้น้อยเลย
เพราะงั้นจะเห็นว่าถ้าเรามีหมัดเด็ดอยู่ 2 หมัด แม้บางหมัดอาจจะพลาดเป้าไปบ้างแต่ก็ยังพอที่จะอัดผลตอบแทนได้เพียงพอ ยิ่งถ้าเข้าเป้าทั้ง 2 หมัดได้เน้นๆแบบหุ้นทั้ง 3 ตัวข้างต้น ก็จะสร้างผลตอบแทนให้ port ได้ระดับ 100% ได้เลย (ปีนี้ผมเจอคนที่ผลตอบแทนระดับ 100% ขึ้นไปแทบจะนับไม่ถ้วนเพราะเจ้าหุ้น 3 ตัวนี้แหละ)
กรณีหุ้นที่มีหมัดเด็ดอยู่หมัดเดียว - เช่นหุ้นที่มีคุณภาพดี มีแนวโน้มกำไรโตดี เช่น 20-25% แต่มี pe สูงถึง 15 หรือ 20 เท่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด การถือหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนเท่ากับ growth การที่ pe จะปรับเพิ่มขึ้นคงยากเพราะมันสูงมากอยู่แล้ว นี่ยิ่งถ้าเกิดว่าเราคาดการณ์ผิด หมัด growth ที่ยิ่งออกไปไม่เข้าเป้า แทนที่จะ growth 25% บริษัทกลับโตเพียง 5% และมีการปรับ pe ลดลง (หุ้นที่ pe สูงมักจะมีการคาดหวังสูง ถ้ากำไรไม่ได้โตตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับ pe ลดลงก็มีให้เห็นบ่อย) กรณีแบบนี้จะทำให้ขาดทุนเอาได้ง่ายๆ ในขณะที่ถ้าได้ผลตอบแทนก็คงไม่ได้สูงมากอะไร - หุ้นที่ growth ไม่สูง แต่ pe ต่ำ แบบนี้ถ้าเป็นไปตามคาดคือกำไรอาจจะโตได้ซัก 10% แล้ว pe ปรับเพิ่มได้อีก ก็ได้ผลตอบแทนสุงกว่า 10% กรณีที่แย่หน่อยคือ pe ไม่ได้ปรับเพิ่มอย่างน้อยก็จะได้ผลอตอบแทนอย่างต่ำประมาณ 10%
จะเห็นว่าการถือหุ้นที่มีหมัดเด็ดเพียงหมัดเดียวนั้น นอกจากจะให้ผลตอบแทนไม่สูงแล้ว จะมีโอกาสที่จะทำให้เราขาดทุนได้มากด้วยเช่นกัน แต่การจะหาหุ้นที่มีหมัดเด็ดครบ 2 หมัดนั้น โอกาสเจอก็ค่อนข้างยากพอสมควร ใน 1 ปีเจอซักตัวก็ดีใจแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเจอหุ้นที่ครบเครื่องทั้ง 2 หมัด เราควรจะซื้อในสัดส่วนที่สูงของ port (แต่ก็ไม่ควรเกิน 50% เพราะของแบบนี้อะไรก็ไม่แน่นอน มันอาจจะพลาดก็เป็นได้) แต่ถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ การถือหุ้นหมัดเดียวก็ยังพอยอมรับได้ แต่ต้องมั่นใจจริงๆว่าหมัดนั้นจะเข้าเป้า อย่างปัจจุบันผมยังถือหุ้นตัวนึงอยู่ซึ่งตอนนี้เอง pe ก็อยู่ในระดับสูงถึง 12 เท่าแล้ว การที่ pe จะปรับขึ้นอีกคงเป็นไปได้ยาก แต่ผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าผลกำไรในอนาคตยังมี growth อยู่ในระดับที่สูงอยู่ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยๆ คงเข้าเป้าซักหมัดแน่ๆ
ปล. ถ้าคนเคยอ่านหนังสือของ Peter Lynch อาจจะจำอัตราส่วน PEG ได้ .... คือเอา p/e หารด้วย growth ซะ .. ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี .. จริงๆก็มีพื้นฐานแนวคิดคล้ายๆกันครับ ผมเอามาอธิบายในภาษาแบบของ
หุ้นหมัดน๊อค (ภาคขยายความ) มีคนอยากให้ผมยกตัวอย่างหุ้นหมัดน๊อคที่เห็นได้ชัดๆในช่วงนี้ ... จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ค่อยกล้าที่จะมาทำนายล่วงหน้าเท่าไหร่ว่าหุ้นไหนจะเป็นยังไง... เพราะหลายๆครั้งก็มีพลาดอยู่เหมือนกัน.. บอกๆไปเดี๋ยวจะมีคนมาติดหุ้นตามจะซวยกันหมด ...
จริงๆแล้วระหว่างที่ผมเขียนบทความเจ้าหุ้นหมัดน๊อคอันที่แล้ว มีหุ้นอยู่ตัวนึงที่ผมนึกถึงอยู่คือบริษัทไทยเรยอน หรือมีตัวย่อว่า TR คุณสมบัติของ TR นี่เรียกได้ว่าเข้าแก๊ปจากบทความที่แล้วเป๊ะเลย .. คือมีแนวโน้มธุรกิจและผลกำไรที่ดี และมี PE ต่ำ
TR ที่ทำเส้นใยเรยอนครับ .. เป็นบริษัทระดับโลก อยู่ในกลุ่ม Grasim ซึ่งเป็นบริษัทอินเดีย มีคู่แข่งอยู่ในตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น .. เรียกได้ว่าผูกขาดกลายๆเหมือนกัน เลยทำให้เป็นธุรกิจผลิตเส้นใยที่ดูไม่น่าจะมีกำไรดีเท่าไหร่ แต่ดันกำไรดีมากๆ เมื่อปีก่อนมี Gross Profit Margin ประมาณ 22-23 กว่า % ซึ่งสูงมากๆ สำหรับธุรกิจที่ดูน่าเบื่อแบบนี้
ผมมาเจอมันเมื่อประมาณกลางๆปี 50 เห็นว่าบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตอย่างมาก จากที่ไม่ได้ขยายมากนาน.. ก็เลยดูว่าน่าจะมีอะไรดีให้ติดตาม เลยค้นไปต่อ .. พยายามหาราคาเส้นใยเรยอนจาก Google แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่พอดีไปเจอราคาของ Cotton ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนกัน .. ผมก็เลยเอาราคาของ Cotton เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ .. ก็เห็นว่าราคา Cotton นั้นก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดเอาเองว่าเรยอนก็น่าจะขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะถ้า Cotton แพง คนก็จะเปลี่ยนไปใช้เส้นในอื่น .. พอมาใช้เรยอนเยอะขึ้น ตามหลัก Demand Supply ก็น่าจะทำให้เรยอนเพิ่มตาม ... แต่หลักฐานที่ชัดเจนว่าจะดีก็ยังไม่มีครับ เพราะเป็นข้อมูลที่เดาๆเอาเอง
แต่พอดูจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว จากเดิมมีกำลังประมาณ 3 สายการผลิต .. บริษัทเพิ่มในช่วงต้นปี 50 ไป 1 สาย .. และมีกำลังลงเครื่องจักเพิ่มปี 51 อีก 1 สาย แถมสายการผลิตใหม่ก็เป็นสายที่ทันสมัยกว่า สามารถผลิตเส้นใยเรยอนก็ได้ .. หรือเส้นในโมดาลก็ได้ (ซึ่งเป็นเส้นใยที่กำไรดีกว่าเรยอนอีก) นอกจากนี้บริษัทยังขยายโรงงานไปทำวัตถุดิบเอง ทั้งคาร์บอนไดซัลไฟ รวมถึงย้อนไปปลูกต้นไม้ที่เป็นวัตถุดิบหลักอีกตัวหนึ่ง .... เห็นแบบนี้แล้วผมก็ดูว่าแม้ราคาเรยอนไม่ได้เพิ่มขึ้น (ซึ่งผมดูจากราคา Cotton แล้วก็น่าจะขึ้นนะ) ลำพังแค่กำลังการผลิตที่เพิ่มใหม่ก็น่าจะทำให้บริษัทมี Growth ในระดับที่ดีได้แถว 25-30% ถ้าราคาเส้นใยยังเพิ่มขึ้นได้อีก .. Growth ของกำไรอาจจะได้เห็นเกิน 30-35% ได้
ตอนที่ผมซื้องบออกมาแล้ว 2 ไตรมาสได้กำไรประมาณ 4.4 บาทต่อหุ้น ผมคิดแบบง่ายๆคือเอา 2 คูณไปเป็น 8.8 บาทต่อหุ้น เป็นกำไรทั้งปีแบบหยาบๆ ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 40 บาทคิดเป็น PE ประมาณ 4.5 เท่าซึ่งน่าสนใจมากๆกับหุ้นที่มี Growth แบบนี้ และถึงแม้ว่ากำไรอาจจะไม่เป็นไปตามที่ผมคาด แต่ด้วยราคาที่ซื้อมาไม่แพงเทียบกับ PE แล้ว ผมว่าความปลอดภัยก็น่าจะมีระดับหนึ่ง เลยซื้อหุ้นเข้าไปเรื่อยๆ
ผมซื้อหุ้นไปไม่นานได้ราคาเฉลี่ยแถวๆ 44 บาท งบก็ประกาศออกมาว่าบริษัทได้กำไรในไตรมาส 3 ประมาณ 3.2 บาทต่อหุ้น .. ซึ่งเกินที่ผมตั้งใจว่าจะเป็น 2.2 บาทไว้สูงมาก ราคาหุ้นก็ไปยืนอยู่แถวๆ 50 บาทอยู่ได้พักใหญ่ ... ณ ตอนนี้ผมมีผลตอบแทนแล้วประมาณ 13-14% ซึ่งก็ไม่น้อยเลยด้วยระยะเวลาสั้นๆ .....
สาเหตุที่งบออกมากำไรดีนั้น เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ (สายที่ 4) ทำให้บริษัทผลิตสินค้าออกมาขายได้มากขึ้น บวกกับราคาเส้นในเรยอนนั้นสูงขึ้นจนทำให้ Gross Margin ที่เคยทำได้ประมาณ 23 ต้นๆนั้นพุ่งไปถึง 30% .... ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าผมเริ่มมาถูกทางแล้ว กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นก็เห็นผลชัดเจนดี ราคาเรยอนก็เพิ่มขึ้นตามที่คิดไว้ (จริงๆเพิ่มสูงกว่าที่คิดไว้เยอะเลย แฮะๆ) ผมก็เลยถือหุ้นต่อไป แม้หุ้นจะไม่ค่อยขยับไปมากเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับกำไรที่เกินคาดขนาดนี้ ....
แต่เมื่อไม่นานมานี้อาจจะด้วยว่ามีคนมาสนใจหุ้น TR เพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ดี จากหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใน Trade กันที่ PE ประมาณ 5-6 เท่ามาตลอด .. ราคาเริ่มไต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนมาสูงถึง 70 บาทในเวลาไม่นานมาก ... (ณ เวลานี้ผมได้ผลตอบแทนไปแล้ว 59%) ซึ่งกำไรที่ทำไว้ 3 ไตรมาสแรกประมาณ 8 บาทนั้น เมื่อรวมกับกำไรในไตรมาส 4 ที่ผมคาดไว้น่าจะประมาณ 3 บาท (ให้น้อยกว่าไตมาส 3 ที่ทำได้ 3.2 บาทนิดหน่อย เพื่อความปลอดภัยในการประมาณ) จะทำให้ TR มีกำไรทั้งปีประมาณ 11 บาท เทียบกับราคา 70 ก็ Trade กันที่ PE 6.4 เท่าซึ่งสูงกว่าที่เคยเป็นมาพอสมควร ... (ผมแอบหวังว่าตลาดให้ความสนใจมากขึ้นจะปรับ PE ของ TR ให้เพิ่มขึ้นได้กว่าที่เคยเป็นที่ 5-6 มาอยู่ในระดับ 6-7 เท่า)
จากการที่ผลกำไรของบริษัทนั้นดีขึ้นเรื่อยๆจากการขยายกำลังการผลิตสายที่ 4 และราคาเส้นในที่สูงขึ้น ทำให้ไตรมาส 3 ทำกำไรได้ประมาณ 3.2 บาท ผมก็คิดต่อเอาเองเล่นๆว่า ในช่วงเดือนมีนาปี 51 สายการผลิตสายที่ 5 จะสามารถเริ่มผลิตได้ตามแผน บวกกับการที่บริษัทย้อนกลับไปทำวัตถุดิบเอง ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรที่น่าจะสูงขึ้นกว่า 3.2 บาท .. ผมแอบฝันไปว่าบริษัทจะทำกำไรได้ถึง 4 บาทต่อไตรมาส ... (เพื่อนๆก็เตือนๆกันบ้างอยู่เหมือนกัน ว่าฝันเกินไปรึเปล่า) แต่คิดในใจแล้วทั้งปีก็น่าจะได้ 16 บาท ... เอ้า เป็น 15 ก็ได้.. ลดให้นิดนึง ที่ราคาแถวๆ 68-70 บาทก็คิดเป็น PE เพียง 4.67 เท่าเท่านั้นเอง ... แม้ราคามันจะขึ้นมาเยอะ แต่กำไรมันก็วิ่งเร็วไม่แพ้กัน ทำให้ PE มันยังไม่สูงมาก เห็นยังนี้แล้วผมก็เลยซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อยแถวๆ 68-69 บาท โดยคาดหวังว่าไตรมาส 4 จะทำกำไรได้ซัก 3 บาท แล้วค่อยเพิ่มเป็น 4 บาทต่อไตรมาสในไตรมาสต่อๆไป ....
ณ เวลานี้มีพี่ๆบางคนผมว่าบริษัทอาจจะทำได้ถึงไตรมาสละ 5 บาทก็ได้เป็น .. แต่ผมก็ยังว่ามันดูเยอะไปหน่อย ... แค่ 4 บาทผมก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว ... ถ้าทำได้ 15 บาทต่อหุ้นแล้ว PE 8 เท่า ราคาอาจะได้เห็น 120 บาท ... นี่คิดจากที่ผมซื้อครั้งแรกแถวๆ 44 เป็นผลตอบแทนถึง 172% เลยนะเนี่ย
ระหว่างนี้ก็ยังมี Update ราคาเส้นใยอยู่บ้าง ... หาราคา Cotton ดู ก็ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ .... แม้จะคิดไว้แต่แรกว่าไตรมาส 4 นี่ทำได้ 3 บาทก็ดีแล้ว....
เมื่อเย็นวันนี้นี่เอง งบ TR ไตรมาส 4 เพิ่งออกมาให้เห็น .... ผมเห็นกำไรแล้วก็ตกใจตะลึง .. O_O บริษัทสามารถทำกำไรได้ประมาณ 4.4 บาทเลย ... เกินที่ผมคิดไว้เยอะไปไกลมาก ไปดูในงบให้ละเอียดขึ้น ก็เห็นว่ารายได้เพิ่มขึ้นมาก (ผมนับเฉพาะรายได้จากการขายนะครับ คนที่ไปดูงบแล้วดูรายได้รวมอาจจะต่างจากที่ผมเขียนไว้) ... จากปีที่แล้วทำได้เฉลี่ย Q ละ 1300 มา Q1-1418, Q2-1596, Q3-1915 และ Q4 ทำได้สูงถึง 2336 ล้านบาท และ Margin ก็เพิ่มจาก Q3 ที่สูงมากอยู่แล้วที่ 30% มาเป็น 37% .... แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเส้นใยเรยอนต้องมีราคาเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ บริษัทถึงทำกำไรขั้นต้นเป็น % ได้สูงมากขนาดนี้
วันนี้งบออก ไม่รู้พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะเป็นยังไงบ้าง .. เสียดายที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ไว้ไม่เยอะมาก (เพราะปัญหาเรื่องสภาพคล่อง + กับตังค์หมดพอดี) ถ้าซื้อไว้เยอะๆคงจะกำไรเยอะกว่านี้อีกเพียบ .. (สุธาษิตจากพี่พอใจใน ThaiVI ที่บอกว่า "รู้อะไรไม่สู้รู้งี้" ยังคงใช้ได้ดีเสมอในทุกสถานการณ์)
วันนี้พี่ที่บอกไว้ว่ากำไรต่อหุ้นปีหน้าได้ซัก 5 บาท ก็อาจจะไม่ใช่ฝันเกินจริงๆแล้วก็ได้ครับ ... ถ้าทำได้จริงบริษัทมีกำไรทั้งปีที่ 20 บาทต่อหุ้น .. บวกกับการที่คนมาสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้น เห็นความแข็งแกร่งและแนวโน้มธุรกิจที่ดีมากขึ้น อาจจะทำให้ PE ไปถึง 8 เท่า ... ราคาหุ้นคงมีลุ้นที่ 160 บาทได้ ... คิดจากราคาที่ 44 บาทซึ่งเป็นทุนของผม ... คิดได้เป็นผลตอบแทนถึง 264% ในระยะเวลาปีมาณ 1 ปีกว่าๆเท่านั้นเอง
นี้แหละครับ .. หุ้นหมัดน๊อค ที่ผมพูดถึง พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นรึยัง ....
ปล.1 ราคาหุ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เกินคาดเดาครับ .. ที่ผมเขียนไปเป็นการคาดการณ์ของผมเองล้วนๆ โอกาสผิดพลาดก็อาจจะมีสูง เพราะเวลาที่ถือหุ้นตัวไหนอยู่เยอะๆ ผมชอบจะมีอาการ Bias คิดเข้าข้างหุ้นตัวเองอยู่พอสมควร .. ต้องระวังจุดนี้ด้วย (เพราะผมเชื่อว่าได้อาการเข้าข้างหุ้นตัวเองที่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับที่เป็น .... คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นกันทั้งนั้น)
ปล.2 มีหลายครั้งที่ผมคิดผิดในหุ้นบางตัว ... เช่นกำไรไม่เป็นไปตามที่คาดบ้าง ไม่ค่อยมีคนมาสนใจบ้าง..ทำให้ PE ที่น่าจะสูงขึ้นกลับนิ่งอยู่เหมือนเดิม ... ก็ทำให้ผลตอบแทนไม่ได้สูงอย่างที่ตั้งใจ .. แต่อย่างไรก็ตาม .. การที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ แม้กำไรจะไม่ดีอย่างที่คิด .. หุ้นก็มักจะไม่ลงแรง หรือการซือ้หุ้นที่มีกำไรเติบโตที่พอใช้ แม้ PE ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น เราก็ยังได้ผลตอบแทนเท่าๆกับกำไรที่เติบโตซึ่งก็ยังดี นอกจากจะเป็นเหตุการณ์ที่แย่ที่สุด คือนอกจากกำไรจะไม่โตแล้ว ยังกำไรลดลงด้วย .. และยิ่งกำไรลดลงคนก็อาจจะมองหุ้นแต่ลง PE ก็อาจจะโดนปรับลดลงได้ ... ทำให้ขาดทุนได้เหมือนกัน ... เพราะฉะนั้น จะซื้อหุ้นอะไรต้องศึกษาให้ดีนะครับ ไม่ใช่เห็นใครบอกว่าดีก็ซื้อๆตามโดยไม่ได้ดูพื้นฐานด้วยตัวเอง โอกาสขาดทุนมันสูง ...
ปล.เป็นบทความที่ผมเก็บไว้นานแล้ว แต่อ่านแล้วมีประโยชฯน์ ก็เลยเอามาโพสแชร์ให้อ่านนะครับ อาจจะยาวไปสักหน่อย เพราะมี 2 ตอนครับ
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ธ.ค. 54 10:14:01
|
|
|
|