เงื่อนไขในการเลือกหุ้น / by YOYO -Thai VI
|
|
(เป็นเอกสารเก่าสำเนาจากเวป เวปบล๊อก Settrade com) วันนี้ผม(คุณโยโย)เอาบทความที่ผมเขียนให้กับเอกสารในงานสัมมนาประจำปีของเวป thaivi มาลงนะครับ แม้เนื้อหาบางส่วนอาจจะมีซ้ำกับที่เคยเขียนไปแล้วบ้าง แต่ก็น่าจะมีประโยชน์อยู่พอสมควร เนื่องจากทางเวปขอให้ผมเขียนหลักการในการเลือกหุ้น ที่นี้ที่ผ่านมาจริงๆผมเองก็ไม่ได้ถึงกับมีหลักการอะไรมากมาย ก็เลยเพิ่งมานั่งคิดทบทวนดูเอาเองว่าที่ผ่านมานั้นเราเลือกหุ้นอย่างไร แล้วจึงรวมออกมาเป็นประเด็นหลักๆ ตามบทความข้างล่างนี้ครับ .. ไปอ่านกันเลยดีกว่า ____________________________
การลงทุนแบบ VI ทั่วไปถ้ามีการทำการบ้านมามากพอ ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ทในระยะยาวก็น่าจะสามารถชนะตลาดได้ไม่ยากนัก ปกติผมจะตั้งเป้าหมายในการทำกำไรให้ได้ปีละประมาณ 15% ซึ่งการกำหนดเป้าหมายเอาไว้ก็เพื่อให้เราเกิดความกระตืนรือร้นในการค้นหาหุ้น แต่เราก็ไม่ควรที่จะตั้งเป้าหมายให้สูงจนเกินไป เพราะยิ่งกำหนดเป้าหมายไว้สูงมากๆ เช่น กำไรปีละ 50-100% ต่อปี จะทำให้พฤติกรรมในการเลือกหุ้นของเรานั่นเปลี่ยนแปลงไป มีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งผมเองก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อปี 49 เป็นปีที่ผมทำผลตอบแทนได้สูงมากๆ ในช่วงต้นปี 50 ก็เลยหวังว่าจะทำได้ในระดับเดียวกัน พอเจอหุ้นที่คิดว่าดีมี PE ต่ำก็เลยรีบตะครุบ โดยไม่ได้มองให้ลึกว่าบริษัทมีข้อเสียอื่นๆอยู่หลายอย่าง สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บตัว ยังดีที่กลับตัวทันได้ ก็เลยไม่เจ็บตัวมากนัก
ดังนั้นจุดเริ่มต้นในการเลือกหุ้นที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญอันดับแรกก็คือการที่มีทัศนะคติที่ถูกต้องในการลงทุน โดยการตั้งเป้าหมายผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในกรอบเวลาที่เหมาะสม โดยการกำหนดเป้าหมายก็ควรจะมองในระยะยาวเช่นกำไร 10-12% ใน 1 ปี ไม่ใช่หวังกำไร 10% ต่อเดือน เพื่อที่จะเป็นกรอบคิดอย่างหนึ่งในการเลือกหุ้น ไม่ให้เราสุ่มเสี่ยงจนเกินไป และเน้นผลตอบแทนในระยะยาวเป็นหลัก
ในการคัดเลือกหุ้นแต่ละตัวผมจะเริ่มต้นจากการดูคุณภาพของหุ้นก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงมาดูเรื่องของราคาทีหลัง ถ้าเจอหุ้นที่มีแนวโน้มไม่ค่อยดี กำไรมีทีท่าว่าจะลดลงในระยะยาว อาจจะเนื่องมาจากภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง หรืออาจจะเนื่องมาจากบริษัทได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เช่น มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในธุรกิจ หรือเกิดการแข่งขันตัดราคาอย่างรุนแรง หุ้นที่คุณภาพต่ำๆแบบนี้ต่อให้เห็นว่าราคาถูกแค่ไหน เช่น PE อาจจะแค่ 2-3 เท่า ผมก็ไม่คิดที่จะซื้อเพราะถ้าบริษัทมีกำไรลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ PE ที่เราเห็นว่าต่ำในปัจจุบันอาจจะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นหุ้นที่แพงไปเลยก็ได้
สำหรับหุ้นที่ดีนั้นผมคิดว่ามีเงื่อนไขหลักอยู่ 3 ประการ คือ เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ดี มีความสามารถในการการแข่งขันสูง และสุดท้ายต้องมีผู้บริหารที่ดี ซึ่งบริษัทที่ผมจะสนใจลงทุนนั้นจะต้องผ่านเงื่อนไข 2 ประการเป็นอย่างน้อย เช่น • อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มดีและมีผู้บริหารที่ดี ถึงแม้ความสามารถในการแข่งไม่ได้สูงมาก แต่ก็มีโอกาสสูงที่บริษัทนั้นจะสามารถเติบโตควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมได้ • บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงและมีผู้บริหารที่ดี ถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ดี แต่ด้วยความได้เปรียบในการแข่งขันบวกกับความสามารถของผู้บริหารก็มีโอกาสที่บริษัทนั้นจะสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการค้ามาจากคู่แข่งได้ แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะแย่ลงแต่รายได้และกำไรของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้นก็ได้ • บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ดีและมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง แม้ผู้บริหารอาจจะไม่เก่งมากแต่บริษัทก็สามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้ไม่ยากนัก เราอาจจะเห็นได้ในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรงมากๆ เวลาอุตสาหกรรมเป็นขาขึ้นพวกหุ้นที่มีตำแหน่งทางการตลาดที่ดีมีทรัพยากรที่เพียงพอก็มักจะดีขึ้นเกือบทุกตัว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ หุ้นกลุ่มเรือ กำไรดีขึ้นกันทุกรายแม้ผู้บริหารบางท่านอาจจะไม่ได้เก่งมากมายอะไร
แต่ถ้าใครสามารถค้นหาหุ้นที่มีจุดแข็งครบเครื่องทั้ง 3 ด้านก็อาจจะเรียกว่าเป็น Super stock ได้ โอกาสที่จะทำกำไรนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วละครับ
เมื่อเราเลือกหุ้นที่มีคุณภาพดีพอควรตามเงื่อนไขข้างต้นได้แล้ว เราจึงมาดูราคาเป็นเงื่อนไขข้อสุดท้าย วิธีการประเมินความถูกแพงของราคาหุ้นก็มีอยู่หลายวิธี ผมจะไม่ขอพูดถึงในที่นี้ละกัน เพราะเรื่องมันจะยาวจนเกินไป ถ้าใครสนใจอ่านเพิ่มเติมลองเข้าไปติดตามอ่านได้ที่กระทู้ตระแกรงร่อนในเวป http://www.thaivi.com/ ซึ่งมีเขียนไว้ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นในที่นี้ผมจะพูดถึงเฉพาะวิธีหลักที่ผมใช้ในการประเมินความถูกแพงของหุ้น ซึ่งได้แก่การดูจาก PE
จากการประมวลคุณภาพของหุ้นโดยใช้เงื่อนไข 3 ข้างต้น ยิ่งหุ้นมีคุณภาพสูงมากเท่าใด PE ที่เหมาะสมของหุ้นจะสูงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทั่วๆไปผมมักจะกำหนด PE ที่เหมาะสมอยู่ในกรอบประมาณ 6-10 เท่า การกำหนดระดับ PE ที่เหมาะสมนั้นเป็นศาสตร์ที่ใช้ศิลปะค่อนข้างมาก เพราะไม่มีสูตรตายตัวว่าหุ้นแบบไหนควรมี PE เท่าไหร่ นักลงทุนจะต้องตรวจสอบคุณภาพของหุ้นให้ครบทุกด้านและประมวลผลจากข้อมูลที่มีอยู่ออกมาเป็นตัวเลข PE เพียงตัวเดียว ช่วงแรกๆของการลงทุนอาจจะมีปัญหาในการประมาณค่า PE บ้าง แต่ถ้าลองศึกษาหุ้นหลายๆ ประเภท อ่านบทวิเคราะห์และติดตามผลประกอบการอยู่เรื่อยๆ เซ้นส์ในเรื่องการกำหนด PE ที่เหมาะสมจะเกิดขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตามบางครั้งหุ้นที่ PE เกิน 10 บางตัวผมก็กล้าลงทุน ถ้าผมมั่นใจจริงๆว่าบริษัทมีจุดเด่นทั้ง 3 ด้านอย่างโดดเด่นมากๆ
หลังจากกำหนด PE ที่เหมาะสมของหุ้นได้ หน้าที่ต่อไปของนักลงทุนก็คือการประมาณผลกำไรของบริษัทล่วงหน้าว่าบริษัทจะมี กำไรต่อหุ้นทั้งปีประมาณเท่าไหร่ เช่นถ้าประมาณออกมาว่าหุ้นควรจะมี EPS ประมาณ 1 บาท ในขณะที่ PE ควรจะอยู่ที่ 8 เท่า ราคาเป้าหมายก็อยู่ที่ประมาณ 8 บาท อย่างไรก็ตามการประมาณ EPS ในอนาคตไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จำเป็นที่จะต้องมีการสมมติตัวเลขหลายๆตัว ถ้าเรามีข้อมูลในการประเมินมากโอกาสถูกก็มาก แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีความมั่นใจในการคาดการณ์ต่ำ ทางที่ดีก็ควรจะประมาณให้ EPS นั้นต่ำไว้กว่าที่เราคิดไว้ก่อน เพื่อให้ราคาหุ้นที่คิดได้นั้นไม่สูงจนเกินไป
จะเห็นว่าหลักการในการเลือกหุ้นและกำหนดราคาเป้าหมายของผมนั้นไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก การบ้านที่นักลงทุนต้องทำคือการหาข้อมูลบริษัทให้มากเพียงพอที่จะวิเคราะห์คุณภาพของบริษัทได้ เพื่อกำหนด PE ที่ควรจะเป็นให้เหมาะสม และคาดการณ์ EPS ให้ใกล้เคียงกับกับความป็นจริงมากที่สุด อาจจะฟังดูว่าทั้งยากและต้องใช้เวลามากแต่สิ่งเหล่านี้แหละครับที่จะทำให้นักลงทุนแบบ VI สามารถสร้างผลตอบชนะตลาดติดต่อกันได้อย่างยั่งยืน ข้อควรระวังในการใช้บทความ • หุ้นที่เหมาะสมในการลงทุนจำเป็นจะต้องมี Good Governance ถ้าขาดข้อนี้ไป หุ้นดีราคาถูกแค่ไหนก็ไม่ควรเสี่ยงลงทุน • EPS ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น ควรเป็นกำไรที่หักกำไรพิเศษที่เกิดเพียงชั่วคราวออกไปให้หมด เพื่อไม่ให้เกิดการคาดการณ์ EPS ที่สูงเกินจริง เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์ กำไรจากการกลับรายการหนี้สูญ หรือกำไรจากค่าเงิน ทางที่ดีนักลงทุนควรฝึกอ่านงบกระแสเงินสดควบคู่ไปกับการดูงบกำไรขาดทุนด้วย เพื่อใช้ในตรวจสอบคุณภาพของกำไร • การประเมินมูลค่าหุ้นด้วย PE มีข้อเสียคือเป็นการใช้วิจารณาณส่วนตัวค่อนข้างมาก ดังนั้นถ้าจะให้ปลอดภัย สำหรับนักลงทุนที่ชอบมองโลกในแง่ดี ควรพยายามกำหนดค่าให้ต่ำกว่าที่ตัวเองคิด จะปลอดภัยกว่า • ห้ามลืม Margin of Safety เด็ดขาด การซื้อหุ้นควรจะเลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมพอสมควร เพื่อลดโอกาสขาดทุนในกรณีที่เราวิเคราะห์ผิดพลาด ปกติผมจะซื้อหุ้นที่มีโอกาสสร้างกำไรให้ผมได้อย่างต่ำ 30% ถ้าได้ต่ำกว่านี้ ถือเงินสดไว้ก็ไม่เสียหายครับ • หลักการข้างต้นเป็นวิธีที่ผู้เขียนใช้เป็นการส่วนตัว และเชื่อว่าได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็นวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด รูปแบบการลงทุนที่ดีนั้น นักลงทุนควรจะพยายามทดลองด้วยตัวเองจนเจอการลงทุนที่เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของตัวเอง และควรทำการบ้านเยอะๆ สั่งสมประสบการณ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการเลือกหุ้นให้มากขึ้นเรื่อยๆ
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ธ.ค. 54 07:50:23
|
|
|
|