ขายหุ้นอย่างไรไม่ให้ช้ำใจ (1) : คเชนทร์ เบญจกุล (Invisible Hand)
|
|
Posted by admin in Investment on มี.ค. 1st, 2011
เรื่องการขายหุ้นนั้นเป็นศิลปะที่สำคัญอย่าง หนึ่งของการลงทุนครับ ผมคิดว่าไม่มีสูตรตายตัว และการตัดสินใจขายนั้น ผมคิดว่ายากกว่าการตัดสินใจซื้อหลายเท่าครับ . การขายหุ้นที่เราลงทุนแต่ละตัว ไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่าจะขายได้ราคาสูงสุดหรือใกล้เคียงกับราคาสูงสุดที่ หุ้นตัวนั้นจะไปถึงครับ เพราะไม่มี VI ที่สามารถทำได้ทุกครั้งแน่นอน ( ถ้าเป็นเจ้ามืออาจจะพอเป็นไปได้บ้าง ) . การคิดว่าหุ้นที่เราขายทุกตัวจะต้อง ลง หลังจากที่เราขายหรือเราจะต้องขายที่ peak นั้น จะทำให้เราเกิดความทุกข์ในการลงทุน ซึ่งเป็นความเครียดและส่งผลลบต่อร่างกายและจิตใจอย่างที่ไม่สามารถประเมิน ความเสียหายได้ครับ . และไม่ต้องเสียดายประมาณว่า รู้งี้ถือต่อดีกว่า หรือ รู้งี้ซื้อเยอะกว่านี้ดีกว่า หรือ รู้งี้ . เพราะรู้อะไรไม่สู้รู้งี้หรอกนะครับ ( ยืมคำพูดพี่ Muffin มาครับ ) . โดยทั่วไป ผมจะดูหุ้นในพอร์ตเป็นระยะๆ แล้วถามตัวเองว่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน เราคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังน่าสนใจในระยะยาวหรือไม่ หมายความว่า ถ้าไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่เลยแล้วต้องซื้อราคานี้ ในระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจหรือไม่ . ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าหุ้นตัวนั้นน่าถือต่อ ไม่สำคัญว่าเราจะได้กำไรมามากน้อยเท่าใด แต่ถ้าคำตอบคือ ไม่ใช่ แสดงว่าหุ้นตัวนั้นควรพิจารณาขาย เช่นกันครับ ไม่สำคัญว่าเราจะได้กำไรหรือขาดทุนมากน้อยก็ตาม . ดังนั้น เรื่องที่ว่า หุ้นตัวนั้นซื้อมาต้นทุนเท่าไหร่ ได้กำไรมาเท่าไหร่หรือกำลังขาดทุนอยู่เท่าไหร่ ผมจะพยายามไม่นำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาซื้อขายหุ้น แม้ว่ามันอาจจะขัดกับความรู้สึกของเราทุกคนก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยาก แต่ผมคิดว่าถ้าทำได้จะทำให้เรามีการตัดสินใจในการขายหุ้นที่ดีขึ้นได้ครับ . เนื่องจากการขายหุ้น เป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ และการขายหุ้น ณ ราคาสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 2% นั้น ก็เท่ากับว่าเรามีความเสี่ยงกับการหาหุ้นใหม่ๆในการลงทุน หรือที่ผมเคยเขียนในบทความประกอบงานสัมมนา Thaivi คือ reinvestment risk ยิ่งพอร์ตใหญ่ขึ้นความเสี่ยงดังกล่าวก็ยิ่งมาก . ดังนั้น ในระยะหลังๆผมจะพยายามหาหุ้นที่สามารถถือยาวๆได้ในระดับ 5-10 ปี และไม่จำเป็นจะต้องขายเล่นรอบเหมือนหุ้นบางกลุ่มที่ขึ้นลงตามตลาด เช่น ธนาคาร หลักทรัพย์ หุ้นวัฎจักรหรือหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ . ในหนังสือด้านการลงทุนบางเล่มได้บอกว่า แม้ว่าเราจะเห็นว่าผลตอบแทนดัชนีดาวโจนส์จะสูงมากในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา คือ ให้ผลตอบแทนหลายสิบเท่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากเราพลาดการถือหุ้นเต็มพอร์ตเพียงไม่กี่ปี ผลตอบแทนจะลดลงไปเกินครึ่ง เพราะบางปีดัชนีอาจจะปรับเพิ่มถึง 50-100% และแม้จะมีปรับฐานลงมาบ้างแต่ก็ไม่ลงกลับมาจุดเดิมอีกเลย ยกตัวอย่างหุ้นไทยก็ในช่วงปี 2546 ดังนั้น เรายากที่จะคาดเดาได้ถูกทุกครั้งว่าตลาดหุ้นในแต่ละปีจะเป็นอย่างไร . ดังนั้น การถือหุ้นเกือบเต็มพอร์ต ( ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ 2-3% ) แบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เสี่ยงเกินไปนักกับการลงทุนแบบ VI หากเราสามารถเลือกธุรกิจและหุ้นที่เหมาะ สม และมีการกระจายความเสี่ยงในจำนวนหุ้นและประเภทอุตสาหกรรมที่เหมาะสม คือ ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เรามีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง และจำนวนหุ้นไม่มากเกินไปที่จะติดตามข้อมูลไม่ไหว และไม่น้อยเกินไปจนทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงกับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ . หุ้นที่เราควรจะถือลงทุนสำหรับการลงทุนแบบ VI ควรจะเป็นหุ้นที่เราถือแล้วไม่ต้องเฝ้าตลาด แต่ถ้าจะดูราคาหุ้นแต่ละวันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ . มีคำถามว่า VI ตัวจริงต้องไม่ดูราคาหุ้นหรือไม่ ผมคิดว่าดูได้ไม่เสียหายอะไรถ้าไม่กระทบกระเทือนงานของเรา ราคาหุ้นอาจจะดูได้ระหว่างวันเป็นช่วงๆหากเรามีเวลา แต่ไม่จำเป็นว่าทุกครั้งที่ดูราคาหุ้นจะต้องมีการสั่งซื้อขาย บางครั้งการดูราคาหุ้นบ่อยๆ ในแง่ VI อาจจะเป็นการฝึกความอดทนต่อความผันผวนของตลาดและราคาหุ้นที่เราถือก็ยังได้ ครับ หรือการดูราคาหุ้นก็เป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นบางตัวที่ราคาลดลงมา อย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยบางอย่างแต่พื้นฐานไม่เปลี่ยน . แต่แน่นอนครับ การไม่ดูราคาหุ้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็เป็นสิ่งที่ VI ก็ต้องทำได้เช่นกันครับ เพราะ VI บางท่านอาจจะมีภาระกิจในงานประจำที่ยุ่งมาก เช่น ไปอยู่แท่นขุดเจาะน้ำมัน หรือเป็นนักบินอวกาศ . ดังนั้น แม้ว่าการลงทุนทุกรูปแบบก็สามารถสร้างกำไรได้เหมือนกันหากมีความเชี่ยวชาญ และมีวินัยการลงทุนที่ดีสำหรับการลงทุนแบบนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ VI แบบดูเทคนิค ดู fund flow เพราะไม่มีแมวดำแมวขาวในโลกการลงทุน การลงทุนแบบ Buffet หรือ Soros ก็ทำเงินได้เหมือนกัน แต่ข้อดีของการเป็นนักลงทุนแบบ VI อย่างหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่นๆ คือ สามารถที่จะไม่ต้องปรับพอร์ตได้เป็นระยะเวลานานพอสมควรหากเราไม่มีเวลา . มีนักลงทุนอายุในวัยใกล้เกษียณคนหนึ่งที่ผันตัวจากการ ลงทุนแบบนั่งห้องค้าซื้อหุ้นตามคนอื่นๆ และไม่มีความรู้ทางกราฟเท่าที่ควร มาลงทุนโดยซื้อหุ้นตามผม เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ผมได้ถามว่าตอนนี้ยังถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง นักลงทุนท่านนั้นเลยบอกว่า ขายหุ้นไปหมด เพราะว่าต้องเดินทางไปเมืองนอกหลายสัปดาห์กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่าง ที่เค้าไม่อยู่เมืองไทยแล้วจะปรับพอร์ตไม่ทัน คือยังติดความคิดแบบตอนที่เล่นในห้องค้าอยู่ว่าต้องซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ . แต่เมื่อนักลงทุนท่านนั้นกลับมา ก็พบว่าหุ้นบางตัวที่ขายไปแล้วนั้นก็มีราคาสูงกว่าที่ราคาที่ขายไปแล้ว ซึ่งแน่นอนครับ นักลงทุนกว่า 90% ทำใจไม่ค่อยได้ที่จะซื้อหุ้นที่ขายไปแล้วในราคาแพงกว่าที่เดิม . ดังนั้น คำถามยอดฮิตของเพื่อนนักลงทุนที่ชอบขายหุ้นก่อนเวลาอันสมควรคือ แล้วหุ้น A B C ที่ขายไปแล้วมันจะลงมาอีกรึเปล่า? ซึ่งเป็นการหาคำตอบที่ผมลำบากใจจริงๆครับ หรือคำถามที่ว่า มีหุ้นตัวอื่นอีกมั้ย? มีหุ้นใหม่ๆอีกมั้ย? แน่นอนครับ การหาหุ้นที่น่าสนใจใหม่ๆนั้น คงไม่เหมือนแม่ไก่ที่ออกไข่ได้เกือบทุกวันครับ . ดังนั้น การลงทุนแบบ VI นั้นควรจะเลือกหุ้นที่สามารถถือได้ในเกือบทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศแล้วส่งผลมายังบ้านเราโดยที่ เป็นระยะเวลาอันสั้น ที่ผ่านมาก็เช่น 911 ระเบิดที่ลอนดอน สงครามสหรัฐกับอิรัก หรือ sub prime . หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราแต่ไม่ทำให้พื้นฐาน หุ้นและเศรษฐกิจเปลี่ยนอย่างถาวร เช่น ซึนามิ ไข้หวัดนก เป็นต้น อย่างตอนที่มีระเบิดที่กรุงลอนดอนในปี 2547 นั้นวันที่มีระเบิดนั้นผมเดินทางถึงลอนดอนพอดี และนั่งดูราคาหุ้นตอนปิดตลาดลดลงเกือบทุกวัน แต่ท้ายสุดราคาหุ้นก็กลับมาได้เองเมื่อสถานการณ์เริ่มปกติ . ในปีนั้นก็มีนักลงทุนบางคนตกใจขายหุ้นที่ราคาเกือบจะต่ำสุดเพราะความตกใจ เพื่อนนักลงทุนมือใหม่ขี้ตกใจคนหนึ่งไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อผมไม่ได้ขณะผม อยู่ที่ลอนดอนก็ตัดสินใจขายขาดทุนหุ้นตัวหนึง ที่ถ้าถือถึงปัจจุบันก็ได้ 2 เท่ากว่าๆ เหตุผลหนึ่งที่ขายไปคงเพราะอาจจะคิดว่าผมจะเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์ ระเบิดไปเสียแล้วก็เป็นได้ครับ แต่ตอนนี้เพื่อนนักลงทุนท่านนี้ก็เป็นโรคตกใจน้อยลงแล้วและหมั่นเข้า course อบรม และอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติมเป็นระยะแล้วครับ . ขายหุ้นอย่างไรไม่ให้ช้ำใจ (1) . คเชนทร์ เบญจกุล (Invisible Hand)
http://www.sarut-homesite.net/2011/03/%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%89/
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ธ.ค. 54 15:46:30
|
|
|
|