'ธำรงชัย เอกอมรวงศ์' รอภาพใหญ่ชัดๆ แล้วค่อยลงมือ!!!
|
|
วันที่ 3 มกราคม 2555 01:00 'ธำรงชัย เอกอมรวงศ์' รอภาพใหญ่ชัดๆ แล้วค่อยลงมือ!!! โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ตอนที่แล้ว 'หยง' ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ ได้ปูพื้นเส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ สัปดาห์นี้เขาแนะวิธีการเทรดฟิวเจอร์ให้ได้ผลตอบแทน 'เต็มคำ' ภายใต้ 'ความเสี่ยงที่จำกัด'
เซียนเทคนิค 'หยง' ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ มองว่าจากนี้อีก "สิบปี" Commodity กลุ่ม "อาหาร" และ "โลหะมีค่า" จะเป็น "พระเอก" ถ้าจับถูกตัว นักลงทุนมีโอกาสสร้างความั่นคั่งได้แน่!..อีก 10 ปีข้างหน้าเราอาจจะไม่มีปัญญาซื้อทองใส่ก็ได้...เขาทำนาย
กว่าที่หยงจะก้าวมาถึงจุดที่เป็น "เทรดเดอร์มืออาชีพ" หากินกับความเสี่ยงรอบด้านในตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธุ์ทั่วโลก เขาผ่านระดับที่หนึ่งคือการเอาตัวรอด (Survivor) ปะฉะดะกับบรรดาเซียนและกองทุนระดับโลกได้แล้ว และกำลังสร้างพอร์ตเข้าสู่ช่วงการเติบโตสม่ำเสมอ (Growth) การที่หยงเคยผ่านจุดล้มเหลวเขาจึงได้เรียนรู้ว่า คนที่ใจร้อนอยากรวยเร็วๆ มักไปไม่รอด เพราะ 90% ของคนที่อยากรวยเร็วมักใช้วิธีเรียนลัดขั้นตอน สุดท้าย "ตกม้าตาย..ก่อนรวย"
หยง เล่าถึงสไตล์การเทรดของตนเองให้ฟังเมื่อผ่านระดับที่หนึ่งคือการเอาตัวรอด (Survivor) มาได้ ก้าวต่อไปจะต้องไม่ให้ "พอร์ตสวิง" เด็ดขาด การเทรดอาจจะเหวี่ยงแรงได้แต่พอร์ตจะต้อง "นิ่ง" บางคนอาจจะทำกำไรได้ 100% ภายในเดือนเดียว แต่จะไม่มีทางทำได้แบบนั้นตลอด เพราะเงินมันมีกำลังของมัน อย่างตลาดหุ้นไทยจริงแล้วให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงปีละ 12% เท่านั้น นี่คือกฎของมาร์เก็ตรีเทิร์น คนเก่งๆ อาจจะทำได้ 20-30% แต่ระยะยาวผลตอบแทนก็จะไม่ห่างจากค่าเฉลี่ยมาก ยังมีศาสตร์ของ Money Management ที่จะสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าโดยไม่ต้องเสี่ยงเพิ่มเช่นการใช้ Leverage (กู้ช่วย หรือใช้ Derivatives มาช่วย) เป็นต้น
ทุกวันนี้หยงเทรดทั้งในและต่างประเทศ เขาบอกว่าถ้าเป็นในประเทศก็จะเทรดหุ้นและ SET 50 Index Future เป็นพอร์ตหลัก ส่วนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเล่น Index Future เช่น ดัชนีฮั่งเส็ง (ฮ่องกง), เอสแอนด์พี (สหรัฐฯ), แดกซ์ (เยอรมัน) ส่วนพวก Commodity (สินค้าโภคภัณฑ์) ก็เล่นโกลด์ฟิวเจอร์ที่ตลาดโคเม็กซ์ และเทรดน้ำตาลที่ตลาดนิวยอร์ก ถ้าเป็นสัดส่วนก็จะเป็นในประเทศ 60% แต่วงเงินในต่างประเทศมีเยอะกว่าเพราะสวิงแรงกว่า
การที่เขาจบการศึกษาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากประเทศออสเตรเลีย ทำให้หยงออกแบบโปรแกรมเทรดตามสไตล์ของตัวเองทำให้สามารถลดความเสี่ยงได้มาก และนอนหลับสบายทุกคืน เขาบอกว่า โบรกเกอร์ต่างประเทศจะมีข้อได้เปรียบตรงที่ลูกค้าสามารถตั้งโปรแกรมเทรดได้หลากหลาย ขณะที่โบรกเกอร์ไทยมักจะมีแต่คำสั่งพื้นฐานจากโปรแกรมสำเร็จรูป โดยเราสามารถดัดแปลงให้ตรงกับที่ต้องการได้ เช่น ถ้าราคาหุ้นวิ่งชนแนวต้านสองครั้ง (แล้วไม่ผ่าน) โปรแกรมก็จะสั่งปิดสัญญา (ขาย) โดยอัตโนมัติ หรือตั้งจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) ถ้าเกิดผิดพลาด
แต่ละคืนผมนอนไม่ดึกมากเพราะในตลาดสหรัฐฯจะวิ่งพีคเพียงแค่ไม่เกินห้าทุ่มบ้านเราเท่านั้น จากนั้นก็พักผ่อนได้แต่หลังๆ ผมมาเทรดตลาดยุโรปเลยต้องนอนดึกหน่อยประมาณตีสี่
จากประสบการณ์เขาบอกว่า การเทรดพวก Index Future จะเล่นง่ายกว่าพวกสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะว่า Index Future ถอดมาจากมูลค่าของหุ้นซึ่งมีมูลค่าที่แท้จริงในตัวเอง เช่น ถ้าตลาดเกิดการขายมากเกินไป (Over Sold) มันก็จะส่งสัญญาณออกมาให้เรารู้ได้ ถ้าเทรนด์มันมาแน่นอนจะเล่นง่าย ซึ่งต่างจากสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเราไม่รู้มูลค่าในตัวมันจริงๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรถ้าเล่นผิดฤดูกาลรับรองตายแน่! อย่างพวกข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำตาล, โกโก้ พวกนี้มีฤดูกาลของมัน
ช่วงที่ผมเสีย (ขาดทุน) จากฟิวเจอร์หนักๆ ผมได้กลับคืนมาจาก SET 50 Index Future กับฮั่งเส็งฟิวเจอร์ รองลงมาก็กำไรหุ้นไทย และทองคำ ส่วนพวกข้าวโพด, ถั่วเหลือง ผมเล่นน้อย เล่นแค่น้ำตาลที่ตลาดนิวยอร์ก ตอนเสียหนักๆ ผมเล่นหลายตัวเกินไป และเล่นแบบอัดเต็มๆ แม้ไม่โดนฟอร์ซแต่แทบไม่เหลือ
หยง ย้ำว่าสไตล์การเทรดของเขา "ไม่ใช่เดย์เทรด" อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่จะ "รอภาพใหญ่ชัดๆ" แล้วค่อยลงมือ บางครั้งจะถือสัญญาฟิวเจอร์นานถึง 5-8 วัน ซึ่งถือว่านานแล้ว ถ้าสมมุติว่าภาพใหญ่ "คอนเฟิร์มขาขึ้น" ก็จะ "ยิงยาว" (Let Profit Run) เลย แต่ก็จะไม่ถือยาวเป็นเดือน
การใช้กราฟเทคนิคจะใช้กราฟวัน (Day) กับกราฟชั่วโมงเป็นหลัก แล้วนำกราฟสัปดาห์ (Week) มาครอบจะไม่ถึงขั้นมองเป็นรายวินาที ถ้าเป็น TFEX ก็จะต้องได้ (กำไร) 15-20 จุดเต็มที่ก็ 35 จุด แต่ถ้าเล่นภาพเล็กหวังเอากำไรแค่ 5-8 จุด มันเสี่ยงเกินไป (ไม่คุ้ม) ยิ่งตอนนี้มีการสับขาหลอกเยอะด้วย
"ผมอยากจะบอกว่ารอภาพใหญ่ชัดๆ แล้วค่อยลงมือ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอบมีให้เล่นตลอดเวลา รอ 2-3 วันก็มีมาแล้ว สินทรัพย์บางประเภทรอบการเล่นของมันจะมาเหลื่อมๆกันด้วย...ที่สำคัญต้องหาแนวทางของตัวเองให้เจอและต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองด้วย อย่างผมเน้นเลยว่าจะต้องมีความสุขในการเทรด เทรดเดอร์ถ้าหลับไม่เต็มอิ่มแปลว่าคุณผิดแล้ว"
สำหรับหยง เขาคิดว่าการลงทุนพร่ำเพรื่อคือ "ความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า" ควรเล่นเฉพาะภาพใหญ่ถ้าเทรนด์มาก็จะได้ "กินเต็มคำ" อีกอย่างที่เตือนคือเรื่องของ "ทัศนคติ" อย่าหวัง "โฮมรัน" (แจ็กพ็อตแตก) แค่ครั้งเดียวแล้วพอ เล่นแบบนี้จะต้องค่อยๆ ลงทุน "ทบต้น" ไปเรื่อยๆดีกว่า
เซียนระดับอินเตอร์รายนี้ยังเผยเทคนิคต่ออีกว่า ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจาการเล่นตาม โมเมนตั้ม (แรงเหวี่ยงของตลาด) หมายความว่า การที่ราคาอะไรก็ตามจะขึ้นได้ต้องมี "กำลังส่ง" ถ้าเรามองออกก็มีโอกาส "รวย" อย่างอื่นเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ ถ้าราคามาจะเกิดการส่งสัญญาณและจะไปต่อแบบไม่รีรอ เป็นแนวทางที่ต้องใช้เทคนิคลึกมาก นอกจากนี้ยังต้อง "เล่นตามกระแส" (Trend Follower) ถ้าเทรนด์มาไม่ว่าจะขึ้นหรือลงต้อง "กินให้สุด" ออกกลางทางจะไม่คุ้ม
ส่วนเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ประจำดูแนวโน้มจะใช้ Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) ถ้าดูโมเมนตั้มจะใช้ RSI และ MACD เครื่องมือที่ใช้ถือว่าเบสิคมาก ส่วนตัวไม่เชื่อในอะไรที่พิสดารมาก แต่จะเชื่อใน "อารมณ์ของตลาด" (Market Mood) ถ้าตีความอารมณ์ของนักลงทุนที่มีต่อตลาดได้ส่วนใหญ่จะ "ถูก" มากกว่า "ผิด" เพราะไปตามคนส่วนใหญ่ ปัจจัยหนึ่งที่เขียนลงชาร์ตไม่ได้คืออารมณ์ตลาดโดยเฉพาะเวลาเทรด TFEX
เขาบอกว่า วิธีนี้ฟันธงไม่ได้ว่าจะถูกหมด เพราะวิธีนี้ไม่ได้บอกว่าตลาดจะขึ้นหรือลง หลักการคือนักลงทุนแต่ละคนจะมีความตั้งใจแล้วว่าจะซื้อ ทำให้เกิดราคาวิ่งพร้อมวอลุ่ม เราจะไม่ดูเหตุ..เรามาดูผลว่ากราฟแท่งเทียนที่เกิดขึ้นบอกอารมณ์ตลาดอย่างไร
ยกตัวอย่าง เช่น เวลาดูกราฟแท่งเทียนเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ยเส้นใดเส้นหนึ่งที่เราเลือก ถ้าเห็นราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยตัวเองได้ แม้จะลงมาก็ยังสามารถยืนได้แปลว่าสินทรัพย์นั้นมีแนวรับของตัวเอง ก็คือถ้าลงมาก็จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งมองว่าระดับนี้ซื้อได้ บ่งบอกถึงอารมณ์ตลาดมีความมั่นใจ แม้จะนำมาเป็นตัวชี้วัดว่าจะขึ้นหรือลงไม่ได้แต่ก็มีความแม่นยำสูง เพราะหุ้นมันมีวอลุ่มอยู่ถ้าสามารถยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยได้ ถ้าลงก็มีคนพร้อมซื้อ นี่คือการตีความอารมณ์ตลาด
การดูอารมณ์ของตลาดจะช่วยยืนยันทิศทางราคาได้ อย่างเช่น SET Index ถ้าเราใช้ทฤษฎีดาวมาจับบางช่วงอาจจะกำลังทำจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ เราจะไม่มีทางมั่นใจได้ว่ามันกำลังขึ้นเพื่อทำนิวไฮใหม่หรือขึ้นเพื่อลงต่อ การใช้โมเมนตั้มจะวิเคราะห์ได้แต่ไม่ทั้งหมด อารมณ์ตลาดจะช่วยยืนยัน
สำหรับหุ้นหรือสัญญาฟิวเจอร์จะขึ้นถึงแค่ไหน หยงจะต้องดู Fibonacci ประกอบ เขาคิดว่าเป็นเครื่องมือที่แม่นยำสูงมีความอัจฉริยะมาก ต่อไปคือดูเรื่องของเงื่อนเวลาถ้า "ไทม์เฟรมแม่" (กราฟ Week) กับ "ไทม์เฟรมลูก" (กราฟ Day) มองภาพเดียวกันคือขึ้นก็ขึ้นเหมือนกันลงก็ลงเหมือนกันแสดงว่าเป็นของจริง ถ้าไม่เหมือนกันแปลว่าอาจจะพลาดได้ ต้องดูควบคู่กัน
เซียนเทคนิครายนี้ บอกว่า เทคนิคต่างๆถูกพัฒนาขึ้นจนเป็นสไตล์ส่วนตัว เพราะจำเป็นต้องใช้เงินจากพอร์ตมาเลี้ยงตัวเอง ดังนั้นจะทำให้พอร์ตติดลบหนักไม่ได้ "ถ้าไม่ชัวร์จะไม่เข้า" แม้บางครั้งอาจติดลบบ้างแต่รับรองได้ว่าจะไม่ติดลบหนักๆ ลึกถึง 50% ไม่แน่นอน
สรุปแนวการเทรดหลักๆ ผมดูกราฟแท่งเทียนทุกแท่งซึ่งมีความหมายในตัวเอง ถ้านำมาประกอบกับเส้นค่าเฉลี่ยจะรู้อารมณ์นักลงทุน ต่อไปดูเทรนด์ให้ออกว่าขึ้นหรือลง และรอสัญญาณมาจากกราฟว่าคอนเฟิร์มขาขึ้นหรือขาลงเต็มตัวหรือยัง...ผมไม่รอซื้อถูก ไม่รอช้อนแต่ผมซื้อเมื่อชัวร์และอัดเต็มตลอด ไม่มีครึ่งพอร์ตเมื่อมั่นใจแล้ว ถ้าไม่มั่นใจไม่ลงเลย เคยมีกรณีแหย่เข้าไปแล้วไม่สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติ ผมเลยไม่มีนโยบายแหย่ขาเล่น
หยง ปิดท้ายเรื่องของการเตรียม ใจ ต่อให้เรียนเยอะแค่ไหนเวลาเทรดจริงอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนเรียนนักบินเวลาของจริงจะแตกต่างจากหนังสือเสมอ ชาร์ตจริงยากกว่ากราฟตัวอย่างเสมอ สิ่งแรกที่ต้องลงทุนคือความรู้ ทฤษฎีมีเท่าไรใส่ให้หมด และหาเวลาไปเข้าคอร์สให้ผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายให้ฟัง และอย่าบินเดี่ยวมีพรรคพวกมีก๊วนด้วยก็ดีจะได้ช่วยตัดสินใจ
มี 100 ลงไปก่อน 20 ให้เรารู้ระดับความเสี่ยงที่แท้จริง เมื่อเอาตัวรอดได้ก็ค่อยใส่เข้าไปเพิ่มจาก 20 เป็น 30 เป็น 40 บางคนไปเริ่มที่ 100 เลย..มันไม่ใช่!" บทสรุปของเขาคือ คนที่ใจร้อนอยากรวยเร็วๆ ใช้วิธีเรียนลัด..สุดท้าย "มักไปไม่รอด" รอภาพใหญ่ชัดๆ แล้วค่อยลงมือ!!!
ปี 2555 'ทอง-น้ำตาล-ถั่วเหลือง' Super Bullish (ไซด์บาร์)
ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ วิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำโดยใช้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเครื่องมือทางเทคนิค เขาฟันธงว่า ขึ้นแน่นอน บทบาทของทองคำได้เปลี่ยนไปไม่ได้เป็นเพียงโลหะมีค่าแต่ใช้เป็น Safe Haven ไปแล้ว พอคนไม่มั่นใจในตลาดการเงินก็จะนำเงินไปใส่ลงในทองคำ เชื่อว่าทองคำจะยังเป็น "ขาขึ้นอีกนานเป็นสิบปี"
เครื่องมือทางเทคนิคก็ยืนยันด้วย ภาพใหญ่ราคายืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 13 วันมาตลอด ตั้งแต่ราคา 900เหรียญต่อออนซ์ก็ขึ้นมาตลอด แสดงว่ามีคนมั่นใจว่าถ้าราคาลงมาระดับนี้ต้องมีคนมารับต่อ แม้จะมีพักฐานใหญ่บ้างแต่ภาพใหญ่ยัง Bullish (ขาขึ้น) ยังตอบไม่ได้ว่าจะขึ้นไปอีกเท่าไรด้วยซ้ำ ถ้าใช้ Fibonacci แนวต้านเป้าหมายต่อไปคงอยู่ 2,200-2,400 เหรียญ
ทางด้านน้ำตาล แม้จะเป็นสินค้าที่มีฤดูกาลแต่ยังสามารถขึ้นได้อีกมาก ตั้งแต่ปี 2000 ราคาน้ำตาลยังอยู่แค่ 5เซนต์ แล้วขึ้นมาพีคตอนนี้ที่ 35 เซนต์ ขึ้นมาเป็น "สิบเท่า" ภายในสิบปี ส่วนตัวคิดว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปราบเซียนมากมีความเป็นวัฎจักรมากกว่าทองคำอีก ขึ้นแรง-ลงแรง แต่ยืนยันว่าขาขึ้นยังอีกยาว อีกตัวที่น่าสนใจคือถั่วเหลือง ภาพใหญ่มันเป็นขาขึ้น
"ผมเชื่อว่ารุ่นเราคนอายุสามสิบสี่สิบ ถ้าได้จับสินทรัพย์ตัวหนึ่งถูกตัวในรอบใหญ่จะสร้างความมั่งคั่งได้ชนิดที่ช่วงที่เหลือแค่กินของเก่าทั้งชีวิต การเลือกลงทุนอะไรในช่วงสิบปีนี้จึงสำคัญมาก ส่วนตัวให้ความสำคัญกับสินค้าโภคภัณฑ์มาก ถ้าวิ่งเมื่อไรพวกนี้ต้องหลับหูหลับตาซื้อเลย ถ้าชัดเจนแล้วมันจะไม่มีย่อ ถ้าไม่กัดฟันซื้อจะพลาดเลย ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองศึกษาดูเพราะเป็นโอกาสในระดับโลก ตอนนี้พืชเกษตรมันผลิตไม่ทันการบริโภค แถมมีภัยธรรมชาติ สัตว์ รถยนต์ มาแย่งคนกินอีก ถ้าจะพักฐานก็คือเพื่อรอขึ้นรอบใหญ่อีกรอบเท่านั้น"
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทย ธำรงชัย มองต่างจากคนอื่น การขึ้นรอบนี้มีแนวโน้มสูงว่าจะเป็น "การขึ้นเพื่อลงต่อ" ถ้าวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือ Fibonacci มีโอกาส 50% ที่ SETจะลงมาทดสอบ 760 จุด ถ้าเอาไม่อยู่ก็เจอกันที่ 550 จุด ภายใน 18-24 เดือนจากนี้ นี่เป็นการคาดการณ์โดยใช้การนับคลื่น ระยะสั้นตลาดน่าจะ Bullish ต้องเล่นเร็วนิดนึง ภาพใหญ่น่าจะมีการพักฐานอย่างมีนัยสำคัญอีกรอบ ถ้ามองภาพเล็ก 1-2 ปี ตลาดน่าจะยังเหนื่อยต่อ ไม่เกินปี 2014 (2557) น่าจะได้เห็นอะไรลึกๆ แต่ภาพใหญ่กว่านั้นตลาดหุ้นไทยน่าจะ Bullish ได้อีกเป็นสิบปี
ส่วนตัวคิดว่าภายใน 2 ปีนี่ เราเล่นทาง Short อาจสร้างความมั่งคั่งได้จาก "ขาลง" ถ้าเราเป็นเทรดเดอร์เราสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลงถ้าผิดพลาดก็สามารถหนีทัน แต่ถ้าทำธุรกิจถ้าอะไรไม่เป็นอย่างที่เราต้องการก็เหนื่อย เขากล่าว
Tags : ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20120103/427435/ธำรงชัย-เอกอมรวงศ์--รอภาพใหญ่ชัดๆ-แล้วค่อยลงมือ!!!.html
จากคุณ |
:
มิ่งกลิ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ม.ค. 55 21:23:34
|
|
|
|