๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ขอนำความคิดเห็นที่ดีมากของเซียนหุ้นวีไอสายบ๊อกเซอร์มาบอกต่อ
|
|
ถ้าคิดว่า ความคิดเห็นข้างใต้มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ๆ
ช่วยโหวตกระทู้ให้ด้วยครับ
เมื่อกี้ตั้งกระทู้ไปรอบ แต่เวบกระทิงเขียว คงเป็นเวบที่จะโดนลบกระทู้โดยอัตโนมัติ์ กระทู้เลยหายไป
ก็ขออนุญาตนำความคิดเห็นจากห้องกระทิงคุณค่า ของเวบกระทิงเขียว มาแปะเป็นแบบข้อความแทน โดยขอตัดทอนบางส่วน แลพะเรียบเรียงวรรคตอนใหม่ครับ
เสียดายมากๆ ถ้าความคิดเห็นดีๆแบบนั้น มีเรตติ้งในการเข้าอ่าน ต่ำจนน่าใจหาย
หัวข้อกระทู้
อยากทราบความเห็นของพี่ IH เกี่ยวกับดำรงชีวิตหน่อยครับ
ichbinpao IP ADDRESS : 180.180.45.144 , ,
คือ อยากถามมุมมองพี่ของ IH เกี่ยวกับการลงทุนกับการใช้ชีวิตครับ คือตอนนี้ทำเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าอยากจะออกมาจากวงจรมนุษย์เงินเดือนให้เร็วที่สุด ซึ่งก็คิดว่ามี 2 วิธีคือเจ้าของกิจการกับนักลงทุน คำถามผมคือ 1. ถ้าต้องการออกจากวงจรมนุษย์เงินเดือนจะต้องเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนครับ ถ้าเงินต้นประมาณ 1 ล้านบาท แต่ต้องการออกจากมนุษย์เงินเดือนภายใน 10 ปีครับ (สไตล์คือ vi แบบไหนงะครับ คือลาออกจากงานและทุ่มชีวิตกับการลงทุน หรือว่าทำมนุษย์เงินเดือนควบคู่กับการลงทุนไปด้วย) 2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ) 3. ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาทจะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปี ซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ตอบกลับโดย : Invisible_hand « Reply #1 เมื่อ 23/12/2011 , 00:42:40 » Edit คำตอบข้อ ๑ - การลาออกจากงานแล้วลงทุนอย่างเดียว ก็ควรจะมีเงินลงทุนก้อนหนึ่งที่มากพอ ที่เราจะนำเงินปันผลมาใช้จ่ายได้ การคาดหวังว่าจะนำกำไรหรือ capital gain มาใช้จ่ายนั้นจะทำไม่ได้ในปีที่ผลตอบแทนติดลบ และทำให้เราเกิดความกดดันและความเครียดมากเกินไปแล้วส่งผลต่อทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการตัดสินใจได้ครับ ดังนั้นหลักคำนวณง่ายๆ คือ เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับเช่น 4-5% ต่อปีนั้น ควรจะเพียงพอกับรายจ่ายของครอบครัวเราครับ และควรจะมากกว่าในระดับหนึ่ง เผื่อในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี แล้วเงินปันผลอาจจะลดลงด้วยครับ ดังนั้น ถ้าจะถามว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ ถึงจะลาออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว คำตอบก็คือ
"ไม่มีจำนวนเงินที่ตายตัวครับขึ้นอยู่กับรายจ่ายและ lifestyle ของเราครับ "
อนึ่ง ผมคิดว่าคนที่เหมาะกับทางเลือก ในการที่จะออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวนั้นน่าจะเป็นนักลงทุน ที่อาจจะไม่ค่อยมีความสุขกับงานประจำ งานที่ทำมีความเครียดและความกดดันสูง ไม่สามารถหางานที่ทำแล้วมีความสุขหรือสนุกกับงานได้ ซึ่งจะว่าไปงานที่ทำแล้วสนุกและมีความสุข แบบที่ว่านี้ก็เริ่มหายากขึ้นทุกที ภายใต้สังคมและระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูง แต่สำหรับคนที่โชคดีที่รักและมีความสุข กับงานที่ทำในระดับหนึ่ง รวมถึงมีความสุขกับสังคมที่ทำงาน รวมถึงการลงทุนไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง คนที่โชคดีเหล่านี้ผมคิดว่าแม้มีเงินลงทุนเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องลาออกจากงานประจำ มาลงทุนอย่างเดียวนะครับ
2. และนักลงทุนแบบพี่ IH , พี่โจลูกอีสาน หรือ พี่หมอบำรุง ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับห้นในแต่ละวันเยอะขนาดไหนครับ (กี่ชมต่อวันครับ)
- สำหรับตัวผมนั้นไม่ได้บังคับตัวเองว่าแต่ละวันต้องอ่านอะไรบ้าง หรืออย่างน้อยวันละกี่ชั่วโมงนะครับ นอกจากนี้ ปัจจุบันผมเองไม่ได้ถึงกับลงทุนเป็น full time เนื่องจากรับเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่ง
"โดยที่ไม่ได้รับเงินเดือน"
ซึ่งประเด็นนี้ผมมองว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ของการมีอิสรภาพทางการเงิน การมีอิสระทางการเงินในความหมายของผมนั้น ผมมองว่าการมีอิสระทางการเงิน ไม่ได้หมายถึงการที่จะไม่ต้องทำงานเสมอไป แต่หมายรวมถึงการที่แม้เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน เราก็ยังทำงานประจำต่อไป หรือทำงาน part-time อะไรก็ได้ ที่เราสามารถเลือกทำงานในสิ่งที่เรารัก โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้เงินเดือนหรือผลตอบแทน เป็นปัจจัยหลักในการเลือกงานอีกต่อไป การมีอิสรภาพทางการเงินทำให้ เราไม่จำเป็นจะต้องสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือทำสิ่งที่ฝืนกับความรู้สึกตัวเอง หรืออดทนกับสิ่งที่ไม่น่าจะต้องอดทนในการทำงาน เพียงด้วยเหตุผลว่ากลัวจะต้องตกงานครับ
ถ้าตอบคำถามนี้
"ผมพยายามให้การลงทุนมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตครับ" เวลาขับรถ เดินห้าง หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือคุยงาน ผมพยายามจะสังเกตและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ผมได้เห็น ได้ฟังในแต่ละวันนั้น มันมีอะไรที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับการลงทุนบ้าง แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การอ่านข้อมูล ความรู้ต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์และทาง website ต่างๆ ครับ
3 ผมลองคำนวณผลตอบแทนต่อปี ถ้าเงินต้นน้อยประมาณ 1 ล้านบาท จะต้องลงทุนได้ผลตอบแทนเกิน 30 % ต่อปี ซึ่งมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนครับ เพราะผมคิดว่า 15 % ต่อปีก็ยากมากแล้วนะครับ
- ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ครับ แต่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 30% ต่อปีติดต่อกัน 10 ปีก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งพอร์ตใหญ่ขึ้นก็จะยิ่งทำยากขึ้น เพราะจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อได้ก็จะลดลง และการลงทุนเมื่อพอร์ตเล็กหน่อย ก็อาจจะสามารถ focus คือ ลงทุนในหุ้น 2-3 ตัวได้ แต่เมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องกระจายการลงทุนในหุ้นมากตัวขึ้น หรือไม่สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กๆ ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงแต่ สภาพคล่องไม่มากนักได้ แม้แต่ในช่วง 5 ปีแรก การทำผลตอบแทนในบางปีให้ได้ 30% คงจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก แต่การทำผลตอบแทน เฉลี่ย ให้ได้ 30% ต่อปีนั้น ก็ไม่ง่าย เพราะคำว่า เฉลี่ย นั้นรวมถึงผลตอบแทนในปีที่ไม่ดีด้วย ดังนั้นถ้ามีปีที่ผลตอบแทนติดลบก็เท่ากับว่าในปีต่อๆ ไปผลตอบแทนก็ต้องทำให้ได้สูงกว่า 30% ไปพอสมควรครับ ส่วนการที่จะให้ผลตอบแทนสูงนั้นก็คงต้องถือหลัก ฟิสิกส์ที่ว่า action = reaction ครับ คือ ออกแรงเท่าไหร่ผลที่ได้รับกลับมา ก็ตามที่ได้ลงแรงไปครับ ไม่มีสูตรลัดหรือสูตรสำเร็จสำหรับการลงทุนครับ
ทุกอย่างจะต้องได้มาด้วยความพยายามครับ
สำหรับคนที่ทำงานหนักจนถึงอายุ 40 กว่าหรือ 50 กว่าแล้วมีอิสรภาพทางการเงิน ถ้าจะออกมาลงทุน พักผ่อน ใช้เวลาทีเหลือหาความสุขให้กับชีวิต ให้คุ้มค่ากับที่ได้ทำงานหนักมา ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรครับ
แต่ที่ผมเป็นห่วงคือ
ปัจจุบันนักลงทุนที่มีฝีมือจำนวนไม่น้อย มีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ หรือ 30 กว่าๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นวัยที่เร็วเกินไป ที่จะไม่ต้องทำงานครับ เพราะยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมาก และยังมีกำลังเหลือที่จะทำอะไร ให้กับโลกหรือประเทศไทยเรานี้อีกมากเช่นกัน
บางทีพอร์ตที่ใหญ่โตก็ไม่ได้รับประกันว่า ชีวิตจะต้องมีความสุขเสมอไป
และมีสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อีกมากที่เงินซื้อไม่ได้ และผมมองว่าการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประจำ หรืองานอิสระต่างๆ ก็เป็นการฝึกตัวเราเองหลายๆ อย่างและทำให้ชีวิตเรามีคุณค่ามากขึ้นด้วยครับ
!
แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:04:24
แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 11:10:21
จากคุณ |
:
endophine
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ม.ค. 55 11:09:14
|
|
|
|