3 เซียนหุ้น แนะเคล็ดลับลงทุน
|
|
3 เซียนหุ้น "วิชัย-ฉาย-ป๋อง" แนะเคล็ด (ไม่) ลับลงทุนปีมังกร
ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยปี 2554 ทำให้บรรดานักลงทุนกุมขมับไปตาม ๆ กัน จากต้นปีดัชนีมีแนวโน้มไปต่อ จากสิ้นปี 2553 ดัชนีปิดที่ 1,032.76 จุด วิ่งมาแตะที่จุดสูงสุดของปีที่ 1,144.14 จุด (1 ส.ค.) แต่หลังจาก วิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศยุโรปมีความรุนแรง ไม่มีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ทำให้ดัชนีหุ้นไทยลงมาจุดต่ำสุดของปีที่ 855.45 จุด (4 ต.ค.)
และช่วงท้ายปีประเทศไทยเจอปัญหาน้ำท่วมใหญ่ไปกว่าครึ่งประเทศ ดัชนีกลับปรับตัวขึ้นสวนทางความรู้สึกนักลงทุนจนทำให้ดัชนีมาปิดที่ 1028.19 จุด (28 ธ.ค.) เมื่อเทียบจากต้นปีแล้ว ดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงลดลง 0.44%
ปี 2555 จึงเป็นโจทย์ท้าทายที่นักลงทุนยังประเมินไม่ถูก ด้วยสถาน การณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้จึงได้รวบรวมมุมมองและวิธีการลงทุนของ 3 เซียนแห่งวงการหุ้นไทยมานำเสนอ
"เสี่ยป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง
ปี"55 เน้นลงทุนระยะสั้น
"เสี่ยป๋อง" ถือว่าเป็นกูรูด้านเทคนิคอล เพราะเน้นการศึกษาดูกราฟ ในการเลือกช่วงจังหวะลงทุน ก็ยังออกปากว่า เป็นปีที่ภาพการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะปัญหาใหญ่อย่างหนี้ยุโรปและอเมริกา ที่ถูกซุกไว้ใต้พรม ไม่ได้นำมาแก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วงและน่ากลัวมาก หากจัดการกับปัญหาไม่อยู่ เพราะจะทำให้ในครึ่งปีแรกตลาดหุ้นผันผวนหนัก และตลาดหุ้นไทยก็โดนผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ปี 2551 เกิดวิกฤตการเงินในอเมริกา บริษัทของไทยไม่ได้รับผลกระทบมาก สถาบันการเงินไม่ได้ ล้มลง กำไรบริษัทใหญ่อย่าง ปตท. โตต่อเนื่อง แต่ดัชนีหุ้นกลับตกจาก 920 จุด เหลือ 320 จุด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่กว่าไทยมาก
ดังนั้นการลงทุนในปี 2555 ต้องตั้งรับและตื่นตัวอยู่ตลอด ซึ่งเป็นสไตล์ลงทุนส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะเน้นลงทุนระยะสั้น ลงทุนนานสุด 3 เดือน โดยการตัดสินใจลงทุนต้องดูเป็นรอบ ๆ ไป ซึ่งรอบใหญ่ที่น่าจะเข้าไปซื้อลงทุนได้คือครึ่งปีแรก
โดยเฉพาะไตรมาส 1/55 จากปัญหาหนี้ยุโรปและอเมริกา ที่ทำให้ตลาดเงินดอลลาร์กลับขึ้นมา ทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบที่เกิดขึ้นใน ปี 2551 ก่อนเกิดวิกฤตในอเมริกา การไถ่ถอนเงินลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เกิดขึ้นเดือนมกราคม ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะออกมาแย่หลังเจอผลกระทบน้ำท่วม
"หากรอบนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง ก็ให้เตรียมซื้อไว้ได้เลย เพราะมีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปลึกถึง 800 จุด ซึ่งตามเทคนิคและกราฟที่ศึกษา ก่อนที่ดัชนีจะลงไปลึกถึงระดับนั้น จะเห็นดัชนีขึ้นมาทำนิวไฮต์รอบใหม่ ให้ดูที่ระดับ 1,500-1,700 จุด และจะเกิดการปรับตัวลงครั้งใหญ่"
หากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ก็จะเป็นช่วงซูเปอร์ไซเคิล ตามทฤษฎีทางเทคนิคอล คือจะเป็นช่วงขาขึ้นที่ค่อนข้างยาวและนาน
นอกจากนี้ เสี่ยป๋องยังทำนายว่า "อีก 5 ปี มีโอกาสที่จะเห็นดัชนี 2,000-3,000 จุด เร็วสุดก็จะเป็นปี 2557 ที่ได้เห็นนิว ไฮต์อย่างนี้ พร้อม ๆ กับทิศทางราคาทองคำ ซึ่งจะทำสถิตินิวไฮต์ใหม่ในช่วง 2 ปีจากนี้เช่นกัน เพราะวิกฤตหนี้ยุโรป จะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก และจะกินระยะเวลานาน กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ใช้เวลาถึง 5 ปี ดังนั้น จะได้เห็นการทิ้งสินทรัพย์ทุกประเภท มาถือทองแทน"
วิชัย ทองแตง
ลุยไฟเดินหน้าซื้อกิจการต่อ
เจ้าของตำแหน่งเศรษฐีหุ้น อันดับ 3 ของประเทศไทย และฉายานัก เทกโอเวอร์ "วิชัย ทองแตง" แทบจะไม่หวังกับการลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2555 ด้วยภาวะเศรษฐกิจ ที่เกิดปัญหาจากกลุ่มยุโรปและอเมริกา ที่ดูแลไม่มีมาตรการออกมาว่าจะแก้ไขปัญหาให้ประสบความสำเร็จได้แท้จริง
โดยวิชัยระบุว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์กับกลุ่มยุโรปและอเมริกาด้วยการเชื่อมโยงระบบการเงิน ทำให้เศรษฐกิจโลกกระทบไปด้วย ภาพการลงทุนจึงไม่มีเสถียรภาพ แกว่งตัวตลอด โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1/55 ซึ่งได้ให้น้ำหนักต่อปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศมากกว่าปัญหาความไม่แน่นอนในประเทศ
ขณะที่ช่วงกลางปีมีปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองเริ่มมีบทบาทมากขึ้น จนอาจนำไปสู่ความ รุนแรง เพราะมีประเด็นร้อนรออยู่ ทั้งการเดินหน้าแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของภาครัฐบาล ซึ่งจะก่อให้เกิดความปั่นป่วน และกระทบตลาดหุ้นไทยพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ดีที่สุดของเศรษฐกิจไทย ผลจากการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม มีการจับจ่ายใช้สอย การบริโภคเริ่มฟื้น ดังนั้น กลุ่มธุรกิจที่จะนำตลาดมาก่อน คือกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากงานลงทุนขนาดใหญ่ งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มอาหาร ที่ได้รับผลกระทบน้อยจากน้ำท่วม และมีโอกาสที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น หลังหลายประเทศเกิดภัยพิบัติ
ขณะที่กลุ่มยานยนต์ มีออร์เดอร์เข้ามารอผลิตแล้ว หลังเกิดความเสียหายรุนแรงสายการผลิต ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังเหนื่อยค่อนข้างนาน ต้องเลือกบริษัทที่มีโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อมาชดเชย โครงการแนวราบ รวมทั้งน่าจับตา เพราะจะเกิดบริษัทใหม่ ๆ อีกจำนวนมาก ส่วนกลุ่มธนาคาร เป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ แต่จะไม่หวือหวา เพราะเป็นไปตามการเติบโตของประเทศ
"เรื่องการลงทุนยังเลือกหุ้นที่ชอบ ๆ แต่ไม่เยอะ เพราะปีนี้ยังอยากลุยซื้อกิจการ เพื่อเข้าไปปรับโครงสร้างให้กลับมามีกำไร แล้วค่อยมาต่อยอดต่อ ซึ่งตอนนี้มีหลายดีลที่ดูอยู่ นอกจากธุรกิจอสังหาฯ ที่เข้ามาลงทุนแล้ว ก็จะมีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า"
ฉาย บุนนาค
ดัชนีปี"55 ไปไม่ถึง 1,200 จุด
"ฉาย บุนนาค" นักลงทุนรายใหญ่ที่ได้รับฉายา "พ่อมดน้อย" ในวงการตลาดหุ้น ให้มุมมองต่อตลาดหุ้นปีมังกรไฟว่า ทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นไทย ปี 2555 ยังไม่ได้ดูภาพรวมแบบยาว ๆ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนหลายปัจจัย แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานดี และราคาดี สามารถลงทุนระยะยาวได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างราคาขึ้นมาหมดแล้ว ซึ่งหุ้นที่ขึ้นไม่ได้ขึ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างเดียว แต่ขึ้นเพราะสภาพคล่องของเงินล้นเข้ามาตลาด จากเงินข้างนอกประเทศที่ต้องการหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นหุ้น แต่จะลงทุนตราสารหนี้เป็นหลักมากกว่า
"นี่ขนาดเงินไหลมาตลาดทุนไทยนิดเดียวยังขึ้นขนาดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามเงินไหลกลับ หุ้นก็จะกลับมาอยู่จุดเดิม เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ต่างชาติจะลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปนานแสนนาน ผมจึงไม่เชื่อว่าปี 2555 หุ้นจะทำนิวไฮต์ได้ที่ดัชนี 1200 จุด ไม่คิดว่าจะไปถึงได้"
"ฉาย" วิเคราะห์ว่า ขณะนี้ดัชนีได้สะท้อนปัจจัยการเมืองไปหมดแล้ว ส่วนด้านเศรษฐกิจ เชื่อว่าจีดีพียังโต เพราะรัฐยังคงเป็นหลักในการใช้จ่ายและลงทุน ขณะที่ภาคเอกชน เชื่อว่ายังไม่มีการลงทุนอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่ยังไม่มีความมั่นใจ รวมทั้งภาคการบริโภคยังไม่แน่ ขึ้นกับการกระตุ้นของรัฐบาล แต่ก็จะมีปัจจัยเงินเฟ้อที่ต้องระวัง
"ถ้าให้จัดความเสี่ยงการลงทุน จริง ๆ ก็กังวลทุกอัน เพราะเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เชื่อมโยงกันหมด ผมว่าเศรษฐกิจในประเทศไม่มีปัญหา เพราะนักธุรกิจฝ่าฟันมาด้วยชะตากรรมของตัวเอง รัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากอยู่แล้ว เศรษฐกิจโลก ผมไม่คิดว่าจะกระทบอะไรมากกว่านี้ นอกเหนือจากการไหลเข้าออกของเงินทุนเท่านั้นเอง การเมืองทุกคนกังวลอยู่แล้ว ขณะที่พรรครัฐบาลก็แตกกันภายในเอง ผมถึงมองว่าตลาดหุ้นไม่น่าจะไปถึง 1,200 จุด"
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือกลุ่มแบงก์ พลังงาน สื่อสาร ซึ่งเวลาลงทุนเมื่อมีกำไร ก็ควรสวิตช์กลุ่มหุ้น เช่นเมื่อลงทุนหุ้นพลังงานจนขึ้นมาแล้วได้กำไร ก็ย้ายมาลงทุนแบงก์บ้าง อย่างตอนนี้คนมองกันว่าหุ้นสื่อสารจะเป็นสตาร์ เพราะมีรายได้จาก 3G เริ่มเข้ามา จะทำให้ผลประกอบการดี แต่ที่แน่ ๆ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ยังไม่ดีแน่นอน จากปัญหาน้ำท่วม แม้ว่าพี/อีของกลุ่มนี้จะต่ำมาก ส่วนหุ้นเล็กก็เล่นได้ฉาบฉวยตามข่าวไป แต่ถ้าใครตัดขาดทุนไม่เป็น อย่าเสี่ยงเข้าไปเล่น เพราะไม่รู้ว่าพื้นฐานเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม "ฉาย" ทิ้งท้ายว่า สิ่งสุดท้ายที่วัดว่าคุณเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพหรือไม่ คือตอนที่หุ้นตก อย่างแรก คุณมีวินัยลงทุนหรือไม่ นั่นคือกล้าตัดขายขาดทุนไหม 2.หุ้นที่ลงต่ำกว่ามูลค่าหรือไม่ และมีสภาพคล่องหรือไม่ เพราะถ้าซื้อเยอะแล้ว หุ้นไม่มีสภาพคล่องก็ติด
จากเว็ป http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=27707
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ม.ค. 55 17:09:37
|
|
|
|