ความคิดเห็นที่ 1 เวลากองทุนส่งคำสั่งซื้อ เขาตั้งซื้อที่ราคาปิด ณ เวลาปิดที่สิงโปร์หรือเปล่า เพื่อให้ได้ราคา ณ ราคาปิดนั้น เช่นมีคำสั่งซื้อ 1000 ล้าน ทั้งหมดก็ไปตั้งซื้อที่ราคาปิดเลย ไม่มีการทยอยซื้อ จากคุณ : Goldenpig เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 22:20:53

ความคิดเห็นที่ 2 วิธีการคำนวณราคา ถูกกำหนดไว้กับทุกประเภทกองทุน ว่าให้ใช้ราคาปิดสุดท้ายของหลักทรัพย์ที่กองทุนไป ลงทุนไว้มาใช้คำนวณราคาหน่วยลงทุน ณ สิ้นวันทำการ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลงหาแนวทาง และวิธีการที่ทำให้เกิดความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพียงแต่ปัญหาที่กำลังถูกแก้ไข อาจจะเจอเงื่อนไขว่า อย่างไรถึงจะเรียกว่าผิดปกติ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจให้ ได้ก่อนที่จะคำนวณราคาหน่วยลงทุนออกมาด้วยครับ เพราะถ้าต้องรอดูวันทำการถัดไป แล้วค่อยเปลี่ยนแปลง.... อาจจะทำให้เกิดข้อโต้แย้งหนักกว่าเดิม สำหรับผู้ที่ทำรายการขายคืน กับผู้ที่ทำรายการซื้อ ในวันนั้นอีกด้วยครับ สำหรับวันที่ 30 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา ยืนยันได้ว่า ไม่มีกองทุนไทยกองทุนไหนเลยที่หลวมตัวไปซื้อไว้ที่ราคา ที่สูงกว่าปกติในวันนั้นครับ เพียงแต่จำเป็นต้องนำราคาปิดสุดท้ายมาใช้คำนวณราคาหน่วยลงทุนตามวิธี ปฏิบัติเดียวกันสำหรับทุกประเภทของกองทุนครับ ผิดปกติ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 22:29:07

ความคิดเห็นที่ 3 #1 .... ซื้อกันที่เวลาประมาณ 15:59 น. เวลาที่สิงคโปร์ ก่อนที่จะปิดตลาดหุ้นเวลา 16:00 น. และต่อท้ายกันที่เวลาแบบสุ่มปิดท้ายตลาดหลัง 16:00 น. ในบางวันครับ ซึ่งราคาที่ผิดปกตินั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลัง 16:00 น. ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 22:33:33

ความคิดเห็นที่ 4 ช่วง หลัง 16.00 น คือ ช่วง CALL MARKET นิครับ ต่อให้จำนวนหุ้นน้อย ที่ MATCH กันได้ ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่า รายการดังกล่าวไม่ได้มาจาก ฝั่งไทยนิครับ แต่ผมก็ไม่ได้จะ หาว่าคนไทยทำกันเอง เพียงแต่ว่า หากใช่ งานนี้ กองทุนพวก Feeder FUND ที่ไปลงทุน ETF ตัวเดียว แถมมีสภาพคล่องน้อย เตรียมตัวได้เลยครับ มีคนเห็นช่องแล้ว ........ จากคุณ : Tanyapot เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 22:39:54

ความคิดเห็นที่ 5 ช่องกำลังถูกปิดแล้วครับ ..... จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 23:21:25

ความคิดเห็นที่ 6 สำหรับวันที่ 30 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา ยืนยันได้ว่า ไม่มีกองทุนไทยกองทุนไหนเลยที่หลวมตัวไปซื้อไว้ที่ราคา ที่สูงกว่าปกติในวันนั้นครับ เพียงแต่จำเป็นต้องนำราคาปิดสุดท้ายมาใช้คำนวณราคาหน่วยลงทุนตามวิธี ปฏิบัติเดียวกันสำหรับทุกประเภทของกองทุนครับ ผิดปกติ จากคุณ : pjuk ----------------------------------------------------------------------------------------- แล้วทำไม คนที่ซื้อวันนั้นจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดนได้ของราคาแพงไป10% วันรุ่งขึ้นราคากลับมาที่เดิม โกงราคากันชัดๆ นโยบายกองทุนก็บอกอยู่แล้วครับว่าต้องอิงหรือราคาใกล้เคียงตลาดโลก หากยืนยันว่า.... "ไม่มีกองทุนไทยกองทุนไหนเลยที่หลวมตัวไปซื้อไว้ที่ราคา ที่สูงกว่าปกติในวันนั้นครับ เพียงแต่จำเป็นต้องนำราคาปิดสุดท้ายมาใช้คำนวณราคาหน่วยลงทุนตามวิธี ปฏิบัติเดียวกันสำหรับทุกประเภทของกองทุนครับ ผิดปกติ" ก็แสดงว่า ลูกค้าวันนั้น ขาดทุน แต่ บลจ กองทุน กำไร?????? งั้นก็ควรจะมี spirit ออกมาดำเนินการแก้ไข ชดเชยให้ ดังเช่นเคส 18 มีนาคม ที่ผ่านมานะครับ จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 23:42:09

ความคิดเห็นที่ 7 บลจ. พอจะมีวิธีป้องกันไหม ที่จะไม่ให้ราคามันโดดแบบวันที่ 30 ธค. ที่ผ่านมา ผมไม่อยากให้เป็นเหมือนโต๊ะบอลคับ คนซื้อเยอะ ราคาไหล .. ไหลมากๆๆๆ จากคุณ : tuppee เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:08:27

ความคิดเห็นที่ 8 กองทุนไม่ได้มีกำไรจากส่วนต่าง เพราะซื้อที่ราคาก่อนสุดท้าย แต่ไม่ได้มีการขายที่ราคาสุดท้ายที่สูงผิดปกติครับ ราคาสุดท้ายเอามาใช้แค่การคำนวณราคาหน่วยลงทุน คล้ายๆ หุ้นไทย ซื้อกันได้ทั้งวัน แต่สุดท้ายสิ้นวันก็ใช้ราคาสุดท้ายของวันมาคำนวณราคาหน่วยลงทุน หลายๆ วันจากหลายๆปี หุ้นไทยเคยเจอบวกลบเป็นร้อย ..,.... เหมือนผิดปกติ แต่ก็ปกติ เพราการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์หลายๆ ตัว แต่กองทุนทอง เป็นกองทุนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ทางเลือก ที่มีการลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียวนั่นคือ หุ้นทอง (ETF) จึงออกมาที่การจัดอันดับความเสี่ยงสูงสุด ที่สูงกว่ากองทุนประเภทอื่นๆ ทุกกองทุน (เสมอกองทุนน้ำมัน) ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:15:45

ความคิดเห็นที่ 9 อยากทราบแนวทางการป้องกันของบลจ. ในอนาคตซะเเล้วสิคะ สำหรับกองทุนทอง  ไม่รู้ตอนนี้คุยกันไปถึงไหนเเล้วอ่ะค่ะ จากคุณ : Worthog เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:21:20

ความคิดเห็นที่ 10 "กองทุนไม่ได้มีกำไรจากส่วนต่าง เพราะซื้อที่ราคาก่อนสุดท้าย" งั้น ที่เงินที่เราซื้อไปก็ กองทุน ก็นำเงินพวกเราไปซื้อ ที่ราคาก่อนสุดท้าย แล้วทำไม เคสแบบนี้ มาชดเชยให้ลุกค้าไม่ได้หละครับ เหมือนกรณีที่ราคาปิดผิดปรกติไปรอบ 18 มีนาคม ที่มีการมาดำเนินการชดเชยแก้ไขให้ แล้วรอบนี้ก็ควรทำได้ *****เพราะ เงินที่เราซื้อไปก็ กองทุน ก็นำเงินพวกเราไปซื้อ ที่ราคาก่อนสุดท้าย******* และ เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ปรกติ ตามหนังสือชี้ชวนหรือโฆษณาขาย ที่ว่า ราคาใกล้เคียง อิง ตลาดโลก ทาง บลจ ควรออกมาดำเนินการอะไรสักอย่างนะครับ และ มีมาตรการไม่ให้เกิดต่อไปในอนาคต ตอนนี้เรื่องคุยกันไปถึงไหนแล้วครับเคสนี้ P'Juk - การชดเชยดำเนินการให้ ลูกค้าในวันนั้น - การป้องกันในอนาคต จะใช้วิธีไหน ยังไง - ข้อสรุป??? จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:28:37

ความคิดเห็นที่ 11 "ก็แสดงว่า ลูกค้าวันนั้น ขาดทุน แต่ บลจ กองทุน กำไร??????" อันนี้เข้าใจผิดครับ กองทุนไม่ได้กำไรจากการซื้อถูก ขายหน่วยแพงให้แก่ผู้ซื้อวันนั้น หลักการคิด NAV คือเอาราคาสินทรัพย์ ณ เวลา mark ที่กำหนดไว้มาคิดมูลค่าทั้งหมด แล้วหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด ดังนั้น บลจ ไม่ได้อะไรเลยนอกจาก Premium ที่เป็น % ที่กำหนดไว้เท่านั้น ดังนั้นกรณีนี้แบ่งนักลงทุนเป็น 3 กลุ่มครับ กลุ่ม1: ซื้อวันนั้น = ซื้อแพง กลุ่ม2: มีหน่วยลงทุนแต่ไม่ได้ทำอะไร = ไม่ได้ประโยชน์ เพราะราคาเข้าสู่ภาวะปกติในวันรุ่งขึ้น กลุ่ม3: ขายวันนั้น = กำไร กำไรมาจากไหน จากส่วนต่างที่กองทุนซื้อมาถูกขายแพงนั่นแหละ แล้วทำไมต้องคิดมูลค่าตามเวลา Mark เพราะเพื่อให้เป็นเกณฑ์มาตรฐานและ เท่าเทียมกันทุกคน เนื่องจากถือว่าทุกคนรับรู้เกณฑ์นี้ ไม่ใช่ บลจ อยากเอามูลค่าที่เวลาอะไรมาใช้คิด NAV ตามใจชอบ ถึงเวลานั้น มันจะทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสมากกว่านี้เยอะครับ แต่เมื่อมันเกิดคำถามถึงความเท่าเทียม ผู้เล่นที่ต้องลงมาทำหน้าที่คือ กลต ว่าจะจัดการกรณีอย่างนี้อย่างไรให้เป็นบรรทัดฐานในอนาคต แต่ผมว่าแบบนี้ Fair ที่สุดครับ จากคุณ : Dark Archon เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:34:14

ความคิดเห็นที่ 12 เพิ่มเติมอีกนิดนึง สมมุติว่าเราเอาบรรทัดฐานที่ว่าเกิดเหตุผิดปกติให้กองทุนสามารถ เอามูลค่าสินทรัำพย์ที่เวลา xxx มาใช้ได้ สมมุติ ธนาคาร A ถือหุ้นใน บลจ A     ธนาคาร A และบรรดาบริษัทลูกธนาคาร A ถือหน่วยลงทุนในกองทุน A1     กองทุน A1 เปิดขายให้รายย่อยนักลงทุนทั่วไป เราจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าไม่มีบรรทัดฐานการคิด NAV ที่เป็นมาตรฐานแน่นอนและตรวจสอบได้ บลจ A จะไม่จะไม่ดิด NAV ให้เกิดประโยชน์ต่อธนาคาร A และบริษัทลูกมากที่สุด จากคุณ : Dark Archon เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 00:44:38

ความคิดเห็นที่ 13 งั้นคนเกิดปัญหาก็ต้องช่วยๆกัน ส่งอีเมลล์, Fax แจ้ง กลต เพื่อให้มาช่วยตัดสินกรณีนี้ ว่าจะชดเชยให้ลูกค้าอย่างไร เนื่องจาก มีช่องโหว่ปัญหาอยู่ งั้นเริ่มร่างจดหมายเลยตอนนี้..... จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 01:00:08

ความคิดเห็นที่ 14 เวลามีปัญหา แต่  บลจ.ไทยไม่สามารถหาข้อยุติและจัดการได้ และหากยังปล่อยให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นช่องทางให้วายร้ายทางเศรษฐกิจที่รู้ช่องทางนั้น เข้ามาอาศัยช่องว่างนี้ แทรกเข้ามาหาผลประโยชน์ คนที่ได้รับค่าตอบแทนสูงๆในการบริหาร ส่วนมากก็เชี่ยวชาญและมักจะมีดีกรีสูงๆ แต่ถ้าเคสทดสอบแบบนี้ เกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง และไม่สามารถจัดการได้ ก็เหมือนปักป้ายเชิญชวนนั่นเอง ว่าตรงนี้มีประตูให้เข้ามากอบโกยนะ เมื่อการเปิดเสรี ก็คือการเปิดทางให้วายร้ายเหล่านั้น เข้ามาผ่องถ่ายเงินจากกระเป๋าคนไทย ไปยังเสือหิวเมืองนอกได้ง่ายๆนะครับ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 07:27:33

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้ายังไม่ปรับหรือ อุดช่อง เดี๋ยวก็มีอีก.... จากคุณ : บ้านกลางสวน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 07:51:24

ความคิดเห็นที่ 16 ขอยืมคำพูด ท่านฮะ มาบางส่วนนะครับ ใช่เลย!!!! การที่คนไม่สามารถเชื่อในราคาสุดท้ายได้ว่าจะก้าวกระโดดหรือไม่ เป็นความเสี่ยงเกินระดับคนที่คิดจะลงทุนในกองทุน และ กองทุน บลจ มีคนที่ได้รับค่าตอบแทนสูงๆในการบริหาร ส่วนมากก็เชี่ยวชาญและมักจะมีดีกรีสูงๆ แต่ทำให้เกิดเคสไม่ปรกติแบบนี้ และ เกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง และไม่สามารถจัดการอะไรได้ อีกทั้งบริหารงานก็มี 2 มาตรฐาน แก้ไข ชดเชยให้ ครั้ง 18 มีนาคม แต่ พอ 30 ธค. เคสเดียวกันทุกกรณี กลับเงียบ... มาตรฐาน การแก้ปัญหาการดำเนินงานอยู่ที่ไหน ไม่ออกมาชดเชยอะไรให้ ทั้งที่เป็นความผิด ของ บลจ กสิกรไทย KBank K-Gold ที่ไม่สามารถบริหารให้เป็นไปตาม หนังสือ ชี้ชวนและคำโฆษณาที่สวยหรูของคุณ ว่า ราคา อิง หรือ ใกล้เคียงตลาดโลก แล้ว จะเชื่อถือ บลจ กสิกร กองทุน K-Gold อีกต่อไปได้อย่างไร และการไม่รู้ว่าจะแจ๊คพอทวันไหนคนที่จะลงทุนจะยอมกล้าเสี่ยงกันหรือครับ คราวนี้ ทางกองทุนฯต้องหาทางจัดการกับปัญหาเรื่องนี้และออกมาแก้ไข ดำเนินกาให้ผู้ซื้อวันที่ 30 ธค. เพราะมันเป็นช่องโหว่มากๆ กรณีนี้ มันจะมาอีกแน่นอน และ ช่องโหว่ที่ กสิกร หรือ บลจ อื่นๆก็ตามที่ลงทุนใน SPDR ไม่ดูแล นี้ ทำให้ผู้ซื้อ วันที่ 18 มีนาคม และ 30 ธันวาคม เสียหายอย่างใหญ่หลวง จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 09:58:17

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าคำสั่งสิ้นสุด 15.30 แล้วมันโดดไป +-10% ช่วง 16.00 อันนี้ผมว่าทุกคนยอมรับได้ เพราะต้องอาศัย volume มหาศาล เป็นไปตามกลไกปกติของตลาด แต่กรณีนี้ มันไม่กี่นาทีเอง แล้วก็บางมากด้วย จากคุณ : กุ้งเต้นชามะนาว เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 10:40:26

ความคิดเห็นที่ 18 ปัญหาของวันที่ 30 ที่สิงคโปร์ มันผิดปกติครับ  ถ้าเป็นศพก็ถือว่า "ตายผิดธรรมชาติ" ซึ่งต้องได้รับการชัณสูตรพลิกศพ ใช่เลยคำนี้!!!!! จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 10:41:08

ความคิดเห็นที่ 19 ผมไม่ได้มีส่วนได้เสีย เพราะไม่ได้กำไร หรือขาดทุนวันนั้น เลยไม่เดือดร้อนอะไร แต่จากที่ผมดู ผมว่า pjuk ก็ชี้แจงครบถ้วนแล้ว หรือจากที่ผมอธิบายไปหลายๆกระทู้ก่อน จริงอยู่ว่าราคาอาจจะดู "ไม่ปกติ" เมื่อเทียบกับราคาที่ควรจะเป็น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น "จริง" ไม่ได้เกิดจากการโกงกันของ บลจ.ในเมืองไทย หรือกองทุนไทย หรือแม้กระทั่งการโกงของสิงคโปร์ตามที่หลายๆคนพูดไว้ แต่มันเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์จริง เมื่อสักสองปีที่แล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์ค อยู่ดีๆก็ปรับตัวลดลงกว่า 900 จุดในช่วงระยะเวลาวินาทีเดียว เพราะมีการ key คำสั่งขายหุ้นตัวนึงที่ราคาผิดไป ก่อนที่ตลาดจะกลับมาซื้อขายที่ราคาปกติ เพราะเหตุที่เกิดเป็นช่วงที่ตลาดยังไม่ปิด ก็เลยโชคดีไป ก็ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวายว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯห่วย หรือว่าโกงเลยครับ เพราะถือว่าสิ่งที่เกิด มันเป็นการซื่อขายที่ถูกต้องในตลาด เพียงแต่กรณีนี้ มันเกิดขึ้นในช่วง call market ซึ่งไม่มีใครจะเข้าไปแก้ไขอะไรได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดใคร pjuk ก็ชี้แจงแล้ว k8888 ก็ชี้แจงแล้ว ผมเองก็ช่วยอธิบายให้เห็นภาพว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้ว ผมเชื่อว่า หลายๆคน เข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด แต่คำตอบที่คุณต้องการคือ "กองทุนต้องชดเชย" ดังนั้น เมื่อคำตอบไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ต่อให้ใครอธิบายอย่างไร ก็ไม่ประโยชน์ ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ จากคุณ : ^Sleepless Society^ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 11:42:48

ความคิดเห็นที่ 20 คุณความเห็นที่ 19 คะ 1กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น เวลาคำนวณราคาปิด เค้าคำนวณจากราคาที่เค้าซื้อขายจริง บางวันหุ้นตก แต่กองทุนอาจจะขึ้นได้ถ้าหุ้นตัวที่ถืออยู่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ถูกมั๊คะ 2 แต่กรณีนี้ กองทุนทองคำ คุณซื้อที่ราคาต่ำ ซึ่งจำนวนหน่วยที่ได้จะได้มากกว่าตอนราคาปิด ตอนตลาดปิด ราคาขึ้นสูง หน่วยที่มาคิดให้ลูกค้าย่อมน้ิอยลง พอวันเปิดตลาด ราคากลับมาเหมือนเดิม หน่วยที่ลูกค้าได้รับ เท่าเดิม(แต่มูลค่าลดลง เพราะค่า nav ลดลง) ดังนั้น ที่พวกเรามาพูดกันอยู่ อยากถามว่าคนที่ซื้อวันนั้นได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ปกติ จำนวนหน่วยลงทุนที่เกินมา ก็ไม่น่าจะกลับเข้ากองทุน คงต้องถามทั้งคนซื้อเก่าและใหม่ว่า คุณได้หน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นมั๊ย ถ้าไม่ได้แล้วส่วนต่างหายไปไหน พวกเราเป็นผู้บริโภค อะไรที่เป็นสิทธิของผู้บริโภคเราก็ควรรักษาสิทธิของตัวเิงถูกมั๊ยคะ ถ้าไม่ทำความจริงให้เปิดเผย ต่อไปสถาบันการเงินจะทำอะไรกับประชาชนก็ได้ ไม่ทราบว่าดิฉันคิดแบบนี้ถูกมั๊ย แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 12:29:26 จากคุณ : ซำเม่า เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 12:11:33

ความคิดเห็นที่ 21 ที่ผมตั้งกระทู้ ไม่ใช่ว่าต้องการให้ ใครออกมาชดเชยนะครับ กระทู้นี้ที่ผมเขียนคือ นักลงทุนไทย พร้อมรึป่าวที่จะไปให้เขาซื้อ ขายกันในกระดานเมืองนอกได้ แค่กองทุนแบบนี้ ความเสี่ยงหรือกลไล ของ อีทีเอฟ ยังไม่ค่อยเข้าใจกันเลย ส่วนราคาที่ Off จาก ตลาดที่มันควรจะเป็น ถ้าเป็นหุ้นปกติ ผมว่าหน่วยงานที่ดูแล จะเข้าไปตรวจสอบนะครับ ว่าเป็นการสร้างราคารึป่าว "ไม่รู้ว่าอันนี้ผมเข้าใจผิดรึป่าวบอกได้นะครับ".ในส่วน อีทีเอฟ นี้ หากราคาไม่ได้มาจากฝั่งไทย ก็คือว่า กองทุนทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว จะ ตามก็คงต้อง การควบคุมของ ตลาดฝั่งโน้น สิงคโปร์ โน้น กับอีกอย่าง ก็คือ ต้องพัฒนา สื่อสารความรู้ให้นักลงทุนไทยทราบความเสี่ยงครับ หากเหตุการณ์นี้ กลับกัน ราคา ลดลงกว่าที่ควรจะเป็นมาก จะมีคนมาว่า หรือไม่????? คนขายก็จะออกมาว่า คนซื้อก็จะดีใจ แตกต่างจากเหตุการณ์นี้นะครับ อย่าไปทำ รวมตัวไป ปิด ถนน นะครับ ไม่ดีๆ เห็นนิยมกันจังวิธีนี้ จากคุณ : Tanyapot เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 12:21:10

ความคิดเห็นที่ 22 1. ถูกต้องครับ ..... เพียงแต่กองทุนหุ้น มีหุ้นหลายตัว ที่กองทุนลงทุนไว้ ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนในตลาดหุ้น ที่มีมากกว่า 400 ตัว แต่กองทุนทอง มีแค่หุ้นทองตัวเดียวเท่านั้นที่กองทุนทองลงทุนไว้ เสมือนว่ากองทุนหุ้น ถ้าลงทุนหุ้นเพียงตัวเดียวนั่นเองครับ (ตาม คห.8) 2. คำตอบอาจจะทำให้ งง มากขึ้นแต่วิธีคิดคำนวณของกองทุนทุกกองทุนเป็นเช่นเดียวกันคือ ราคาหน่วยลงทุน = มูลค่าทรัพย์สินกองทุน / จำนวนหน่วยลงทุนที่ขายได้แล้ว มูลค่าทรัพย์สินกองทุน = ผลรวมของ (หลักทรัพย์แต่ละตัวกองทุนลงทุนไว้ x ราคาปิดสิ้นวันของหลักทรัพย์แต่ละตัว) โดยเงินลงทุนใหม่ ทั้งซื้อ และ ขายคืน ยังไม่มีการรวมเข้าไปคำนวณ ในทรัพย์สินของกองทุนแต่อย่าไร จนกว่าจะถึงวันทำการถัดไป เงินลงทุนใหม่ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุน = เงินลงทุน / ราคาเสนอขายกองทุน โดย เงินลงทุนเพิ่มขึ้น (จากที่ลูกค้าซื้อเพิ่ม) จำนวนหน่วยลงทุนก็เพิ่มขึ้น เงินลงทุนลดลง (จากที่ลูกค้าขายคืน) จำนวนหน่วยลงทุนก็ลดลง แล้ว วันถัดไป ทั้งเงินลงทุน ที่เปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์ และ จำนวนหน่วยลงทุน จึงค่อยมาร่วมคำนวณเพิ่มเข้าไปในระบบกองทุน โดยเงินลงทุนที่เปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์ (ทอง) ก็ได้จากการซื้อที่ราคาปกติ ก่อนในเวลาประมาณ (ก่อน) 16:00 น. จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 12:26:56

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณความเห็นที่22 ค่ะ พอเข้าใจแล้วค่ะ ว่าส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะกระจายไปในหน่วยลงทุนสำหรับทุกคน ดังนั้น คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่ขายวันนั้น และผู้ถือหน่วยลงทุนอยู่เดิม ส่วนคนที่เสียประโยชน์ คือคนที่ซื้อวันนั้นแต่อาจได้รับการทดแทนบางส่วน จากเงินที่เพิ่มเข้ามาในวันถัดไป ดิฉันว่า Pjuk อธิบายได้ดีกว่าเจ้าของเรื่องอีกค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 13:48:34 จากคุณ : ซำเม่า เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 12:36:08

ความคิดเห็นที่ 24 จากที่อธิบายทั้งหมด พอที่จะสรุปอย่างนี้ได้หรือเปล่า 1 คนที่ซื้อวันนั้น  เสีย     โดยจ่ายแพงกว่าจริง 10 % 2 คนขายวันนั้น   ได้      ขายของได้มากว่ามูลค่าจริง 10 % ส่วนต่าง ของ 1 กับ 2 จะเอาเข้าไปรวมในกองรวม --> ผู้ถือหน่วยทั้งหมด ได้หรือเสียจากผลต่าง  (รวมถึงคนซื้อด้วย ไม่รู้ว่าจะถึงทศนิยมหลักที่ 4 หรือเปล่า) ส่วน บลจ. ก็รับค่าธรรมเนียมการซื้อ และขาย ไป มากกว่าปกติ 10 % (ได้อย่างเดียวไม่มีเสีย... ลืมไป เสียชือ) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกระทำของ บลจ. ของไทย เพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก และไม่คุุ้มเสี่ยง       การคำนวน NAV ก็ยืนยันที่จะใช้ใช้กติกาเดิมที่กำหนดขึ้นไว้ชัดเจนแล้ว  ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเหตการณ์ประหลาด ที่ คนคิดกองทุนก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้น      อย่างไรก็ตาม  แต่รับปากว่าจะไปคุยกันใน บลจ. ทั้งหลาย เพื่ออุดช่องว่างนี้ ในโอกาสต่อไป (โอกาสนี้ให้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป) ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ จากคุณ : ห้าแต้ม เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 13:30:32

ความคิดเห็นที่ 25 ทำอย่างนี้ลองคิดถึงคนที่เขาเพิ่งลงทุนครั้งแรก โดยเอาเงินโบนัส บำนาญก้อนใหญ่มาซื้อหน่วยลงทุน ซื้อครั้งแรกก็ขาดทุน 10% ทันที ทั้งๆที่ไว้ใจให้กองทุนที่มีแต่พวกเรียนสูงดีกรี ด็อก จบนอกมาดูแล แต่เมื่อเกิดปัญหาก็บอกว่าเป็นความเสี่ยงของตลาด ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ความเสี่ยงของตลาดที่ผู้ลงทุนต้องรับครับ มันเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่รัดกุมและขาดการจัดการที่ดีของผู้บริหารกองทุนครับ ทั้งๆที่มันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แทนที่จะป้องกันได้กลับฉวยโอกาสที่จะบุ๊คอัตราผลตอบแทนกองทุนในอัตราสูง และใช้ตัวเลขเหล่านั้นในการโฆษณาชวนเชื่อ อีกทั้งใช้คิดค่าบริหารจัดการกองทุน   โดยผู้ลงทุนไม่ได้ประโยชน์จากตัวเลขนั้นเลย (ยกเว้นคนที่ขายในวันน้ัน) ลองพิจารณาดูนะครับ ว่ามันยุติธรรมจริงๆรึปล่าว มันเป็นคราวซวยของคนหลายๆคนจริงหรือ และจะรู้ได้อย่างไรว่า เหล่ากองทุนไทยไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำเหล่านั้น จากคุณ : Seng Mutual Fund (Live in the Light) เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 13:52:53

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เป็นไปตามโฆษณาก็ต้องแก้ไข ชดเชยให้ ก็แค่นั้น จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 14:02:37

ความคิดเห็นที่ 27 ตามหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนคือ "ต้องดูแล รับฟังข้อเรียกร้องเรียกสินไหมทดแทน" โดยถือประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ โปรดไปอ่านในหนังสือชี้ชวนที่พวกคุณเขียนกันเอง นี่ไม่เพียงไม่ทำหน้าที่ แต่นิ่งเฉย และขอให้พวกเรายอมรับกรรมกันไป ต่อไป คงไม่สามารถเชื่อใจสถาบันการเงินได้อีกแล้ว จากคุณ : ซำเม่า เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 14:51:54

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนนี้ทำกันเป็นขบวนการ ซื้อ กองทุนทองในไทยที่ลงทุนใน SPDR แล้วลาก SPDR ท้ายตลาดให้ราคาเกินจริง พร้อมขายกองทุนทองไทย จากคุณ : simonyens เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 22:10:05

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ท่าน 4 โมงเย็นว่ามาจริงหรือเปล่าครับพี่น้องสินธร  ปูเสื่อรอฟังต่อครับ  ถ้าจริงนี่ไอ้คนลากนี่มันรวยมากและเลวมากเลยนะครับ จากคุณ : ข้าวเหนียวหน้าไก่ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 22:32:25

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยกับคุณ Seng Mutual Fund (Live in the Light) ความเห็นที่ 25  ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น  แต่ซื้อ B-Gold  ไม่เห็นมีใครพูดถึง B-Gold มั่งเลย จากคุณ : เคลื่อน เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 55 18:15:03

ความคิดเห็นที่ 31 บลจ.โกงเงินเรา..ต้องชดเชยนะตามข้อตกลง จากคุณ : มิโนริ เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 55 21:14:12

ความคิดเห็นที่ 32 คิดว่า น่าจะยกเลิกการทำรายการในวันดังกล่าวไป  ทุกคำสั่งซื้อขายวันนั้น ย้อนกลับให้หมด  จะพอใจกันไหม ? จากคุณ : natapolsri เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 55 16:16:56

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ k888 หายไปไหนครับ อยากให้คุณเป็นคนมาชี้แจงมากที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ทำนิ่งเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้ จากคุณ : เด็กผี2522 เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 55 17:21:47

ความคิดเห็นที่ 34 บลจ KBank ทำไมทำงาน 2 มาตรฐาน 18 มีนา.ชดเชยให้ กรณี 30 ธค. ทำเงียบกรณีเดียวกันชัดๆ ไม่เป็นไปตามโฆษณาไว้ก็ต้องรับผิดชอบ ชดเชย แก้ไขให้............... อย่างนี้จะเชื่อใจบลจ กสิกร K-Gold ได้หรือต่อจากนี้ จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 00:21:30

ความคิดเห็นที่ 35 สุดท้ายใครที่ซื้อวันนั้น บอกได้คำเดียว "ซวย" เอง บลจ กำไรสบายๆ 10% ยิ้มหวานกันเลยทีเดียว จากคุณ : fa_beer เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 14:32:15

ความคิดเห็นที่ 36 Excerpted some from the link below:- http://www.kasikornasset.com/TH/MarketUpdate/Pages/K-Gold_Conversation.aspx ญาญ่า โอเคๆ เข้าใจหล่ะ ว่าแต่เราจะสามารถป้องกันเหตุการณ์แบบนี้อีกได้ไหม ณเดชน์ ถ้าในแง่ของโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีกไหม เราก็คงบอกว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นไปตามกลไกตลาดที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แล้วมันก็เป็นความเสี่ยงโดยทั่วไปของกองทุน ETF ตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนด้วยว่า มันมีโอกาสที่ราคาซื้อขายในตลาดกับราคาหน่วยลงทุน SPDR GOLD TRUST มันจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะปริมาณซื้อขายกองทุน SPDR GOLD TRUST ในตลาดสิงคโปร์ มันอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ ก็มีโอกาสที่จะมีผลแตกต่างระหว่างราคา กับ NAV มากกว่าที่ตลาดสหรัฐฯ <----- แล้ว เคยแจ้งเอาไว้ครบถ้วนไหม ------> โฆษณาแล้วทำไม่ได้ ถึงจะมีหมายเหตุไว้ bla bla bla ก็ควรต้องรับผิดชอบ คราวก่อน ดำเนินการชดเชยให้ แล้ว คราวนี้หละ !!!!!!! จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 16:09:36

ความคิดเห็นที่ 37 ณเดชน์ เราก็รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนะ เราได้ยินมาว่า บลจ.ต่างๆกำลังจะประชุมร่วมกันกับ กลต. เพื่อพิจารณาว่าในกรณีที่เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต จะมีแนวทางอย่างไร เพื่อจะได้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุก บลจ. ญาญ่า แล้วตอนนี้ที่เราซื้อไปน่ะ มันก็แพงไปแล้ว เราควรจะทำอย่างไรดีหล่ะ ณเดชน์ จริงอยู่ที่ระดับราคาที่ญาญ่าซื้อ อาจจะแพงกว่าวันก่อนหน้าไปเยอะ แต่ถ้าดูในแง่ระยะยาวแล้วโดยส่วนตัวคิดว่า ราคาทองคำก็ยังมีแนวโน้มที่จะไปต่อได้นะ เนื่องจากปัจจัยหลักที่สำคัญที่ผลักดันราคาทองคำคือ ความกังวลในปัญหาเศรษฐกิจ เพราะทองคำมักจะจัดเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เวลาที่เกิดเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจ อย่างที่เห็นตอนนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะเริ่มดูดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงมากมาย ในขณะที่ทางยุโรปเอง เศรษฐกิจน่าจะยังคงอยู่ในภาวะถดถอยอีกพักใหญ่ๆเลย แล้วตอนนี้ ในกลุ่มของทางตะวันออกกลาง ก็เริ่มมีความกังวลจากการที่อิหร่านทดลองอาวุธนิวเคลียร์ แล้วก็จะตอบโต้ชาติตะวันตกที่จะคว่ำบาตรด้วย นี่ก็เป็นปัจจัยหลักๆที่ทำให้ทองในช่วงต้นปีนี้ปรับตัวดีขึ้นล่ะ เราเชื่อว่า ระยะยาว ปัจจัยเหล่านี้ยังคงสนับสนุนราคาทองคำได้ต่อไปนะ แต่ระยะสั้น ก็คงจะผันผวนไปบ้าง ดังนั้น ถ้าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงมา เราว่าญาญ่าอาจจะหาโอกาสทยอยลงทุนเพิ่ม เพื่อเฉลี่ยต้นทุนลงไปได้ด้วยนะ <------- จะอธิบายมาทำไม ------->  ว่าราคามันจะดีขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆ สิทธ์ของเราควรได้ราคาอิงหรือใกล้เคียงตลาดโลก ณ วันนั้น ตอนนี้มันก็เป็นผลกำไรของเราแล้ว และ ดีขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ ก็ควรจะ ontop จากราคา ณ วันนั้น จากคุณ : Mr Thai Find เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 16:10:08

ความคิดเห็นที่ 38 งั้นสรุปก็คือเราควรย้ายไปลงทุนกับ บลจ.ที่ไปลงทุนใน Physical gold หรอครับ งั้นตอนนี้ก็เห็นจะมีอยู่แค่ที่เดียวที่จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ เพราะใช้ LBMA AM เป็นตัวคิดราคา จากคุณ : Vidva_Kaset เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 15:59:42

ความคิดเห็นที่ 39 บลจ.กสิกรไทย เปิดตัวแผนปี 2555 ภายใต้การนำทัพของ “อำพล โพธิ์โลหะกุล” ตั้งเป้า 3 ธุรกิจกองทุนโต 22% พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าแบบตรงใจในคอนเซปท์ “กองทุนสำหรับคนคิดบวก” http://www.thaipr.net/finance/382509 จากคุณ : Spetsnaz เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 18:10:46