ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ามีเงินออมสม่ำเสมอ ลองเป็นฝากประจำดูดีไม๊คะ ที่ฝากเท่ากันทุก ๆ เดือน ก้ได้ดอกเบี้ยมากกว่าออมทรัพย์ และไม่มีความเสี่ยง หรือไม่ก็ซื้อสลากออมสินค่ะ ทยอยซื้อไปเรื่อย ๆ ได้ แต่โอกาสถูกก็จะน้อยกว่าซื้อเป็นจำนวน จากคุณ : หนูเก๋ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 14:20:28

ความคิดเห็นที่ 2 เริ่มลงทุนก็ต้องเริ่มเลยแหละครับ เพราะแค่คิดว่าจะเริ่มทำ เราก็ต้องเริ่มหาความรู้ ลองผิดลองถูกกันไป ถ้าไปคิดจะเริ่มตอนอายุมากๆ แล้วผิดพลาด จะไม่มีเวลาแก้ตัวนะครับ ยิ่งเวลาในการลงทุนนาน ก็จะได้ผลตอบแทนเยอะ ส่วนแนวทางในการลงทุน ต้องแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ตอนนี้หาความรู้ให้มากๆ ลองงทุนไปนิดๆหน่อยๆ สักพักจะรู้ว่าถนัดแบบไหน จากคุณ : gto14982 เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 14:38:42

ความคิดเห็นที่ 3 เราแบ่งเงินฝากประจำทุกเดือน ไม่เสียภาษีคะ เสี่ยงต่ำ เพิ่งไปเปิดของ L&H 4.7% อิงดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน แต่เราว่าก็ยังโอถึงดอกประจำจะลง เพราะมันไม่เสียภาษีคะ ก้อนนี้เอาไว้ฝึกนิสัยการอดออม ที่เหลือก็ไปจัดสรรต่างหากเอา จากคุณ : พี่สาวที่แสนดี เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:01:53

ความคิดเห็นที่ 4 ๙ปีก่อน อายุเรายี่สิบปลายๆ ก็เริ่มต้นเก็บเงินฝากบัญชีออมทรัพย์ ได้ครบ ๓ หมื่นบาทก็ถอนไปซื้อสลากออมสิน (หน่วยละ ๕๐ บาท ฝาก ๓ ปี) ถูกรางวัลปีละ ๑๕๐-๓๐๐ บาท ต่อมาฝากเงินมากขึ้นก็ซื้อสลากแสนต้นๆ (ถูกรางวัลปีละ ๑,๐๕๐ บาท) ปัจจุบันซื้อสลากหลักล้าน ซื้อเดือนแรกก็ถูกรางวัลที่ห้าและรางวัลเลขท้าย รวมๆกันได้มา ๗,๔๐๐ บาท (ลองคำนวณดูถ้าไม่ถูกรางวัลใหญ่เลย อย่างน้อยก็ได้ ๒,๐๐๐ บาททุกเดือนค่ะ) ครบกำหนดฝากรวมเงินรางวัลและดอกเบี้ย/หน่วย ก็จะได้ประมาณ ๓ แสนบาทเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้าถูกรางวัลใหญ่ก็จะได้มากกว่านี้ เราลงทุนทองคำแท่งด้วย เก็บยาวๆ ไม่ขาย ซื้อตั้งแต่บาทละ ๑๖,๖๕๐บาท เราเป็นคนที่ไม่ชอบลงทุนที่มีความเสี่ยง ชอบให้เงินต้นอยู่ครบ อยู่ไกลบ้านด้วย เรื่องกองทุนต่างๆคงไม่เหมาะสำหรับเรา หุ้นที่เมืองไทยไม่ได้ซื้อ ซื้อหุ้นแบบที่มีปันผลที่ญี่ปุ่นค่ะ เงินก็ยังคงเก็บต่อไปเรื่อยๆค่ะ เก็บเป็นเงินเยนไว้ด้วย เก็บป็นเงินไทยในรูปสลากออมสิน ทุกวันที่ ๑๖ ของเดือน จึงเป็นเรื่องที่น่าลุ้นสำหรับคนไกลบ้านอย่างเรา มีความสุขตอนประกาศผลรางวัลค่ะ จากคุณ : OKANEMOCHI เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:40:16

ความคิดเห็นที่ 5 ขอให้เป็น 10k - 15k ที่หลุดพ้นจาก rate ภาษีเงินได้ไปแล้วนะคะ ถ้ายังไม่ใช่ อย่าลืมคิดถึงว่า อาจจะต้อง กันเงินจากตรงนี้มาซื้อประกัน / LTF / RMF เพื่อลดหย่อนภาษี คำถามต่อมา อยากได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ หรือความเสี่ยงเท่าไหร่ที่รับได้ จะต้องมีเผื่อฉุกเฉินถอนออกมากลางคันหรือไม่ (ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน) วิธีที่เคยใช้แล้วได้ผลนะคะ 1. ซื้อกองทุนพันธบัตรรัฐบาล ตราสารเงิน (มีทุก Bank / ผลตอบแทนอยู่ในรูปกำไร (ต่างจากดอกเบี้ย)) 2. ฝากประจำ (ขังลืม) 3. ฝากประจำหลาย ๆ เดือน (เอาจำนวนไม่มาก / ไม่เป็นภาระ) เลิกกลางคันไม่ได้ เพราะจะเสียผลตอบแทนจากดอกเบี้ย 4. ฝากออมทรัพย์เผื่อเรียก (พวก ออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะมี) หรือพวกออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง (แบงก์ต่าง ๆ เริ่มทะยอยมี จะเป็นบัญชีที่ให้สูงกว่าออมทรัพย์ แต่จะจำกัดที่ถอนได้ไม่บ่อย) ดอกเบี้ยธนาคาร หากไม่เกิน 20,000 ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่ายค่ะ วิธีลดค่าใช้จ่าย ลดหนทางการนำเงินออก 5. ลด ATM ให้เหลือแค่ใบเดียว 6. ถ้าเป็น SCB / KBANK  ให้จับ ATM กับ บัตรเครดิตมาอยู่ในใบเดียวกัน เหตุผล : เนื่องจากบัตร ATM เสียค่ารายปีหลายบาท ในขณะที่บัตรเครดิตนั้น ไม่เสียเลย และทั้ง 2 แบงก์ ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้านำบัญชี  ATM ใส่ไว้ในบัตรเครดิตได้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (ไม่เกี่ยวกับการกดเงินสดจากวงเงินแต่อย่างใด) 7. ถ้าเก็บเงินได้ประมาณนึงแล้ว ที่จะสามารถแบ่งลงทุนได้ ให้มองหากองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุกำหนดแน่นอน เช่น 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ก็ให้แบ่งเงินออกเป็น 3 ก้อน แบ่งลงในกองทุนตราสารหนี้ ที่มีทั้งระยะ สั้น กลาง ยาว เมื่อระยะสั้น ครบกำหนด หากไม่มีความจำเป็นใช้เงิน ก็สามารถหากองทุน ที่มีอายุระยะสั้น เพื่อลงทุนต่อได้ (Roll over) จากคุณ : Yutaka (Real) (Yutaka (Real)) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:42:03

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ 1. ทองถือเป็นสินทรัพย์ระดับป้องกันความเสี่ยงที่มีจำนวนจำกัด เพราะฉะนั้น ราคานอกจากจะมาจาก Demand / Supply แล้ว ยังมาจากการเก็งกำไรด้วย เพราะฉะนั้น ทองไม่ได้เป็นสิ่งที่สะท้อนค่าเงินในเวลานั้น ๆ ค่ะ 2. เข้าใจว่าหมายถึง CPI ใช่มั้ยคะ ตามหลักการแล้วเนี่ย Risk Free Rate กับ CPI มันไม่ใช่ตัวเดียวกัน และ Risk Free Rate ก็จะไม่สูงกว่า CPI ด้วย (หมายความว่า ต่อให้มีเงินซื้อพันฐบัตรรัฐบาลได้เป็นแสนล้าน แต่ผลตอบแทนที่ได้ ก็ไม่มีทางชนะเงินเฟ้อได้) เพราะฉะนั้น อาจจะต้องแบ่งเงินบางส่วนไปลงในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (เช่น ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้บริษัทเอกชนชั้นดี กองทุนรวมหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ) แล้วให้เงินส่วนใหญ่ อยู่ที่ฐานของ Risk Free Rate (กองทุนตราสารเงิน) มองภาพง่าย ๆ นะคะ (ตัวเลขสมมติ) เงินเฟ้อปี 54 =7% ผลตอบแทน พันฐบัตรรัฐบาล อายุ 1 ปี โดยเฉลี่ย ปี 54 = 3% ผลตอบแทน หุ้น PTT โดยไม่นับปันผล ซื้อวันแรกของปี 54 และขายวันสุดท้ายของปี 54 (หักค่าใช้จ่ายแล้ว) = 12% ถ้าเงิน 90% ของ จขกท อยู่ที่พันฐบัตรรัฐบาล 10% อยู่ที่หุ้น PTT เพราะฉะนั้น ผลตอบแทน โดยคร่าว ๆ จะอยู่ที่ = (90% x 3%) + (10% x 12%) = 2.7% + 1.2% = 3.9% (ซึ่งไม่ชนะเงินเฟ้อ แต่รักษาเงินส่วนใหญ่ไว้ได้) จากคุณ : Yutaka (Real) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:52:33

ความคิดเห็นที่ 7 1. ทยอยซื้อทองแท่งแล้วเช้าเซฟธนาคารฝากไปเรื่อยๆ ดีไหมครับ    ตอบ : ดีแท้แน่นอนแต่ว่ากว่าจะสะสมเป็นก้อนๆละ 5 บ. มันนานนะ ทำไมไม่ออมเป็นรูปแบบโปรแกรมออมทองแทนล่ะ ลงทุนขั้นต่ำเดือนละ 1 พันบาทขึ้นไป 2. ถ้าซื้อทองเก็บไว้แบบระยะยาว จะไม่กำไรและไม่ขาดทุน ประมาณว่าราคาทองสะท้อนค่าเงินในเวลานั้นๆ จริงไหมครับ    ตอบ : มันก็จริงอยู่เช่นกัน แต่ทองคำมันชนะเงินเฟ้อนะ ถ้าเงินเฟ้อมากๆ มูลค่ามันนก็มากเป็นเงาตามตัวนะ เป็นทรัพย์สินที่แปลงเป็นเงินได้ทันที และที่สำคัญไม่ผุ ไม่เน่าด้วย ถ้าจะทำอย่างที่ผมบอก "โปรแกรมออมทอง" ออมมันไปทุกๆ เดือน 5-10 ปี เมื่อนั้นคุณอาจจะมีกิจการเล็กๆ สบายเลย 3. มีวิธีไหนที่ใช้เก็บเงินที่ความเสี่ยงต่ำๆไหมครับ ผลตอบแทนไม่มากก็ไม่เป็นไรครับ    ตอบ : มีอยู่เยอะในตลาดทุนครับ เช่น 3.1 พันธบัตรรัฐบาล 3.2 หุ้นกู้ 3.3 เงินฝากประจำ 3.4 โปรแกรมออมทอง 3.5 กองทุนรวมที่คุ้มครองเงินต้น เช่นพวก K-money เป็นต้น 3.6 กองทุนรวมทองคำ 3.7 กองทุนรวมหุ้น (ตัวอย่างอย่าซื้อเมื่อหุ้นขึ้นสูง ดูได้จากดัชนีหุ้นขณะนี้ 1074 ควรจะซื้อเมื่อ 1020 จุด เป็นต้น) ตัวนี้มีความเสี่ยงสูง ถ้าจะลงทุนควรกันเงินออมไว้ส่วนหนึ่ง เป็นต้นเช่น อาจจะซื้อ rmf เดือนละ 2 พันไปเรื่อยๆ ไว้ลดภาษีเงินได้ครับ 4. มีคำแนะนำอะไรอย่างอื่นที่ จขกท. ควรคำนึงถึงไหมครับ    ตอบ : ถ้าคิดจะออมเงินไม่ต้องไปสนใจมันหรอกว่าดอกเบี้ยธนาคารมันจะน้อยนิด เราคำนึงถึงเงินเก็บระยะยาวมากกว่า ถ้าหากว่าคุณเก็บ 1 หมื่นบาททุกเดือน ปีละ 1.2 แสน อีก 10 ปีเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย แต่ถ้าเป็นการออมอย่างอื่นโปรแกรมออมทอง 10 ปีอาจจะได้มากกว่า 1.2 ล้านก็เป็นไปได้ถ้าในอีก 10 ปีข้างหน้าราคาทองแตะ 3.5 หมื่นบาท ยอดที่คุณเฉลี่ยมันจะบวกไปเรื่อยๆ ใน 10 ปีข้างหน้า (อาจจะได้ 2 ล้านก็ได้) ในขณะเดียวกันก็อาจจะได้ต่ำกว่า 1.2 ล้านบาทก็ได้เสมอไป ปล. จะลงทุนอะไรก็ตามข้างต้นควรจะแยกเช่น เงินออม 50% กองทุน 20% ค่าใช้จ่าย 30% เป็นต้น จากคุณ : amphun (Amphun) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:57:24

ความคิดเห็นที่ 8 โอ้ว ขอบคุณทุกๆ คห. มากครับ ตอนนี้ใจเอนมาทางทองกับสลากออมสินอยู่นะครับเนี่ย แต่เท่าที่อ่านๆมา ยังไงก็มีแนวโน้มว่าจะต้องเสียมูลค่าเงินไปให้กับเงินเฟ้ออยู่ดี แต่ถ้าสามารถรักษาเงินไว้ได้ในระดับหนึ่ง ก็ยังน่าสนใจสำหรับผมในระยะสั้น 5-7 ปีนี้ก่อน จนกว่าจะมีเงินก้อนมากพอในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องภาษีที่เงินได้ ผมหักออกจากเงินอีกส่วนนึงอยู่ครับ และยังหักค่าเลี้ยงดูบิดามารดาได้อีกสองท่าน แต่ก็อาจจะลองดูพวกกองทุนที่สามารถลดหย่อนภาษีไว้เพิ่มด้วย นอกจากทองกับสลากออมสินที่สนใจ เพราะเริ่มเสียภาษีเยอะในระดับหนึ่งละครับ ขอบคุณอีกครั้งนึงครับ ^^ จากคุณ : Zieg-Hart เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 16:32:33

ความคิดเห็นที่ 9 เงินเก็บพอๆกันครับ ผมจะลงที่หุ้นพื้นฐานไปเรื่อยๆซัก 5 ปีครับ ผมไม่กลัวเสี่ยง จากคุณ : teamasso เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 18:01:40