ความคิดเห็นที่ 1 ตกลงสงสัยจะไม่ได้สอยแล้วชาตินี้   พอจะซื้อเพื่อนทัก  แพงนะแก พอย่อหน่อย จะกดเคาะ  เดี๋ยว ๆ แก  ชั้นว่ามันจะลงอีกนิดนะ อาทิตย์หน้าแกค่อยว่าใหม่   มาวันนี้  อยากจะบอกเพื่อนว่า  เป็นงัยหล่ะแก  สะใจแกมั้ย  เด๋วชั้นรอน้ำท่วมกรุงเทพฯ อีกรอบ ชั้นจะสอยครึ่งปอดเลย  ตอนนี้แกไปไหนไกล ๆ ชั้นก่อนดีกว่า  ฉ้านอยากอยู่คนเดียวววววว จากคุณ : แกงเหลืองกะไข่เจียว เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:28:47

ความคิดเห็นที่ 2 ฟังเสียงหัวใจตัวเองดีกว่า อยากกินไข่เจียวกุ้งสับ จากคุณ : ไม่อยากจะเถียง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:39:50

ความคิดเห็นที่ 3 มีหุ้นตัวหนึ่ง... ROE อยู่ที่ 42% ผมให้ 50 เลย โอ้ว ดูเยอะมากมายร้ายเหลือ แต่... อย่าลืมว่า นั่นคือ ROE ของ Equity คือส่วนทุนของบริษัท คราวนี้มาดู P/BV กันบ้าง ตัวเลขนี้เป็น ราคาที่เราๆ นักลงทุน ต้องควักกระเป๋า จ่ายเพื่อให้ได้ "ส่วนของ Equity" ของบริษัทมาเป็นของเรา ตัวเลขอยู่ที่ 12.80 เท่า อ่ะ ผมคิดง่ายๆ ให้แค่ 10 เท่าละกัน หยวนๆ ใจดีนะเนี่ย ดังนั้น effective ROE_ของกระเป๋านักลงทุน จริงๆ โดยประมาณๆ ตอนนี้คือ 50/10 = 5% เท่านั้น (จริงๆ แล้วคือ 42%/12.8=3.28% เอง..) อันเป็นที่มาของ P/E ระดับ 30 ปี ของหุ้นตัวนั้น มันถึงจ่ายปันผลได้แค่ 2% กว่าๆ เมื่อเทียบกับราคาตอนนี้ หุ้นนี้จะต้องโตอีกสัก 2-3 เท่า ถึงจะได้ ROE จากกระเป๋าเราเท่าๆ กับหุ้น อื่นๆ อีกจำนวนมาก ที่จ่ายปันผลปัจจุบันมากมายกว่านี้ คำถามแค่ว่า "เราซื้ออนาคตมากไปไหม" "ถ้าอยากได้กำไรจริงๆ ก็ต้องซื้อแล้วขายใช่ไหม จึงมีเงินสดหมุนเข้ามา ในกระเป๋าเรา" ทางใครก็ทางใครครับ ไม่มีถูกหรือผิด แก้ไขข้อความ: อันเป็นที่มาของ P/E ระดับ 30 เท่าที่เห็นใน มาเป็น อันเป็นที่มาของ P/E ระดับ 30 ปี ของหุ้นตัวนั้น คือลงทุน 30 ปีจึงคุ้มทุน (เอ่อ.. มันก็อาจจะโตอะนะ แต่.. จะ สอง สาม สี่ ห้า เท่าเลยหรือ??) แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 12:38:03 จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 12:34:30

ความคิดเห็นที่ 4 หุ้น Growth ไว ถ้าประเมินที่ PE Ratio อย่างเดียวจะรู้สึกว่าแพงครับ เราต้องนำ Growth Rate เข้าไปพิจารณาด้วย เป็น PEG ratio = PE/Growth rate ครับ อย่าง CPALL Growth rate ~ 3-5 % ต่อปี ผมคิดที่ 4 % ละกัน PEG ratio = 30/4 = 7.5 ซึ่งถือว่าไม่สูงคับ เมื่อใดที่ธุรกิจตัน แล้ว Growth rate ลดลง PEG ratio สูง ผลก็ขายครับ อิอิ จากคุณ : เคย์สุเกะ ฮอนดะ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:03:22

ความคิดเห็นที่ 5 ผมเคยซื้อตอน37 ขายไปละ ตอนนี้ได้แต่มอง จากคุณ : พุงลุย เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:05:02

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ เคย์สุเกะ ครับ ด้วยความเคารพนะครับ เรามาลองคิดกันเล่นๆ ดู สมมติว่า มีหุ้นอีกตัว Growth แค่ 1% ต่อปี แต่ P/E ปัจจุบัน = 8 ปี (P/E มีหน่วยเป็นปี แปลว่าลงทุน 8 ปี คุ้มทุน) จ่ายปันผล ปัจจุบัน 8% (ยังเหลือเงินนะ สำหรับ P/E ระดับ 8 นี้ ตัดเรื่องที่จะบอกว่า กระแสเงินสดไม่พอจ่ายปันผลอะไรออกไปก่อน) แถมอาจจะเครดิตได้อีกสำหรับบางท่าน โอ้ว กลายเป็น 11% ได้ ดังนั้น (P/E)/G=8 (เลข 8 ตรงนี้ ไม่อยากคิดหน่วยประกอบแล้ว ตีความยาก) ซึ่งดูแล้วก็มากกว่า "หุ้นตัวนั้น" อยู่อีกหน่อยหนึ่ง คงจะน่าสนใจน้อยกว่า แต่... ในบางแง่มุม อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้ เพราะว่าเป็นการ "ซื้อปัจจุบัน" กำลังกระทำอยู่ ซึ่งทำมาแล้วในอดีต และน่าจะทำต่อไป โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนมาก (ไม่ต้องโตอะไรนัก) บางมุม หุ้นแบบนั้นอาจจะถูกกล่าวว่ามี MOS สูงกว่า นั่นเอง เพราะว่า P/E ในปัจจุบัน เป็นเรื่องปัจจุบัน ในขณะที่ Growth เป็นเรื่องอนาคต อาจจะเป็น หรือ ไม่เป็น ก็ได้ ที่สำคัญ ถ้าหุ้น P/E 30 มันหล่นลงมา จะกล้าซื้อเพิ่มหรือไม่? และสำคัญก็คือ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ (เพราะมันจ่ายปันผล ระดับจิ๊บๆ มากจะเอาปันผลของมันมาซื้อ ก็ไม่มีให้ซื้ออีก) คำแนะนำโดยทั่วไปคือ cut loss ออกไปก่อน ไม่งั้นติดแน่ โดยเฉพาะ เมื่อไม่มีปันผลค้ำราคาอยู่ ว่าแต่ สำหรับใครหลายๆ คน ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าหุ้นขนาดนั้น และถึงแม้ว่าจะนั่งเฝ้า จะคีย์เพื่อ cut loss ไปก่อน ทันหรือเปล่า? อย่างว่านะครับ ความเห็นไม่ตรงกัน การซื้อขายจึงเกิดขึ้นได้ ทางใครก็ทางใคร ไม่มีถูกผิดครับ แต่ต้องมี strategy ประกอบที่ถูกต้อง สำหรับหุ้นแต่ละตัวนั้นๆ ครับ หุ้นงั้นๆ หรือหุ้นเฮงซวย ก็กำไรได้ หุ่นแสนดี ตัวไหนๆ ก็ขาดทุนได้เช่นกัน ถ้าทำไม่ถูกวิธี ด้วยความเคารพนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:31:23

ความคิดเห็นที่ 7 ถึงคุณ มือเก่าหัดขับ ครับ ที่คุณแสดงความคิดเห็นมา ก็น่าสนใจและดีมากๆครับ หุ้นที่คุณบอก ทุกคนก็ควรจะมีติดพอร์ตไว้เช่นกัน (ผมก็มี) ลักษณะเป็น หุ้นปันผล โตน้อย เกิดวิกฤติ ราคาก็ลงมาน้อย เพราะหุ้นมีปันผลสูง ช่วยยันราคาไว้ ทำให้มี MOS สูง ดังนั้น หุ้นประเภทนี้ เราจะได้ผลตอบแทนหลักๆคือ เงินปันผล แต่หุ้นที่ Growth เราคงหวัง เงินปันผล น้อย แต่เป็นการซื้ออนาคต (อย่างที่คุณบอก) ซึ่งผลตอบแทนหลักๆคือ Capital gain ครับ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนครับว่าเป็นประเภทไหน ชอบผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือ รอขาย ณ จุดที่พึงพอใจ ซึ่งผมชอบทั้ง 2 อย่าง ก็เลยมีหุ้นทั้ง 2 แบบคับ อิอิ จากคุณ : เคย์สุเกะ ฮอนดะ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:53:24

ความคิดเห็นที่ 8 หุ้น VI ต้องใช้เหตุผล VI ซื้อตามๆกันไป  ^^ จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:55:05

ความคิดเห็นที่ 9 ถูกต้องครับคุณ จขกท. หุ้นทุกตัว มีดี มีเสีย ครับ เพียงแต่เรา สามารถมีกลยุทธ์ที่ถูกต้องกับมัน เหมาะสมกับมัน และ เหมาะสมกับเรา ก็สามารถจะมีโอกาสได้กำไร มากกวาขาดทุน ครับ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:02:14

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^             ชอบแนวคิดทั้ง เคย์สุเกะ ฮอนดะ และ มือเก่าหัดขับ ครับ ส่วนตัวก็ไม่เอา ไม่ไหวแน่ ถ้าไม่ได้ถือมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิก หุ้น P/E 30  แล้วมี P/B ระดับ 10 เท่า นี่ ซื้ออนาคตมากมาย แต่ธุรกิจแบบนี้ ยังไม่มี ผู้ท้าชิงที่เหมาะสม มันก็ต้องราคาสูง หวังอนาคตได้มาก โอกาสจะต้องมา cut มันก็น้อย มีไว้ตั้งแต่รุ่นบุกเบิก ถือยาว ๆ กินปันผล สบาย........            ทางใครทางมันครับ ชอบซื้อของห้างทำเลดี ราคาสูงหน่อย แต่ค่อนข้างชัวร์ว่าได้ของดี แต่ราคาแพงไปหรือเปล่าอีกเรื่อง           หรือ ชอบของแบกะดิน ตาดีได้ ตารายเสีย ในราคาประหยัด อันนี้เหมาะกับคนช่างเลือก บางทีก็หาดีไม่ได้ หรือ หาได้ไม่ได้ดี 55555+ จากคุณ : BigMooHuHu เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:03:59

ความคิดเห็นที่ 11 เห้นด้วยกับ คห 10 ครับ ราคานี้ไม่แพงเลยถ้ามองว่าซื้อ CPALL เพราะอนาคตยังโตได้ ไร้คู่แข่ง ถือเป็นข้อดีที่ทำให้นายตลาดให้ราคา CPALL สูงขนาดนี้ครับ มาวันนี้น่าจะเป็นการขึ้นรับข่าวปรับค่าแรงราชการเป็นขั้นต่ำ 15000 บาทครับ จากคุณ : ผ่านแน่นอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 15:12:06

ความคิดเห็นที่ 12 ปิดตลาดทำ New High เลยครับที่ 58.50 มี volume เข้าตอนปิดตลาด 2,000,000 หุ้นครับ :) จากคุณ : เคย์สุเกะ ฮอนดะ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 17:14:44