ความคิดเห็นที่ 1 รอความกระจ่าง จากคุณ : JayJekKen เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:10:25

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆๆแล้วร้านค้าก็ต้องช่วยกันตรวจสอบลายเซนต์ด้วย ก็น่าจะป้องกันได้ในระดับนึง แต่การพิสูจน์ลายเซนต์ก็คงลำบากเหมือนกัน แล้วถ้าคนปลอมเก่งๆมันปลอมได้เหมือนจนแยกไม่ออกไหมครับ ไปค้นมาครับ http://th-th.facebook.com/note.php?note_id=190681687686345 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 19:54:23 จากคุณ : ขอบคุณที่ตอบ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:16:22

ความคิดเห็นที่ 3 http://topicstock.pantip.com/social/topicstock/2011/09/U11055318/U11055318.html โจทก์ฎีกา        ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า... ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ ข้อ 11 ระบุว่า บัตรเครดิตนี้ธนาคารได้ออกให้และสงวนไว้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ถือบัตรยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตไปให้บุคคลอื่นใช้ ดังนั้น ในกรณีที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ที่ออกให้แก่จำเลยไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าเป็นการใช้บัตรเครดิตซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและหรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอม อนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงดังกล่าวข้างต้น การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยมิได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยมิได้ขอยกเลิกการใช้บัตรเครดิตและมิได้แจ้งให้ธนาคารทราบทันทีเมื่อบัตรเครดิตสูญหายนั้นเป็นการกระทำคนละกรณีกับการกระทำที่โจทก์ฟ้องและตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ก็มิได้ระบุให้จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกเหนือคำฟ้องและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย        อนึ่ง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนี้โดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 วรรคสอง การจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกาโดยเฉพาะ คู่ความจะร้องขึ้นมาหาได้ไม่        พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. จากคุณ : ขอบคุณที่ตอบ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:16:58

ความคิดเห็นที่ 4 http://www.dlo.co.th/node/372 บทความกฎหมาย ผู้เขียน: นายวรเศรษฐ์ เผือกสกนธ์ ที่ปรึกษากฏหมาย วันที่: 14 มกราคม 2011 ย่อมานะครับ โดยผู้เขียนเห็นว่ามีคำตัดสินของศาลฎีกาที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อบรรดาผู้ถือบัตรเครดิตทั้งหลาย คือคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๔๐/๒๕๕๐ ที่ตัดสินให้ผู้ถือบัตรซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ไม่ต้องรับผิดชดใช้หนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของธนาคารไปใช้ โดยการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ยุติลงโดยจำเลยชนะติดต่อกันทั้งสามศาล จากคำพิพากษาดังกล่าวมีข้อควรพิจารณาที่สำคัญว่า “จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้  การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้” ผู้เขียนเข้าใจว่า ในทางการพิจารณาคดี จำเลยได้นำสืบพยานหลักฐานให้ศาลได้เห็นประจักษ์ว่า บัตรเครดิตจำเลยหายไปจริง จำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรตามจำนวนหนี้ที่ถูกเรียกร้อง โดยศาลมิได้คำนึงถึงว่าจำเลยได้แจ้งให้ธนาคารทราบทันทีเมื่อบัตรเครดิตสูญหาย ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ตามฎีกานี้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ได้ หากบัตรเครดิตของท่านถูกขโมย หรือข้อมูลในบัตรถูกนำไปปลอมแปลงเพื่อทำบัตรเครดิตขึ้นใหม่ ดังนั้น หากเกิดกรณีดังกล่าวกับท่านผู้อ่าน ผู้เขียนใคร่ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านรีบไปดำเนินการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานทันที รวมทั้งติดต่อสถาบันการเงินเจ้าของบัตร และธนาคารแห่งประเทศไทย (ถ้าทำได้) เพื่อแจ้งให้ทราบและแสดงความสุจริตของท่านผู้อ่านว่า  บัตรเครดิตของท่านสูญหายไปจริง อย่างไรก็ตาม หากธนาคารแก้ไขปรับปรุงสัญญาการใช้บัตรเครดิตกำหนดให้ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบในบรรดาหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากกรณีใดๆก็ตาม ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ เพียงใดนั้น ผู้เขียนเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวน่าจะถือว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ เนื่องจากกำหนดให้ผู้ถือบัตรรับผิดเกินสมควร ซึ่งจะมีผลทำให้สัญญาข้อนั้นบังคับได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น แม้จะมีคำพิพากษาฎีกาบัญญัติไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วก็ตาม แต่หากปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ เชื่อว่า ธนาคารก็คงจะต้องเรียกร้องเอาจากผู้ถือบัตรให้รับผิดชอบอยู่ดี ผู้ถือบัตรที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย หรือคิดว่าสู้กับธนาคารก็มีแต่แพ้  อีกทั้งยังจะมีค่าจ้างทนาย  ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาล หรืออาจเกรงว่าจะถูกขึ้นแบล็คลิสต์ของธนาคาร ก็คงจะชดใช้ (ผ่อน) หนี้ให้กับธนาคารไป  แต่ถ้าผู้ถือบัตรต้องการความยุติธรรม ผู้เขียนก็เชื่อว่า หากผู้ถือบัตรสุจริต กฎหมายก็มีช่องทางออกให้ เพียงแต่ขอให้ท่านตั้งสติให้ดี และปรึกษานักกฎหมายก่อน ก็จะมีทางออกให้กับปัญหานี้ได้ครับ จากคุณ : ขอบคุณที่ตอบ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:18:40

ความคิดเห็นที่ 5 ^ คห.2และ3 2 นี้คำตอบแจ่มมาก อุอุ อ่านแล้วสะใจเป็นที่ยิ่ง จริงๆอยากให้มีบทลงโทษการใช้สัญญาอย่างไม่เป็นธรรมด้วยนะ ประจานมันก็ยังดี ลุ้นให้กระทู้นี้เป็นกระทู้แนะนำ เสียดายกิ๊ฟหมดไปเสียก่อน ไม่งั้นจะให้ทั้งสองคห.เลย จากคุณ : นางสาวคานทอง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:35:27

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ แต่ว่า ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ...   แปลว่าท่านฯ ให้จ่ายใครจ่ายมันหรือครับ   การรักษา สิทธิ์ครั้งนี้ น่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ายอดเงินมากๆ เลย ทั้งเงิน และเวลา          รู้สึกเหมือนกับว่า ทำเหรียญบาท ตกบนทางด่วน แล้วจะต้องชิดซ้าย ถอยรถกลับ แล้วก็ข้ามถนนเขาไปเก็บ จะเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้  คนส่วนใหญ่คงจะไม่ตามไปเก็บละครับ คำพิกาษาศาล ใช้บังคับแค่คดีนั้น ไม่ใช่กฎหมายใช้บังคบในกรณีที่เหมือนกันด้วย เป็นแค่แนวทางในการพิจารณา แบบนี้คนจนๆ ก็เข้าถึงความยุติธรรมได้ยากสิครับ คดีแพ่งส่วนใหญ่ จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า       ค่าใช้จ่ายบริษัทบัตรเครดิต คงจะกระทบเล็กน้อยมากๆ จากคุณ : ห้าแต้ม เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:42:09

ความคิดเห็นที่ 7 ศาลก็สั่งไปอย่าง   แต่ธนาคารก็ว่าไปอย่าง ส่วนมากลักไก่ทวงก่อน ลูกหนี้ไม่มีความรู้เรื่องกฏหมายก็ยอมจ่ายไปก่อน   ทั้งนั้น ไม่ยอมขึ้นศาลกันหรอก         อีกอย่าง ส่วนมาก  ธนาคาร ก็ข่มขู่ขึ้นแบล๊กลิสต์ พ่วงมาด้วยเสมอ ให้ลูกหนี้กล้ว   ใครอยากจะไปรบกับธนาคาร   แม้จะชนะ  แต่ท่านจะป่าวประกาศไปทั้งทุกสถาบันการเงิน ไม่ให้กู้หรือทำนิติกรรมใดๆเลย       เคยโดนมากแล้ว กว่าจะหลุดได้ก็นานมากๆ   เขาบอกว่าคุณก็ว่าตามกฏหมายก็ใช่  แต่เขาว่าตามกฏบริษัทเขา จะให้หรือไม่ให้ใครก็ได้ จากคุณ : ไม่รู้เป็นไร เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:28:16

ความคิดเห็นที่ 8 แสดงว่าถ้าตามหลักกฎหมาย เราไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นหลักธนาคาร เราต้องรับผิดชอบ 555 จากคุณ : น้ำค้างเดือนเก้า เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:15:43

ความคิดเห็นที่ 9 #6  ผมว่าคนที่ทำบัตรเครดิตได้นี่มีฐานะดีพอที่จะจ้างทนายแล้วล่ะครับ ส่วนคนจนๆ สามารถยื่นขอรับความช่วยเหลือทางกฎหมายต่อหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องได้  มีทนายที่ทำงานให้อยู่(แต่ฝีมือก็อีกเรื่องหนึ่ง) #7,8 สรุปนายทุนชนะอยู่ดี 555+ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 22:33:24 จากคุณ : กำเนิดจากน้ำที่หน้าห้องน้ำ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 22:33:01

ความคิดเห็นที่ 10 ของพี่จุกตอบ หมายถึงว่า ในกรณีที่แบงค์จะรับผิดชอบทันทีอ่าคะ (บริบทของกระทู้นั้น คือ ต้องการให้แบงค์รับผิดชอบไปเลย โดยไม่ผ่านการพิสูจน์ เร่งด้วยการพยายามจะใช้มวลชนกดดันเอา) แต่ถ้าไม่ใช่ มีลายเซนต์ จะต้องไปพิสูจน์ที่ชั้นศาลค่ะ  ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเป็นลายเซ็นต์จริงหรือปลอมได้ ถ้าไม่ใช่ลายเซ็นต์เราจริง แบงค์ก็ไม่ได้ให้เรารับผิดชอบคะ และไม่ติดเครดิตบูโรอะไรทั้งสิ้น จะฐานะยากดีมีจนก็ไปศาลได้ค่ะ  อย่าไปห่วงเรื่องทนายค่ะ เพราะคดีแบบนี้เราเป็นจำเลย  ไม่ใช่โจทก์คะ  ไปศาลไม่ต้องมีทนาย ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นศาลก็จะหาทนายให้เอง ซึ่งถ้าเราบริสุทธิ์ซะอย่าง แบงค์ก็จ่ายเงินในส่วนนี้แทนค่ะ  มันเป็นเบสิก มาตราฐานที่แบงค์ไหนๆก็ทำ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:29:21

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 7 พูดถูกต้องมากที่สุดเลยครับ เราอาจจะชนะคดีก็จริง! แต่ธนาคารส่งชื่อเราเข้าแบล็คลิสแล้ว จะมีประโยชน์อะไรครับ (ต่อไปก็กู้เงินที่ไหนก็ไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต) ทางที่ดี เก็บบัตรไว้ที่บ้านครับ พกเท่าที่จำเป็น เมื่อต้องใช้ค่อยพกครับ จากคุณ : weight loss เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:31:40

ความคิดเห็นที่ 12 เราเคยไปคดีแบบนี้มาแล้ว เราไม่ติดแบล๊คลิสนะคะ   และเครดิตบูโรก็ไม่ใช่แบล๊คลิสด้วย  แต่เป็นการแสดงรายละเอียดธุรกรรมการเงินของเรา   ท่านที่มีบัตรเครดิต ถึงแม้จะเป็นบัตรเสริมก็จะมีชื่ออยุ่ในเครดิตบูโรอยุ่แล้วค่ะ  รวมไปถึงท่านที่จ่ายเงินตรงเวลาตลอดก็มีชื่ออยู่ในนั้น ถ้าเกิดกรณีแบบนี้ แนะนำให้แจ้งความค่ะ แจ้งให้เร็วที่สุด และถ้ามีโทรศัพท์จากแบงค์ก็บอกไปว่าแจ้งความแล้ว รอดำเนินการอยุ่   แค่นี้เองคะ   จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:42:53

ความคิดเห็นที่ 13 . จากคุณ : วี เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:59:08

ความคิดเห็นที่ 14 น่าจะเหมือนเมกา เขียน CID (มาจาก See ID) ไว้หลังบัตร เค้าจะขอดู ID ว่าชื่อตรงกับกับบัตรมั๊ย แล้ว หน้าตรงกับคนที่รูดมั๊ย แค่นี้ก็ปลอดภัย ขำขัน เคยเอาบัตรที่เมกามาใช้ที่ไทย ข้างหลังเขียน CID ไว้ ร้านบอกให้เราเขียน "CID" ในสลิปเฉยเลย - -" จากคุณ : coolknott เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:12:05

ความคิดเห็นที่ 15 อืม ถ้าทำแบบบัตรประชาชนไปเลย ต้องมีลายเซนต์ รูปถ่ายเจ้าของติดที่บัตร น่าจะสะดวกในการตรวจสอบตัวตนง่ายขึ้นด้วยนะครับ จากคุณ : ขอบคุณที่ตอบ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:22:05

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่แน่ใจนะคะ แม่เคยโดน โทรอายัดไม่ทัน รูดทองไป2หมื่นกว่าบาท เรื่องนานมากกว่าจะขึ้นศาล ไปๆมาๆ จ่ายกันคนละครึ่งกับทางธนาคาร พอดีตอนนั้นเด็กเลยไม่ได้ถามรายละเอียด จากคุณ : blooperz เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 04:47:48

ความคิดเห็นที่ 17 แบบนี้ร้านค้าก็ซวยละซิ การตรวจสอบลายเซ็นต์ ร้านค้าผู้รับบัตรไม่เคยได้รับการแนะนำวิธีตรวจสอบที่ถูกต้อง จะรู้ได้ไงว่าจริงหรือปลอม บางคนทำบัตรหายพร้อมบัตรประชาชน แถมคนที่เอามาใช้ดันหน้าคล้ายอีก ซวยซิครับ จากคุณ : boysakon เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 06:25:07

ความคิดเห็นที่ 18 แบงค์ควรออกเป็นนโยบายให้ชัดเจนไปเลยค่ะ ว่าต้องใส่รูปที่ชัดเจนของเจ้าของบนบัตร และถ้าร้านค้าดูแล้วไม่แน่ใจ สามารถขอดูบัตรปชช ร่วมได้ อย่างน้อยก็กรองได้ในระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะคะ จากคุณ : ระเบียงชมจันทร์ (ระเบียงชมจันทร์) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 08:40:53

ความคิดเห็นที่ 19 ทำไมไม่มีการฟ้องร้องเรื่องสัญญาไม่เป็นธรรม เรียกร้องค่าเสียหายกลับบ้าง เพราะการทำอย่างนี้ เท่ากับเป็นการเอาเปรียบลูกค้าที่อาจจะยอมความเพราะเห็นว่าเงินจำนวนเล็กน้อย ไม่คุ้มค่าทนายความ ไม่คุ้มค่าเสียเวลา เมื่อรวมกับคนที่ไม่รู้กฎหมายอีก ธนาคารผู้ออกบัตรก็ไม่ค่อยได้เสียประโยชน์ใดๆเท่าไหร่นัก อย่างนี้เท่ากับธนาคารส่งเสริมการขโมยบัตรไปใช้อีก เพราะไม่ได้ทำการใดๆเพื่อการป้องกันเลย การตรวจสอบลายเซ็นต์ก็ไม่มี แสดงถึงการประกอบกิจการโดยไม่บริสุทธิ์ได้หรือไม่ครับ ถ้ามีการฟ้องร้องขึ้นมา ผมเห็นว่าอาจจะเป็นคดีใหญ่คดีหนึ่ง เพื่อให้ทางธนาคารทั้งหมดชดใช้กับผู้ถูกขโมยบัตรไปใช้ แล้วต้องจ่ายหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นมาเลยนะครับ เรียกร้องสิทธิ์ย้อนหลังอย่างน้อยก็ 5 ปี เปิดโอกาสให้คนที่สูญเสียได้รับการชดเชย ถ้าชนะคดีก็จะทำให้คนเขียนสัญญาต้องระมัดระวังมากขึ้นด้วย เพื่อจะได้ไม่ออกสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จากคุณ : แก้งหุ้ง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 09:00:28

ความคิดเห็นที่ 20 ง่ายๆ แค่ให้ใส่ pin เหมือน atm ก็แก้ปัญหาได้ไม่รู้เท่าไหร่ ธนาคารยังไม่ทำเลย ธนาคารชอบผลักภาระให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าเสมอๆ  ตลอดๆ จากคุณ : a43b0619 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:20:51

ความคิดเห็นที่ 21 Save คำตัดสินของศาลไว้เผื่ออนาคต เพราะเดี๋ยวนี้ร้านค้าไม่ดูลายเซ็นเลย ใช้ๆไปก็กลัวเหมือนกัน จากคุณ : เขียนบน iPhone (Master Obi-Wan) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:23:48

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าธนาคารอยากจะทำยอดให้ลูกค้าทำบัตรเครดิตเยอะๆ แต่พออนุมัติแล้ว ลูกค้าจะเจอปัญหาอะไรนั้น ธนาคารไม่ช่วยเหลือ ก็เลิกใช้มันซะเลยดีมั้ย ไอ้บัตรเครดิตนี่ ตอนนี้ผมมีแค่บัตรเดียว ต่อไปคงต้องรักษาเท่าชีวิต ปล.ถ้าใครรู้ตัวว่าทำบัตรหาย รีบโทรแจ้งอายัดดีกว่าครับ แล้วจดไว้ว่าอายัดวันไหนวันที่เท่าไหร่ หรือไปแจ้งความเลยก็ดี(หาหลักฐานเอาไว้ป้องกันตัวเอง) จากคุณ : nase_chan เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 13:40:42

ความคิดเห็นที่ 23 ธนาคารน่าจะมีมาตรการความปลอดภัย ที่ชัดเจนกว่านี้นะ ไม่อย่างนั้นแบงค์ชาติ ก็น่าจะประกาศไปเลยถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ให้ทางธนาคารรับผิดชอบไป เพราะผมว่า คนเก็บบัตรเครดิตได้ หรือกรณีขโมยกระเป๋าเงินไป สามารถเอาบัตรไปใช้ได้ง่ายดายมาก แทบไม่เคยมีการตรวจสอบลายเซ็น จากทางร้านค้าด้วยซ้ำ ถ้าไม่มี การประกาศที่ชัดเจน รับรองไม่มีธนาคารไหน ทำเรื่องนี้ก่อนหรอก เพราะทำให้การใช้บัตรยุ่งยากกว่าธนาคารอื่น และยอดบัตรตกแน่นอน จากคุณ : Chat5 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 16:31:05

ความคิดเห็นที่ 24 #10 อ่านยังไงก็ไม่ใช่นะ เพราะในส่วนนี้พูดถึงบัตรเครดิต อย่าโยงกับบริบทของกระทู้เรื่องบัตรเดบิตเลย มันคนละเรื่อง ไม่ได้เรียกร้องให้ชดใช้ทันทีด้วยซ้ำ แค่อยากรู้ว่าจะรับผิดชอบอะไรให้บ้าง ธนาคารก็บอกว่าไม่รับผิดชอบ ให้ลูกค้ารับผิดชอบเอง (ทำเงินหายเอง อย่ามาโทษชั้น) ลองอ่านดูดีๆ แบบไม่อวยกันเองก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเลย จากคุณ : Pranapee Network เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 17:43:15

ความคิดเห็นที่ 26 แชร์ความรู้เรื่อง คดีบัตรจากประสบการณ์จริง  ก็ยังโดนป่วน   จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:46:05

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ได้ป่วนนะคุณ...ก็แค่อ่านแล้วเห็นว่ามันไม่ใช่ คุณน้องสามสีก็คงจะพิมพ์ไปตามที่แกเคยเห็นมา การอ้างอิงบริบทกระทู้คนอื่นแบบไม่ให้ความเป็นกลางนี่ ไม่ป่วนเลยเนอะ...อิอิอิ๊ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 20:00:34 จากคุณ : Pranapee Network เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:44:54

ความคิดเห็นที่ 28 ธนาคารน่าจะมีมาตรการที่ช่วยลูกค้าบัตรเครดิตมากกว่านี้ เช่น การให้ใช้บัตรประชาชนด้วย ก็อาจจะใช้เฉพาะที่ยอดเงินเกิน 1 หมื่น อะไรแบบนี้ มีให้กด pin สำหรับยอดต่ำๆ  ก็น่าจะ OK จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:26:07

ความคิดเห็นที่ 29 แก๊งค์ CALL CENTER  คงหมดทางทำมาหากิน ถ้าประชาชนรู้เท่าทันกฏหมาย "บัตรเครดิต" จากคุณ : HODEมั๊กๆ เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 03:39:24

ความคิดเห็นที่ 30 ทางแก้ง่ายๆแต่ปฏิบัติยาก คือ โชว์บัตรประชาชนทุกครั้งเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตร จากคุณ : กล้วยเจ๋ง เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 10:43:05

ความคิดเห็นที่ 31 #30 ซึ่งประเทศไทยบกพร่องตรงนี้มากถึงมากที่สุด... จากคุณ : Pranapee Network เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 11:05:26

ความคิดเห็นที่ 32 อย่าว่าอะไรเลย บางทีชื่อเจ้าของบัตร ออกจะเป็นผู้หญิง แต่คนที่รูดเป็นผู้ชาย พนักงานร้านค้ายังไม่สังเกตุเลย ปล. แอบรูดบัตรแฟนมา อิ อิ จากคุณ : Muchito เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 17:33:22

ความคิดเห็นที่ 33 หลังจากตามอ่านเป็นพักๆ มั่นใจ!!! ว่าจะไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการแน่นอน จากคุณ : Pranapee Network เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 21:16:43