ไปไม่ไหวก็ไม่ต้องไปครับ บอกศาลว่าแม่มาไม่ไหวเพราะชรามากแล้วลุกจะเดินก็ไม่ได้ คดีบัตรเครดิตเป็นคดีแพ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด
ดูรายละเอียดในคำฟ้องว่ามั่วนิ่มมากมั๊ย เช่นเป็นหนี้ 50000 ฟ้อง350000 อันนี้ก็ต้องไปหาทนายเพื่อให้เขียนคำให้การขึ้นสู้ แต่ถ้าเป็นหนี้จริงๆ35000 ฟ้อง50000 อันนี้ก็ใกล้เคียงเป็นค่าปรับ ค่าติดตาม ดอกเบี้ยซึ่งสุดท้ายมันจะขัดต่อกฎหมายแพ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปแต่งทนายให้เสียกะตังค์ ขอให้พกพาคุวามสุจริตใจเพื่อไปพบศาล ซึ่งในกรณีเช่นนี้ศาลจะถือว่าท่านขาดนัดยื่นคำให้การ(ขาดได้ไง กุก็มาอยู่^^)
ถ้ามีเงินก้อน สมมติว่าเขาฟ้อง 50000บาท คุณมี 30000 บาท ลองขอแฮคัทกับเจ้าหนี้ก่อน 10000 (พิมพ์ไม่ผิด) ถ้าเขาไม่ยอม ก็15000 ไม่ยอมอีกก็ 20000 ไม่ยอมอีกก็25000บาท ไปจนถึง30000(2วันค่อยโทรไปที) ถ้าเขายอมก็ทำเรื่องปิดจบ แล้วไปยื่นต่อศาลได้เลย แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ไปคุยกันที่ศาลอีกที
เมื่อไปถึงศาล จนท.ศาลจะให้เราคุยกันกับทนายฝ่ายโจทย์ก่อนเพื่อประนอมหนี้กัน ในกรณีนี้เจ้าหนี้จะเสนอเงินต้น+ค่าติดตาม+ดอก28%+อะไรต่อมิอะไรซึ่งจะเยอะมาก พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15 เพื่อทำสัญญาขึ้นมาใหม่ให้คุณชำระเดือนละ1000จำนวน 11งวด งวดที่12 จ่ายทีเดียว ซึ่งไม่ต้องไปทำเพราะไหนๆก็มาศาลทั้งทีแล้ว เข้าไปเยี่ยมคารวะศาลที่เคารพสักหน่อย
ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ขอให้ศาลช่วย หากความจริงที่ปรากฎคุณเป็นหนี้เขาจริงๆ ก็บอกไปตามตรงว่าเป็นหนี้จริงและขอความเมตตากรุณาจากศาลขอให้ได้ใช้หนี้ตามที่ได้เป็นหนี้จริงพร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่เป็นธรรม และขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมฤชาทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น อย่าลืมนะครับเมื่ออยู่หน้าบัลลังค์คุณเป็นลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด ทำตัวให้น่าสงสารเข้าไว้ ขอร้องศาลให้มากๆ แสดงความจริงใจให้เห็นว่าต่อแต่นี้คุณจมีความจริงใจที่จะปฏิบัติตามที่ศาลสั่งทุกประการ 1สัปดาห์หลังจากขึ้นศาลจะมีคำตัดสินให้ไปเอาที่ศาลเลย อย่าไปรอเอกสารนะ ชักช้าเนิ่นนาน เจ้าหนี้จะตามมาบังคับคดีเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียง ผมเชื่อว่าศาลจะเมตตาให้คุณชำระหนี้ที่เงินต้น(ซึ่งต่ำกว่าเงินต้นที่ฟ้องเพราะคุณจ่ายไปก่อนนั้นแล้วส่วนหนึ่งจากดอกเบี้ยร้อยละ20) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ10 นับแต่ที่คุณผิดนัด ซึ่งยังไงๆก็น้อยกว่าการไม่ขึ้นศาลอยู่ดี หนี้ที่เกิดขอผ่อน 12 เดือน อาจจะขอจ่ายเท่าๆกัน หรือจ่ายเดือนละ1500บาทจำนวน11เดือน แล้วเดือนที่12 จ่ายที่เหลือให้หมดก็ได้ คุยกันได้ตกลงกันได้ก็ทำสัญญาประนอมหนี้กันขึ้นมาไว้เป็นหลักฐาน แล้วก็ดำเนินการตามหน้าที่ของลูกหนี้คือใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้เสียให้เรียบร้อย
คุณต้องพูดกับศาลนะ อย่าไปอาย อย่าไปเกรงใจทนายฝ่ายโจทย์ เพราะทนายฝ่ายโจทย์มันจ้องจะเล่นคุณอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้มันพูดแต่ฝ่ายเดียว ตอนศาลถามว่าจะเอายังไงกัน ตกลงกันยังไง คุณรีบบอกออกไปเลยว่าต้องการอะไร ระวังทนายฝ่ายโจทย์จะใช้คำว่า "ขอให้ศาลตัดสินตามรูปคดีไปก่อน แล้วที่เหลือจะไปประนอมกันต่ออีกที" อันนี้จบเลย ทั้งเงินต้นแบบเต็มๆ ดอกเบี้ย15% ค่าทนายอีก3000 ดังนั้นระวัง
ทุกขั้นตอนมันจะมีทางออกให้คุณเลือกเสมอ เพียงแต่มันจะค่อยๆแคบลงๆ สำหรับทางออกของคุณตอนนี้คือ 1.ถ้ามีเงิน แฮคัท วิธีนี้ดีที่สุด ถ้ายังพอหยิบยืมเงินได้ก็หยิบยืม(ไม่ใช่ไปเอาเงินนอกระบบมานะ)เพราะมันดีที่สุดจริงๆ 2.ถ้าไม่มีเงิน หรือแฮคัทไม่ได้ ก็ประนอมหนี้ 3.ถ้าเงื่อนไขรับไม่ได้ ก็ให้ศาลตัดสิน แล้วประนอมหนี้ หลังจากนี้ คุณต้องมีวินัยทางการเงิน ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งไปและทำหน้าที่ของคุณ เพราะคุณคือลูกหนี้มีหน้าที่ต้องกระทำการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ถ้าหากคุณยังไม่ชำระ ขั้นตอนต่อไปก็จะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีในท้ายที่สุด การบังคับคดีก็จะเริ่มจากอายัดเงินเดือน30%เมื่อหักแล้วต้องเหลือมากกว่า10000บาท(ซึ่งคุณจะไปขอให้ลดมาเหลือ10%ก็ทำได้) ไปจนถึงยึดทรัพย์ในท้ายที่สุด เว้นเสียแต่คุณไม่มีอะไรเลยนอกจากมอยและรอยยิ้ม อันนี้ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร นอนเล่นตามป้ายรถเมล์สบายใจดี 10 ปีก็หมดอายุความ
จากคุณ |
:
Sawakato
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ก.พ. 55 17:03:44
|
|
|
|