Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิเคราะห์หุ้นจากตัวเลข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร [พร้อมคลิปตัวอย่างอธิบายเพิ่มเติม] ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51250
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

โลกในมุมมองของ Value Investor         11 กุมภาพันธ์ 55 leaf
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


การวิเคราะห์หุ้นนั้น  เราต้องวิเคราะห์ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ  นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณก่อน  นั่นก็คือ  เขาจะดูตัวเลขผลประกอบการและฐานะการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร  ถ้าดูไม่ดีโดยเฉพาะในปีล่าสุด  เขาก็อาจจะเลิกสนใจไปเลย  ถ้าดูดีหรือดีมาก  เขาก็จะศึกษาต่อทางด้านคุณภาพ  นั่นก็คือ  ดูว่าบริษัทขายอะไร  สินค้าโดดเด่นไหม  แนวโน้มของราคาของสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร  บริษัทอยู่ในตำแหน่งไหนของอุตสาหกรรม  เป็นต้น   แต่สำหรับผมเองนั้น  ผมมักจะเริ่มต้นวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพก่อน  เริ่มจากการมองด้านการตลาดและต่อเนื่องไปทางด้านต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความได้เปรียบในเชิงแข่งขันของกิจการเทียบกับคู่แข่ง  เมื่อสนใจแล้ว  ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ทางด้านปริมาณ  และตัวเลขทางการเงินที่ผมจะดูก่อนเลยก็คือตัวเลขสรุปข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ 4-5 ปี ย้อนหลัง  ที่มีอยู่ในเวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์ set.or.th ของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัท  และต่อไปนี้คือการแนวการวิเคราะห์ของผม

  ตัวเลขตัวแรกที่ผมสนใจมากก็คือ  กำไรสุทธิ  สิ่งที่ผมมองก็คือ  ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมากำไรของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้ากำไรของบริษัทนั้น  “ลุ่ม ๆ  ดอน ๆ”  นั่นคือ  บางปีก็กำไร  บางปีก็ขาดทุน  แบบนี้ก็อาจจะบอกได้ว่า  กำไรของบริษัทนั้น  “คาดการณ์ได้ยาก”   ดังนั้น  อนาคตกำไรของบริษัทก็คงไม่แน่นอน  อาจจะกำไรหรือขาดทุนก็ได้  ลักษณะแบบนี้ผมก็จะรู้ว่าการหามูลค่าที่แท้จริงทำได้ยากมาก  ดังนั้น  บ่อยครั้งผมก็มักจะปล่อย  “ผ่าน”  ไป   ถ้ากำไรของบริษัทมีความผันผวนพอสมควรทีเดียวแต่ก็ยังกำไรอยู่ทุกปี  แบบนี้ผมก็จะดูว่าปีที่แย่ที่สุดเป็นอย่างไร  ถ้าพบว่าปีที่แย่ก็ยังได้กำไรคิดแล้วเท่ากับ  10%ของ Market Cap. หรือของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน  แบบนี้  ผมก็คิดว่าหุ้นของบริษัทก็อาจจะยังน่าสนใจ  เพราะถ้าในอนาคตกำไรไม่ต่ำกว่านั้น  การลงทุนซื้อหุ้นของผมในวันนี้ก็ยังทำผลตอบแทนได้ 10%  ต่อปี  ซึ่งถือว่าไม่เลวนัก

  ถ้ากำไร 4-5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น  มีความ  “สม่ำเสมอ”  คือขึ้นลงในระดับ 10-20 %  แบบนี้  ผมก็จะสรุปว่ากำไรของบริษัทในอนาคตนั้นน่าจะพอ  “คาดการณ์ได้”  ผมก็จะศึกษาต่อไปว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้นน่าจะเป็นเท่าไรโดยอาจจะเทียบกับกำไรล่าสุดที่ผมเห็น     ถ้ากำไรที่สม่ำเสมอนั้น  เป็นกำไรที่ไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปีแรกสุดจนถึงปีสุดท้ายที่แสดงในตาราง   ผมก็มักจะสรุปว่าเป็นหุ้นของกิจการที่อาจจะ  “โตช้าหรือไม่โต”  แบบนี้มูลค่าพื้นฐานที่ผมจะให้ก็จะต่ำ  เช่น  อาจจะให้มูลค่าพื้นฐานไม่เกิน 10 เท่าของกำไรของปีล่าสุดที่ผมเห็น   แต่ถ้ากำไร 5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น  มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจเช่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 15-20%  แบบนี้ผมก็อาจจะบอกตัวเองว่ามันอาจจะเป็นบริษัทที่กำลังโตเร็ว  ถ้าเป็นแบบนี้  ผมก็จะให้มูลค่ากับหุ้นสูงกว่าหุ้นที่ไม่โตมาก  อาจจะให้มูลค่าเท่ากับ 15-20 เท่าของกำไรของปีล่าสุดก็ได้

  ตัวเลขตัวสำคัญต่อมาที่ผมจะดูก็คือ  ค่า  ROE  หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น  ถ้าตัวเลขนี้ในทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 10%  ต่อปี    ผมก็จะบอกตัวเองว่าบริษัทนี้กำไรไม่ดี  เป็นบริษัทที่มีคุณค่าค่อนข้างน้อยในเชิงธุรกิจ  บริษัทไม่ควรลงทุนขยายงานเพิ่มเพราะทำไปก็ไม่คุ้ม  ถ้ามีเงินสดเหลือควรจะจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากกว่า  แต่ถ้าค่า ROE ของบริษัทสูงเกิน 15%  ทุกปี  หรืออาจจะสูงเกิน 20%  ทุกปี  แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากเพราะทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นสูงกว่าการลงทุนอื่นของผู้ถือหุ้นเอง  และสูงกว่าต้นทุนการเงินของบริษัท   อย่างไรก็ตาม  ผมก็จะต้องดูเพิ่มว่า  ROE ที่สูงนี้  ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทมีหนี้เงินกู้จากธนาคารสูงเกินไปด้วย

  ตัวเลขสำคัญตัวที่สามก็คืออัตรากำไรสุทธิคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย  ตัวเลขนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะแตกต่างกัน  เช่น  ถ้าเป็นผู้ค้าปลีก  ตัวเลขอาจจะอยู่ที่เพียง 3-5%   แต่ธุรกิจเช่น โรงแรม อาจจะสูงถึง 20%  เหตุผลสำคัญก็คือ  ผู้ค้าปลีกมักมียอดขายสูงดังนั้น  กำไรเพียง 3%  ก็ได้กำไรมากแล้ว  ในขณะที่โรงแรมนั้น  ยอดขายมักจะต่ำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้สร้างโรงแรม  ดังนั้น  Profit Margin ก็จะต้องสูงจึงจะคุ้ม  ประเด็นสำคัญของตัวเลขนี้ก็คือ  ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว  บริษัทที่มี Margin สูงกว่าก็มักจะแสดงว่าเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติหรือคุณภาพที่สูงกว่า  พูดง่าย ๆ  มี Value สูงกว่า   นอกจากตัวเลขรายปีแล้ว  แนวโน้มของตัวเลขนี้ก็มีความสำคัญมาก  ถ้า  Profit Margin  ค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นทุกปี  เช่น  ปีแรกเป็น 4%  ต่อมาเป็น 4.2%  และถึงปีสุดท้ายหรือปีล่าสุดกลายเป็น 5%  แบบนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า  คุณภาพของบริษัทนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งจะทำให้ Value หรือมูลค่าของบริษัทสูงขึ้นเรื่อย ๆ

  ตัวเลขที่สี่ที่ผมสนใจก็คือ    มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ  Market Cap.  นี่คือตัวเลขที่บอกว่าอดีต 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดให้มูลค่าบริษัทเท่าไร  และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าเท่าไร  ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ   บริษัทมีวอแร้นต์หรือสิทธิที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หรือไม่และมีมากเท่าไร   เพราะถ้ามีมากและจะออกขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก  ตัวเลข Market Cap. ที่เห็นล่าสุดก็อาจจะไม่จริง  เราอาจจะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าสิ่งที่เห็น  ข้อมูลมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นนี้เป็นตัวที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายเท่าไรถ้าเราจะเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ลองเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเลขหลาย ๆ  ตัวเราก็จะพอมีไอเดียว่ามันถูกหรือแพง

  ตัวเลขที่ห้าที่สำคัญมากก็คือ ค่า PE ซึ่งบอกถึงความถูกหรือแพงของหุ้นในกรณีที่บริษัท  “มีกำไรที่สม่ำเสมอ”  ค่า PE  ที่ปานกลางก็คือค่า PE ที่เท่า ๆ  กับค่า PE  ของตลาดโดยรวมซึ่งในช่วงนี้มีค่าประมาณ 12 -13 เท่า  ถ้าหุ้นที่เราดูอยู่มีค่า PE ต่ำกว่านี้ก็ถือว่าถูกและถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าแพง  แต่หุ้นจะน่าซื้อหรือไม่นั้นต้องดูราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพด้วย  ถ้ากิจการดี  ค่า PE จะสูงบ้างก็อาจจะคุ้ม  ตรงกันข้าม  ถ้าบริษัทไม่ดีเลย  ค่า PE แม้ว่าจะต่ำก็อาจจะไม่คุ้มค่า

  ตัวเลขที่หกก็คือค่า PB ซึ่งบอกถึงราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สินสุทธิของบริษัท  ค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนี้ก็ประมาณเท่ากับ 2 เท่าเศษ ๆ ดังนั้น  หุ้นที่มีค่า PB สูงกว่า  2 เท่าก็ถือว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย  อย่างไรก็ตาม  ค่า PB นั้นก็มักจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่สินทรัพย์มีราคาตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชีอย่างเช่นในกรณีของสถาบันการเงิน  ส่วนบริษัทอีกจำนวนมากนั้น  ค่า PB  ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก

  และสุดท้ายก็คือ  อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน  นี่คือตัวเลขที่บอกว่ามันเป็น  “หุ้นปันผล”หรือเปล่า  ถ้าตัวเลขนี้อยู่ในขั้น 5-6%  เกือบทุกปี  นี่ก็อาจจะบอกได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลดี  ความเสี่ยงก็น่าจะต่ำหน่อยและก็อาจจะเหมาะสำหรับบางคนหรือเหมาะสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหุ้นที่ไม่เสี่ยงมาก

ปล.แต่คลิปประกอบไม่ค่อยเกี่ยวกันเลย ^^ ฮ่าฮ่าฮ่า   ฮ่าฮ่าฮ่า
credit : TVI

แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 20:21:25

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 55 20:13:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com