Don’t Time The Market อย่าจับจังหวะตลาด
|
|
Posted on กุมภาพันธ์ 24, 2012 by Shaen VI Hybrid
สิ่งที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับตำนานอย่าง Peter Lynch แนะนำบ่อยๆ ว่าไม่ควรทำคือ Don’t time the market แปลเป็นไทยว่า “อย่าจับจังหวะตลาด“
แต่มันฝืนธรรมชาติมนุษย์ที่มียีนส์ที่ชอบความเสี่ยง เข้าใจได้ว่า มันสนุก ท้าทาย ถ้าทายถูกบ่อยๆก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีซิ แต่เรายิ่งทายบ่อยๆ เรากลับใช้ ความรู้สึก ใช้อารมณ์ของตลาด มาเป็นอารมณ์ตัวเอง แล้วเรายิ่งห่างคำว่าการลงทุนเข้าไปทุกที..ทุกที
แล้วเราควรทำอย่างไงดี ที่จะแก้นิสัยที่น่าสนุก แต่ไม่ดีต่อการลงทุนเช่นนี้เล่า? ผมขอเสนอแนวทางที่ิพอจะคิดได้ ได้ลองทำดูแล้ว และได้ผลดีขึ้น ยังไงล่ะ ลองอ่านดูครับ
1.เปลี่ยนจากทายตลาด มาเป็นทายผลประกอบการณ์แทน นี่จะเป็นการบังคับกลายๆให้เราทำการบ้าน หรือคาดการณ์ปัจจัยแวดล้อมที่จะทำให้ตัวกิจการดีขึ้นหรือแย่ลง แถมยังต้องย้อนกลับไปดูผลงานที่ผ่านๆมา ของกิจการด้วยว่า ที่ผ่านมาโตเป็นยังไง แล้วจะงบที่จะออก ถ้าจะโตขึ้น เพราะสาเหตุอะไร
แถมยังยืดระยะเวลาในการทาย จากทุกวัน ทุกสัปดาห์ เป็น 3 เดือน ทายกันที แล้วก็รอดูผลงานที่เีราทายว่าเป็นยังไง ทายถูก กำไรบ.โต ก็ไม่มีเหตุผลที่หุ้นจะไม่ขึ้น ถึงหุ้นไม่ขึ้น ด้วยสภาวะตลาดอารมณ์ไม่ดี เราก็สบายใจ เพราะเรารู้ว่า ผลการดำเนินของกิจการจริง มันได้กำไรนี่นา ในเวลาไม่ช้า ราคาจะสะท้อนมูลค่าเองครับ
2. Bath Cost Average ซื้อเฉลี่ยโดยกำหนดจำนวนเงินเป็นหลัก เช่น ตั้งใจจะซื้อหุ้นตัวนี้เดือนละ 3,000 บาท เดือนแรก หุ้นราคา 1 บาท ได้ 3,000 หุ้น เดือน2 หุ้นราคา 1.20 บาท ได้ 2,500 หุ้น เดือน3 หุ้นราคา 0.8 บาท ได้ 3,750 หุ้น เดือน4 หุ้นกลับมา 0.9 บาทได้ 3333 หุ้น เดือน 5 หุ้น 1 บาท ได้ 3,000 หุ้น
เอาเท่านี้ก่อน สุดท้าย เราจะมีหุ้น = 15,583 หุ้น ใช้เงินไป 15,000 บาท เฉลี่ยหุ้นละ 0.96 บาท จะเห็นว่าแถมต้นทุนที่ได้ส่วนใหญ่จะเสมอกับค่าเฉลี่ยหรือจะดีกว่าค่าเฉลี่ยด้วยครับ แถมเราไม่ต้องเสียเวลาไปจับจังหวะตลาด อันนี้เหมาะกับคนที่ต้องการสร้่างวินัยให้กับตัวเอง และอาจะไม่มีเวลาเจาะธุรกิจมากนัก แถมยิ่งตลาดลง ยิ่งมีโอกาสซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนวิธีการมองครับ
อ้อ หุ้นที่จะทยอยซื้อ ควรจะมีการเติบโตไปตาม GDP นะครับ มีรายได้ค่อนข้างแน่นอน หรือคาดการณ์ หรือเข้าใจได้ ถ้าเราเป็นมือใหม่ ยังไม่ควรเป็นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดการณ์รายได้ได้ยาก และไม่แน่นอน เช่น รับเหมา โภคภัณฑ์ที่มีราคาแกว่งมาก เพราะอนาคตข้าง รายได้กับกำไร มันไม่ได้เพิ่้มขึ้นเป็นเส้นตรงครับ
แต่ถ้ายังเลิกการจับจังหวะตลาดไม่ได้ทันที ลอง 2 วิธีนี้ครับ
3. ทยอยซื้อ ทยอยขาย เช่น การจะเข้าหุ้นใหม่ หรือการจะ switch ไปตัวอื่นแืทน แทนที่จะขายหมด หรือ ซื้อหมด ลองกำหนดกลยุทธ์ค่อยๆทยอย อาจจะเ็ป็น 3 ไม้ 5 ไม้ ตามความมั่นใจ ตัวนี้จะช่วยลด การขายหมู การติดดอยได้ เพราะเรามีแผนเฉลี่ยไว้แล้ว
4. ลดการใช้อารมณ์ โดยใช้เครื่องมือและข้อมูลประกอบ ส่วนตัวผมมองว่า กราฟคือ ประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เราใช้ดูประกอบเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ เป็นลดการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
โดยเฉพาะ ธุรกิจที่เีกี่ยวข้องกับการใช้วัตถุดิบที่ราคามีการเคลื่อนไหว การที่เรารู้ศึกษาปัจจัยที่จะส่งผลกระทบแนวโน้มของวัตดุดิบ โดยใช้การกราฟ ผมว่ามันก็ไม่ได้น่ารังเกียจเพราะมันคือการเอาข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นมาplotต่อกันเพื่อให้เห็นแนวโน้ม จริงๆข้อนี้ก็มีส่วนที่เป็นข้อ 1 ปนอยู่ ต่างกันเพียงแค่ เราเอาปัจจัยต่างๆ ที่พอจะตีค่าได้มาประเมิณเป็นตัวเลข
นี่เป็นกราฟค่าระวางเรือ แต่ละแท่งแทน 1 เดือน พอเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่า หุ้นวัฏจักร มันแกว่งแรงขนาดไหน สูงสุด 12,xxx ตอนนี้ 7xx ต่างกันกี่เท่า ลองไปชั่งใจดู
ฉะนั้นถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ และไม่เข้าใจวัฏจักรของมัน ไม่ใช่ลงแล้ว ซื้อเฉลี่ยขาลง แล้วจะคอยไปเรื่อยๆได้นะครับ รอบมันอาจจะยาวนานกว่าที่คุณคิด
5.มีแผนสำรอง คือกำหนดแผนไว้ล่วงหน้าเลย ถ้าหุ้นขึ้นถึงจุดไหนจะทำอย่าง ถ้าหุ้นลงถึงจุดหนึ่งจะทำอย่างไร ทั้งนี้อยากให้ดูว่า ที่หุ้นลงเป็น Nosie หรือ เป็นเพราะพื้นฐานเปลี่ยน
ผลการวิจัยจากกองทุนต่างๆ แสดงให้เห็นอยู่เป็นประจำครับ การที่เราลงทุนในกองทุนดัชนี ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออก ซึ่งดูเหมือนไม่ค่อยได้ืทำอะไร ง่ายเหลือเกิน แต่กลับให้ผลตอบแทนดีกว่า กองทุนเชิงรุก ที่พยายามเข้าออกบ่อยๆ ด้วยซ้ำไป
การให้เวลากับหุ้นหรือกิจการที่เราเลือกแล้วว่าดี ได้แสดงศักยภาพออกมา Philips Fisher บอกอย่างน้อยต้อง 3 ปี Buffet บางตัว ซื้อแล้วก็ถือยาวจนปัจจุบันหลายสิบปี อย่าง Coca-Cola ก็เป็นที่ประจักษณ์แล้วว่า คุ้มค่ากว่าเป็นไหนๆ
ส่วนตัวผมนิยม Time the Profit & Growth ในธุรกิจที่ผมเข้าใจครับ :)
ที่มา http://vihybrid.wordpress.com/
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
4 มี.ค. 55 22:22:56
|
|
|
|