อำพล โพธิ์โลหะกุล กับอิสรภาพทางการเงินของครอบครัว
|
|
การเงินส่วนบุคคล กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 10:30
โจทย์ในชีวิตของคุณคืออะไร สำหรับอำพล โพธิ์โลหะกุล คือการมีอิสรภาพทางการเงินของครอบครัว ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร คลิกเข้าไปอ่าน
สำหรับ “อำพล โพธิ์โลหะกุล” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย นั้น นับเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของ “ธนาคารกสิกรไทย” ที่อยู่ร่วมงานที่นี่มานานกว่า 22 ปี และมีส่วนร่วมพัฒนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในองค์กรมาตามลำดับ ครั้งนี้ได้รับความไว้วางใจให้มาดูแล “บลจ.กสิกรไทย” บลจ.ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงสุดของอุตสาหกรรมกว่า 7.38 แสนล้านบาท วันนี้เขาจะมาแบ่งปันมุมมองการลงทุนส่วนตัวให้ฟังกัน
อำพล บอกว่า เป็นคนที่ออมเงินตั้งแต่เรียนหนังสือแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็สอนพิเศษ เรียนวิศวะคอมพ์ทำงานเขียนโปรแกรมได้ก็เริ่มทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แล้วก็เก็บออมเงินมาโดยตลอดตั้งเป้าว่าจะออมเท่าไรแล้วค่อยใช้ส่วนที่เหลือ แล้วโชคดีที่ชีวิต “ไม่มีหนี้” เป้าหมายในชีวิตจะเป็นเรื่องของ “อิสรภาพทางการเงิน” ของตัวเองและภรรยา รวมทั้งลูกทั้ง 2 คน เป็นหลัก นั่นจึงทำให้การลงทุนของตัวเองค่อนข้างจะคอนเซอร์เวทีฟเพราะเงินหาได้มาไม่ง่าย
ฉะนั้น ก็ไม่อยากเสียมันไปง่ายๆ เช่นเดียวกัน ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนจะอยู่ในอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงประมาณ 25% อยู่ในกองทุนรวมประหยัดภาษีและกองทุนประเภทอื่นๆ อีกประมาณ 30% และอีก 30% เอาไว้ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนตามจังหวะของตลาด และจะมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงินอีกส่วนหนึ่งเผื่อในกรณีฉุกเฉินจะได้ดึงออกมาใช้ได้ทันที แต่จะมีเงินอยู่ในเงินฝากน้อยมาก
อีกหนึ่งส่วนคือเรื่องของประกัน โดยเน้นไปที่ประกันอุบัติเหตุเพราะจ่ายเบี้ยไม่สูงแต่ให้ความคุ้มครองค่อนข้างสูง ในขณะที่ประกันชีวิตจะซื้อเพื่อประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก เพราะส่วนตัวก็ค่อนข้างมีอิสรภาพทางการเงินในระดับหนึ่ง ไม่มีหนี้ ก็เอาเงินมาลงทุนดีกว่าดีกว่าจะไปลงในประกัน
“ผมเป็น single income family ภรรยาเป็นแม่บ้าน ตั้งแต่มีลูกเราก็ตกลงกันว่าจะให้ภรรยาดูแลลูก ดูแลครอบครัวเป็นหลัก ผมก็เป็นคนหารายได้เป็นหลัก เรื่องเลี้ยงลูกถือเป็นการลงทุนที่มีค่าที่สุดให้แม่เขาได้มีเวลาดูแลลูกเต็มที่ เพราะฉะนั้นถ้าลูกออกมาไม่ดีก็พ่อกับแม่เต็มๆ”
อำพล ยังบอกอีกว่า จะเห็นว่าพอร์ตโดยภาพรวมก็จะมีส่วนที่เอาไว้ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนมีการบริหารแบบเชิงรุกสไตล์ Active ประมาณ 30% เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงทุนผ่านกองทุนรวมโดยทำธุรกรรมผ่าน K-Cyber Invest เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาผลตอบแทนก็มีทั้งบวกและลบสลับกันไปเพราะเป็นสัดส่วนที่แบ่งไว้สำหรับการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอยู่แล้ว โดยดูว่าช่วงไหนสินทรัพย์ใดน่าลงทุนก็จะเข้าไปลงทุนเช่นเข้าไปลงทุนในหุ้นพอมีกำไรก็โยกกลับมาไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงิน เพื่อรอจังหวะโยกเข้าไปลงทุนในทองคำต่อไป เป็นต้น พอมีกำไรก็ออกแล้วรอจังหวะเข้าไปลงทุนใหม่ บางทีลบก็ไม่ได้ถอนออกมารอให้มันกลับขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากที่มาทำงานที่บลจ.กสิกรไทยแล้ว การลงทุนในส่วนนี้อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไรนักเพราะการลงทุนต้องถือครองอย่างน้อย 30 วัน ในแง่ของความยืดหยุ่นก็ถือว่าลดลงไปมาก ซึ่งจะพยายามเคลียร์การลงทุนในส่วนนี้รวบรวมกลับมาแล้วหันไปใช้บริการ “กองทุนส่วนบุคคล” ของ บลจ.กสิกรไทยให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการให้แทน
“ส่วนตัวเชื่อในเรื่องของการกระจายสินทรัพย์และการจัดสรรเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างเหมาะสม แล้วที่สำคัญ คือ อยู่ที่เป้าหมายของชีวิตด้วย ปัจจุบันตัวเองและภรรยาก็เลี้ยงลูกในแบบที่ค่อนข้างพอเพียง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีประเด็นอะไรที่จะต้องสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับการลงทุน แต่จะเน้นไปในเรื่องของการป้องกันความมั่งคั่งของครอบครัวมากกว่า หวังว่าเงินที่เราหามาได้นั้นในที่สุดผมกับภรรยาก็อยากจะมีความสุขกับมันตอนที่เราอายุมากแล้ว เวลาเกษียณจะได้ไม่ต้องห่วงในเรื่องของภาระค่าใช้จ่ายมากนักเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะอายุยืนเท่าไร รู้แต่ว่าไม่ได้เป็นหนี้ ที่สะสมความมั่งคั่งมาก็น่าจะเพียงพอระดับหนึ่งเพราะเราก็ได้ใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือยค่อนข้างจะเป็นคนแบบเพียงพอด้วย”
ในส่วนเป้าหมาย “อิสรภาพทางการเงิน” ของตัวเองและภรรยา อำพลมั่นใจว่าโอเคแล้ว ดังนั้นเป้าหมาย “อิสรภาพทางการเงิน” ถัดไปของเขา คือ การสร้างไว้ให้ลูกจะช่วยให้เรามีอิสรภาพที่จะ “เลือกทำในสิ่งที่เขารักเขาชอบ” ในระดับหนึ่ง ถ้าเขารู้ หรือถ้ายังไม่รู้ก็จะได้มีโอกาสที่จะลอง ไปลองแล้วไม่เวิร์คก็จะได้เริ่มใหม่ได้ ไม่ถูกบีบด้วยเงื่อนไขทางการเงินจนเกินไป ทำยังไงให้เขาเลือกอะไรที่เขารักได้โดยไม่ต้องห่วงว่า ต้องมากังวลว่าจะมีเงินพอจ่ายค่าผ่อนบ้านมั้ย จะเก็บเงินพอแต่งงานหรือเปล่า หรือมีลูกแล้วจะเลี้ยงไหวมั้ยในลักษณะนั้น ไม่ใช่สร้างไว้ให้แล้วลูกไม่ต้องทำอะไร ไม่ใช่ลักษณะนั้น ด้วยเป้าหมายดังกล่าวก็ทำให้การลงทุนถูกบีบให้ค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟระดับหนึ่ง เพราะเจตนาไม่ได้ต้องการจะสร้างผลตอบแทนที่หวือหวาอะไร เพียงต้องการสร้างฐานให้ลูกไว้ระดับหนึ่งเพื่อให้เขาเลือกอะไรก็ได้ที่เขารักที่จะทำเท่านั้นเอง
อำพลแนะนำทิ้งท้ายว่า การลงทุนจะประสบความสำเร็จนั้น คือ ต้องตั้งเป้าว่าจะออมเท่าไร หามาได้เท่าไรต้องออมก่อนแล้วค่อยใช้นั่นสำคัญสุด แล้วต้องออมตั้งแต่อายุยังน้อยให้เงินทำงานแทนคุณ แล้วถ้าเรากระจายการลงทุนได้ดี เงินก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มี.ค. 55 21:40:17
|
|
|
|