โปรดระวัง พนักงานธนาคารนับเงินผิด
|
|
พอดีรู้จักกับน้องเจ้าของเรื่องค่ะ เลยช่วยน้องเค้าเอามาแปะห้องนี้ เพื่อเตือน แล้วเผื่อธนาคารเจ้าของเรื่องจะผ่านมาเห็นบ้างค่ะ =============================================== วันนี้มาเตือนภัยค่ะ เป็นเรื่องที่เกิดกับน้องสะใภ้ค่ะ เพิ่งแต่งงานมาสดๆร้อนๆ จะเอาเงินไปฝากธนาคารแห่งหนึ่ง ย่านบางแค ขอเรียกชื่อน้องสะใภ้นามสมมุติเป็น น้องอร แล้วกันค่ะ
เหตุเกิดวัน ที่ 4 มีนาคม 2555 น้องอรกับน้องชายของดิฉัน
ได้ไปทำการชำระหนี้บัตรกับธนาคารต่างๆ โดยเอาเงินใส่ถุงกระดาษรวมกันไว้ ด้วยความที่เอาเงินไปเยอะและไม่อยากเป็นจุดสนใจ ก็เลยใส่ชุดอยู่บ้าน รองเท้าแตะ
พอไปชำระเงินตามเคาเตอร์ต่างๆ ก็ทำการนับเงินให้พนักงานทีละ 10,000 บาท
โดยส่งให้ทีละปึกจนครบ ก็ไม่มีปัญหา แต่พอมาที่ธนาคารนี้
ก็ได้ทำการชำระค่าบริการบัตรเครดิต พร้อมทั้งฝากเงินจำนวน 37,000 บาท
ในขณะที่กำลังนับเงินส่งให้พนักงาน ทีละ 10,000 บาท พนักงาน teller
หญิงคนนั้นก็ทำสีหน้าไม่พอใจแล้วบอกว่า “พี่ส่งมาทำไมทีละปึกล่ะ
ส่งมาให้หนูทีเดียวเลยเดี๋ยวหนูนับเอง”
น้องชายด้วยความรำคาญก็บอกน้องอรว่า “ส่งๆให้เค้านับไปเลย รำคาญ”
พนักงานนับมือแล้วก็นับเครื่องประมาณ 3-4 ครั้ง
แต่ทุกครั้งก็ไม่บอกเลยว่าแบงค์ไหนมีกี่ใบ รวมแล้วได้เท่าไหร่ เพราะไม่รู้ที่ให้ไปเป็นปึกๆน่ะเกินไปบ้างหรือเปล่า ส่วนน้องอร ก็ถามว่าครบมั๊ยก็จะส่งให้อีก พนักงานก็ตอบว่าครบแล้ว พร้อมกับทอนเงินมาให้อีก
3,000 บาท ตอนนั้นก็เข้าใจว่าคงให้ไป 40,000 บาท เลยทอนมา
ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2555 ผู้จัดการสาขาโทรมาหาน้องอร บอกว่า
คุณอรฝากเงินขาดไป 10,000 บาท รบกวนให้เข้ามาดูกล้องวงจรปิด
แล้วชำระเงินที่ขาดไปด้วย แต่น้องอรก็มีงานทำอยู่ ติดงานก็เลยยังเข้าไปวันนั้นไม่ได้ หลังจากนั้นก็โทรจิกตลอดอย่างกับน้องอรเป็นลูกหนี้ซะงั้น พร้อมทั้งโทรเข้าบ้าน คุยกับแม่น้องอรสอบถามที่อยู่เสร็จสรรพเพื่อจะไปหาที่บ้าน แต่ที่บ้านน้องอรเอะใจว่าถ้าเป็นเพื่อนน้องอรก็ควรจะโทรเข้ามือถือน้องอรเอง เลยโทรสอบถามน้องอรว่าใครโทรมา น้องอรเลยเล่าให้ที่บ้านฟัง
มีอยู่ วันนึงมีพนักงานชายโทรมาบอกว่า “จะให้หักเงินในบัญชีของคุณอร 10,000
บาทเลยมั๊ย” วันต่อมาน้องอรจะเข้าไปที่ธนาคารเพื่อคุยเรื่องนี้ แต่ผู้จัดการสาขา
รวมถึงพนักงาน teller คนนั้นก็ไม่อยู่ บอกว่าไปพบลูกค้า
รออยู่ซักพักพนักงานในสาขาโทรไปหาผู้จัดการว่าน้องอรจะมาพบ
จึงรีบมาที่สาขาแล้วบอกว่า “ก็คุณลูกค้าไม่มาหาเรา เราก็เลยไปหาคุณลูกค้าเอง”
ผู้จัดการให้น้องอรดูกล้องวงจรปิด แล้วถามน้องอรว่า “คุณไปเอาเงินมาจากไหน”
น้องอรก็ตอบไปว่า “เพิ่งแต่งงานมา” พยายามพูดกับน้องอรว่าให้เงินไม่ครบเอง
ไม่ใช่ความผิดพนักงาน แต่พอเรียกพนักงานมา พนักงานคนนั้นก็ยอมรับว่านับผิดจริง ก็เลยเปลี่ยนไปพูดเป็นอีกอย่างว่า งั้นก็ถือว่าช่วยน้องเค้าแล้วกัน เพราะเงินเดือนเค้าแค่
……….. บาทเอง เรารู้ว่าถ้าเงินไม่ใช่ของคุณ คุณก็คงไม่เอาหรอก คุยกันยัน 4
ทุ่มจนธนาคารปิด น้องชายด้วยความเหนื่อยอยากกลับบ้านนอนเพราะทำงานมาทั้งวัน
ก็เลยตัดบทบอกว่า เดี๋ยวกลับไปนับเงินดูก่อนแล้วกันว่าเกินหรือเปล่า
ในระหว่างนี้น้องอรได้พยายามติดต่อไปร้องเรียนสำนักงานใหญ่ผ่าน call center
แต่ไม่มีใครรับเรื่องซักคน จนเหนื่อยที่จะโทร
เมื่อ วันที่ 10 มีนาคม 2555 ดิฉัน น้องอร และเพื่อนน้องอร
ได้เข้าไปที่ธนาคารเพื่อที่จะเข้าไปดูคลิปกล้องวงจรปิดที่ขยายแล้ว แต่พอดูแล้วก็ยังไม่ชัดอยู่ดี ดิฉันตั้งใจจะมาพบผู้จัดการสาขาแต่ไม่มาทำงานเพราะเป็นวันเสาร์
พนักงานคนนั้นเป็นคนเปิดคลิปกล้องวงจรปิดให้ดูจากโทรศัพท์ iPhone ของเธอ
แล้วกล่าวขอโทษขอโพย บอกว่าเป็นความผิดของเธอเอง
อยากจะให้คุณอรช่วยเหลือเงินตรงนี้ซักนิดหน่อย หรือไม่ก็ขอเงินทอน 3,000
บาทวันนั้นก็ได้ แล้วบอกว่าเงินแค่ 10,000 บาท อย่าให้เรื่องถึงสำนักงานใหญ่เลย
เอาให้จบแค่นี้ดีกว่า ดิฉันก็บอกไปว่า ถ้าคุณคิดว่าเป็นเงินแค่ 10,000 บาท
คุณก็รับผิดชอบไปแล้วกัน แล้วผู้จัดการน่ะจะเข้าข้างลูกน้องก็ดูด้วยว่าใครถูกใครผิด ควรจะมีความยุติธรรมบ้าง ถ้ารักลูกน้องจริงก็ช่วยกันรับผิดชอบเงินส่วนนี้ไป
เย็น วันนั้น พวกเราก็ไปนั่งกินข้าวปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ก็เลยตัดสินใจว่า
ไปถอนเงินออกมาก่อน แล้วว่าจะช่วยเค้าซัก 1,500 หรือ 2,000 พอกินข้าวเสร็จ
จะไปปิดบัญชี แต่พอเจอกันอีกทีบอกว่าพี่จะทำอะไร เดี๋ยวหนูทำให้ คราวนี้ไม่ผิดแล้ว แล้วก็เอาบัตรคิวไป แล้วก็หายไปนานเลย ในระหว่างนี้เราก็ได้นั่งปรึกษากันอีกที น้องอรบอกว่าเมื่อกี๊คุยกับเค้าไม่ดีเลย เลยตัดสินใจว่าไม่ให้แล้วเงินช่วยเหลือ แล้วก็คิดว่าถ้าเราให้ไป ก็ถือว่าเรายอมรับผิดกลายๆ เลยเปลี่ยนไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจประจำท้องที่นั้น
ที่เขียนมามีจุดประสงค์ 2 อย่าง คือ
1. อยากเตือนสติลูกค้าธนาคารทุกคนควรนับเงินให้มั่นใจ 100 % ทุกครั้งก่อนฝากเงิน
แล้วต้องคอยจับตาดูตลอดว่าเค้าแอบซ่อนเงินหรือตุกติกบ้างหรือเปล่า อย่าวางใจว่าพนักงานธนาคารจะซื่อสัตย์ทุกคน เพราะว่าทุกวันนี้ มิจฉาชีพแฝงตัวมากับพนักงานธนาคารก็มี ไม่ใช่จะมาพุ่งประเด็นเฉพาะธนาคารนี้เท่านั้น เราก็ต้องระวังทุกที่ เงินของเรา อย่าให้ใครมาเอาเปรียบ
2. พนักงานธนาคารควรนับเงินให้ถูก
เพื่อไม่ให้ลูกค้าเดือดร้อนจากการที่ต้องมาเสียเวลาเข้าออกธนาคาร และรับสายไม่เว้นแต่ละวัน
ใครมีอะไรก็เข้ามาแชร์กันได้ ตอนแรกดิฉันก็อยากให้เรื่องมันจบๆเงียบๆไป เพราะมันเป็นความผิดพลาดของพนักงาน คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบด้วย แต่พอฟังหลายๆความเห็นจากคนอื่นๆที่เราไปปรึกษา ส่วนใหญ่จะบอกว่าส่อแนวทุจริตมากกว่า หรือไม่ก็หาแพะรับบาป ดิฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ก็เลยไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ มาเกิดขึ้นกับดิฉันหรือคนอื่นๆ
โดยเฉพาะคนใกล้ตัว
หากเรื่องที่ดิฉัน แชร์นี้ ไปกระทบต่อมใดๆของใครเข้า ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ เพราะต้องการนำมาเป็นวิทยาทาน == เพิ่มเติม == * ข้อสังเกต ทางธนาคารเอาหลักฐานอะไรมาบอกว่า น้องอรให้เงินไม่ครบ แล้วเมื่อดูจากกล้องวงจรปิดก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าให้เงินครบหรือไม่ครบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครพูดถึงประเด็นข้อกล่าวหานี้เลย แต่คนส่วนมากพุ่งความสนใจไปที่ น้องอรไม่ได้นับเงินไปก่อน แล้วไม่รู้จำนวนเงินที่แน่นอนเท่านั้น ซึ่งการกระทำของน้องอรเป็นการกระทำที่แย่มากๆๆๆๆๆ ทางธนาคารสามารถกล่าวหาคนลอยๆอย่างนี้ได้ด้วยหรือ อยากให้ทางธนาคารแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันค่ะ ถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นธนาคารคู่กรณีอย่างเดียว จะได้ไม่ฟังความฝ่ายเดียว
แต่น้องอรก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการเข้าไปดูกล้องวงจรปิดถึง 2 รอบ (แต่ก็เห็นไม่ชัดอยู่ดี) แล้วต้องมานั่งรับโทรศัพท์จากธนาคารไม่เว้นแต่ละวัน งานการไม่เป็นอันทำกันเลย ถ้ากล้องวงจรปิดสามารถซูมให้เห็นถึงธนบัตรแต่ละใบได้ และพบว่าให้ไม่ครบจริง น้องอรก็ยินดีจ่ายให้ครบตามจำนวนค่ะ แต่ถ้าจะอ้างว่าความสามารถของกล้องมีเพียงเท่านั้น คุณก็ต้องหาหลักฐานอื่นมายืนยันได้ว่า น้องอรให้ไม่ครบจริง
แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 55 08:08:31
แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 55 07:17:21
แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 08:31:28
จากคุณ |
:
nakko
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มี.ค. 55 08:14:39
|
|
|
|