|
คำถามนี้ผมได้ยินมาตลอดที่ทำงานสายการวิเคราะห์หุ้นเลยทีเดียว จริงๆอยากจะเขียนอะไรหลายๆอย่างไว้เป็นกระทู้ใหม่ อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์เล็กๆจากนักลงทุนตัวเล็กๆคนหนึ่งสู่รุ่นหลังๆที่ก้าวเข้ามาในโลกแห่งการลงทุน แต่ขี้เกียจ รวมถึงกระทู้ในสังคมออนไลน์นี้ มันดันลงเร็วมาก และเปิดกว้างมาก จนยากจะมีใครจดจำ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่ำเรียนสายพื้นฐานมา ที่เรียกๆกันว่า Fundamental Analysis ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเนื้อหาในประเด็นของ Value Investor จริงๆแล้วเหมือนกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือเปล่า ซึ่งคิดว่าคงไม่แตกต่างกัน (ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแนว VI เท่าไหร่ แค่เคยเปิดอ่านสารบัญเนื้อหาบางส่วนและสรุป เลยไม่ค่อยแตกฉาน)
ผมเชื่อและศรัทธาในศาสตร์และศิลป์ของ Fundamental Analysis และ Technical Analysis ผมเชื่อว่าความรู้เหล่านี้เกิดมาคู่กัน เหมือนสามี ภรรยา เหมือนหยิน หยาง ผู้หญิง ผู้ชาย ฟ้ากับดิน ทั้งคู่มีสมดุลซึ่งกันและกัน สะท้อนซึ่งกันและกัน สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์
------ว่าด้วยเรื่องเทคนิค------------- สาเหตุหนึ่งที่คุณรับอิทธิพลของ Fundamental Analysis หรือจะเรียกว่า VI มาก่อน ส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีครับ
เทคนิคอลมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าพัฒนาการของวงการไอที Internet โลกาภิวัฒน์ และ Computer ซึ่งหากคุณศึกษามาดีๆคุณจะพบว่า ระบบไอทีประเทศไทยตามหลังประเทศชั้นนำของโลก เยอะแค่ไหน และหากคุณศึกษามาดี คุณจะรู้ว่า ตลาดหลักทรพย์ไทยเปิดทำการปีไหน และเทคนิคอลเข้ามาปีไหน ผมสรุปให้ว่า
1. บิดาที่คิดแท่งเทียน (Homma) อยู่ในศตวรรตที่ 16-17 ถ้าจำไม่ผิด ลองนับระยะเวลานะครับว่า กี่ร้อยปีมาแล้ว 2. ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุห่างกับเรา เกือบ 200 ปี 3. รู้ไหมครับว่า ดัชนี ดาวน์ โจนส์ ตั้งชื่อตามบิดาทางเทคนิค ชาลล์ ฮองรี ดาวน์ 4. ทราบไหมครับว่ามีคนนำวิชานี้เข้ามาเมื่อประมาณปี 2530 เนื่องจากระบบไอทีพอไปได้ แต่มาบูมสุดๆเมื่อมีการพัฒนาระบบ ADSL และราคาที่ลดลงมาจนคนอย่างเราเอื้อมถึงได้ ซึ่งนับอายุ 25 ปีต่อให้นิดหน่อย 5. จากข้อดังกล่าว วิชานี้คิดค้นมาเมื่อ 200 ปี แต่คุณเพิ่งได้เห็น น่าเสียดายไหมล่ะ 6. การที่พื้นฐานนิยมก่อน เพราะการจัดตั้งตลาดหลักทรพย์รวมถึงพื้นฐานการประเมินมูลค่าของบริษัทต้องมาจากตัวเลขทางบัญชี ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ปัจจัยภายนอก ภายใน ดังนั้น การวิเคราะห์ทาง Fundamental Analysis หรือที่คุณเรียกรวมว่า VI จะถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานก่อนเสมอ 7. ซึ่งก็ไม่แปลกใจที่เกิดการแบ่งแยกทางความรู้ 8. หลังจากที่ตลาดเปิดทำการ ราคาจะถูกบิดเบือนตามจำนวนนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ยิ่งมาก ยิ่งบิด ยิ่งมาก ยิ่งบิด ดังนั้นเทคนิคจึงถูกนำมาแสดงตัวตนทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะใช้เวลาน้อยกว่า 9. คนที่คิดระบบเทคนิคที่พวกคุณๆใช้กัน ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่มีพื้นฐานการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทั้งนั้น 10. คนที่เก่งๆรวยๆทางสายเทคนิค เดี๋ยวคุณจะได้ยินชื่อเรื่อยๆ เพราะการเชื่อมต่อโลกทางระบบไอที แต่เยอะครับ 11. หนังสือเรื่องเทคนิคในต่างประเทศ เนื้อหาแตกต่างจาก เนื้อหาในบ้านเราค่อนข้างเยอะ ความคิดเห้นส่วนตัวนะครับ บ้านเค้า = จิตวิทยา, concept, ที่มาที่ไป, ที่มาของสูตร, สรุปภาพรวม, รูปชัดเจน, บ้านเรา = ส่วนใหญ่จะ วิธีใช้ ตัดขึ้น ตัดลง ตัดแปดเส้น ตัดห้าเส้น ยังขาดสิ่งที่เรียกว่า ทำไมอยู่ 12. Willaim J Oneil ผมชอบท่านมากเป็นพิเศษ เนื้อหาข้างในถ้าใครได้อ่านจะรู้ว่า ท่านเอาความเป็นจริงของพื้นฐาน วงจรธุรกิจ มาประยุกต์เข้ากับระบบกราฟ
------------มาว่ากันด้วยเรื่องพื้นฐาน------------- 1. คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ความเสี่ยงคุณคืออะไร 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อหุ้นมีกี่ปัจจัย ลองไปหาอ่านให้ดีๆครับ ไม่ไช่แค่คุณประเมินปัจจัยงบการเงิน แล้วคุณจะบอกว่าเค้าพื้นฐานดี ไม่ไช่นะครับ คุณจะรับความเสี่ยงอื่นๆไปเต็มที่ 3. ง่ายๆสุด คือ การอ่านบทวิเคราะห์ของโบรก เพราะเค้าเรียนสายนี้มา แต่ปัญหาใหญ่เลย คือ นักลงทุนมักจะว่าบทวิเคราะห์ ไม่จริงบ้าง ไม่ตรงบ้าง เพราะคุณเล่นเร็ว คุณกลัว คุณโลภ คุณพ่ายแพ้ 4. การลงทุนในสายนี้ ผมเชื่อว่า คุณควรลงทุนและมองไปในระยะยาวบ้าง การมองสั้นๆ วันสองวัน ดูทุกวัน เครียด เปิดตลอดเวลา ผมว่ามันไม่ไช่การลงทุนแล้วล่ะ 5. ถ้าคุณต้องการได้เงินเร็วๆ มีตลาด Future, หรือ DW เปิดรอคุณอยู่ แต่การจะเอากำไรมาอย่างต่อเนื่อง คุณต้องอยู่ได้โดยพื้นฐานแห่งความรู้ ทุ่มเท่แรงกายและแรงใจ ไม่มีที่ว่างสำหรับโชค ความหวัง การรอคอย และคนขี้เกียจ
สุดท้ายฝากไว้ 1. ความรู้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยืนหยัดมาได้ทุกวันนี้ และผมพอใจมันหลายเท่านัก 2. อย่าปิดกั้นตัวเอง คำบางอย่างเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง เช่น สูง แพง ถูก คุณจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ทำไมถึงถูก ทำไมถึงแพง อย่างมีเหตุผลปละทฤษฎีรองรับ 3. ผมเรียนทางสายพื้นฐาน และผมก็ไม่ทิ้งมัน ยังชาบูทุกครั้งที่มีโอกาสได้กลับไปเปิดอ่าน 4. ตอนนี้แนทางการลงทุนผมใช้เทคนิคเกือบ 90% และการลงทุนของผมเป็นการใช้เทคนิคเพื่อการลงทุนในระยะยาวครับหรือที่คุณๆเรียกกันว่า VI เพียงแต่ผมไม่ไช้ทฤษฎีพื้นฐานมาคิด ผมแค่ใช้กราฟแทน 5. หัดดูกราฟให้บ่อย Back testing เยอะๆ 6. ผมลงทุนไม่บอ่ย นานๆซื้อที ขายที ไม่ได้ดูทุกวัน เอาเวลาไปเตะฟุตบอล ดูหนัง ละครเวที ครอบครัว สังสรรค์รอบดึก
ปล บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงผู้ใด และต้องขออภัยหากผิดพลาดประการใด
จงดชคดีในเส้นทางแห่งการลงทุน
จากคุณ |
:
^^Achimonde^^
|
เขียนเมื่อ |
:
31 มี.ค. 55 12:30:09
|
|
|
|
|