|
การลงทุนโดยใช้ระบบ PnT 1.1 ของชมรม เป็นการลงทุนในระบบ Trend Following System ซึ่งหมายความว่าระบบจะให้ผลกำไรเมื่อมี Trend ระบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือระบบให้ผลกำไรเฉลี่ยต่อครั้งสูงกว่าผลขาดทุนเฉลี่ยถึงประมาณ 3 เท่าตัว ข้อเสียคือระบบนี้ใช้ลงทุนทาง Long อย่างเดียว (ห้าม Short) และระบบให้ False Buy signals คือผลการ Trade ขาดทุนเมื่อมี Buy signals สูงถึงประมาณ 55% โดยให้ผลการ Trade เป็นกำไรเมื่อมี Buy signals เพียงประมาณ 45% จุดเด่นของระบบนี้คือการได้กำไรที่แน่นอนถ้าสามารถทำตามระบบได้ และจุดด้อยคือการทำตามระบบได้ยาก ความสามารถในการทำตามระบบ ก็เหมือนกับความสามารถของ Rocky ที่จะทนการถูกหมัดได้กี่ครั้งโดยที่ยังไม่แพ้ Knock out นั่นเอง การลงทุนก็เหมือนการต่อสู้ จะต่อยเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคางเปราะ คือโดนหมัดเดียวก็จอดป้ายเลย ก็ไม่มีทางชนะการต่อสู้ได้ นักมวยที่ดีจึงต้องมีทั้งฝีมือและความอดทน นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จจึงต้องมีทั้งความรู้ความสามารถ และสามารถทนการขาดทุนติดต่อกันได้หลายครั้งโดยไม่มีผลต่อการทำตามระบบ หัวใจของ Money management คือการหาตัวเองให้พบว่าเราสามารถทนการขาดทุนชั่วคราว (Draw-down) ได้เท่าไหร่? โดยทั่วๆไปตลาดทุนจะให้ Consecutive losses ตามระบบ PnT 1.1 เฉลี่ยประมาณ 6 ครั้ง นักลงทุนจึงต้องวางแผนการ Money management ให้สามารถทน Consecutive losses ได้อย่างน้อย 6 ครั้ง และเผื่อเอาไว้อีกสัก 2 ครั้ง รวมเป็น 8 ครั้ง โดยที่ทั้ง 8 ครั้งนั้นรวมกันแล้วไม่มากกว่า 25% ของเงินทุน ยกตัวอย่างในกรณีของยางพาราที่ราคา 130 บาท การลงทุนครั้งละ 5,000 กิโลกรัม จะมีผลการขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 22,000 บาท รวม 8 ครั้งเป็นเงิน 176,000 บาท เมื่อเอาจำนวน 176,000 บาท เป็น 25% ก็จะได้เงินลงทุนต่อ 1 สัญญา = 704,000 บาท ในการลงทุนแต่ละสัญญาจึงควรมีเงินสำรองสัญญาละ 704,000 บาท ตัวอย่างการลงทุนในตลาดยางพารา ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 500,000 บาท ลงทุนเพียง 1 สัญญา Long only ใช้ระบบ CDC PnT 1.1 ระยะเวลาในการลงทุนต่อเนื่อง 2,709 วันทำการ
จากคุณ |
:
แล้วแต่ท่านจะเรียก
|
เขียนเมื่อ |
:
วันจักรี 55 17:07:26
|
|
|
|
|