ความคิดเห็นที่ 1 Good จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:23:02

ความคิดเห็นที่ 2 ของดีๆ ถ้าขายไม่ได้ ก็เห็นอนาคตยาก แต่ของไม่ดี แม้จะขายดี ก็อาจไม่ยั่งยืน หลายๆกิจการ จึงให้ผลตอบแทนกับ ทีมการตลาด ค่อนข้างสูง เกี่ยวกันไหม จากคุณ : กุ้ยเหลียง เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:23:53

ความคิดเห็นที่ 3 MCS เมื่อก่อนช่วงก่อนปี 2008 วิ่งไม่เคยทะลุ 5 บาท ปกติจะอยู่ประมาณ 3-4 บ. vol. น้อย สภาพคล่องน้อย ส่วนใหญ่ซื้อเอาปันผล ปันผลช่วงนั้นเฉลี่ยปีละ .30 กว่าบาท ให้เงินปันปีละ 10กว่า% พอมาหลังปี 2009 ราคาวิ่งใหญ่ ตอบรับตามผลประกอบการ เพราะ EPS ต่อขึ้นมาเยอะ เหตุเพราะงานมาต่อเนื่อง และที่สำคัญต้นทุนเหล็กถูก ผลทำให้มาร์จินเยอะกว่าปกติ(เน้นว่า มากกว่าปกติ) พอมาช่วงนี้ผลประกอบการตกลง เนื่องจากเจอทั้งภัยธรรมชาติ รวมถึงผลกำไรปีก่อนมันมากเกินปกติ ทำให้ดูเหมือนบ. perfermance ไม่ดี แต่ที่จริงแล้ว อาจมองได้ว่า เค้ากลับมาสู่สภาวะปกติ คือ มาร์จินกลับไปอยู่ 10%กว่า และรายได้กลับไปสู่ 2 -3 พันกว่าล้านเหมือนเดิม ถ้านับว่าเค้ากลับไปสู่สภาพปกติ ปันผลจะกลับไปอย่ที่เดิม คือ ประมาณ 0.30กว่าบาท ตอนนี้ตลาดจะให้ราคาเหมาะสมกับ MCS เท่าไร จะเหมือนตอนก่อนปี 2009 หรือเปล่า ก็ไม่แน่ แต่ถ้านับตาม SET ที่ตอนนี้อยู่ระดับ 1000 กว่าจุด ไม่ใช่เหมือนก่อนที่วิ่งอยู่ประมาณ 700-900 จุด ตลาดจะยังคงให้ราคา MCS เท่าเดิมหรือเปล่า ตอบไม่ได้เหมือนกัน ต้องดูๆกันไป ปล.นี่เป็นมมุมมองกลางๆนะครับ ไม่ใช่แย่สุด หรือดีสุด เพราะถ้าแย่สุด คือ ไม่มีงาน หรือมีงานแต่งานไม่ค่อยมีกำไร แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 17:31:18 จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:29:31

ความคิดเห็นที่ 4 แหม คิดมากไปได้ เอาแบบนี้ไม๊ ..ให้กองทุนเค้าตัดสิน  ถ้ากองทุน วรรณซื้อ เม่าค่อยเก็บดีไม๊ อิอิ ด๊อก แกเ่ล่นหุ้นเก่งนา จะบอกให้ **อะ่ดูฝีมือแกซะก่อน ไนยวน ชิ ขายทิ้งหุ้นMCS 8% ยังเหลือของในมือที่พร้อมขายอีก67.17%-บลจ.วรรณ โละหุ้นMCS1.1%เหลืออีก3.9% สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เปิดผยว่า เมื่อวันที่ 11/07/2548ดร. ไนยวน ชิ ได้จำหน่าย หุ้นของบมจ. เอ็ม.ซี.เอส.สตีล(listed) จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -8.0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 67.17% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้ แล้วทั้งหมด ทั้งนี้นายไน ยวน ชิ ระบุว่าการขายหุ้นดังกล่าวเป็นการขายหุ้นสามัญเดิมจำนวน 25 ล้านหุ้น พร้อมกับหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้กับประชาชนและเป็นการให้ยืมหุ้นเพื่อการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน 15 ล้าน หุ้น เมื่อวันที่ 15/07/2548บลจ. วรรณ จำกัด ได้จำหน่าย หุ้นของบมจ. เอ็ม.ซี.เอส.สตีล(listed) จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -1.1% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดและ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 3.9% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้ว ทั้งหมด อยากเรียน ก็ตีความ ซิ  ด๊อก แกทำอะไร กองทุนวรรณถึงได้เผ่นพันลี้...555 จากคุณ : Juj เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:30:21

ความคิดเห็นที่ 5 ละเอียดมากๆๆผมว่าเยี่ยมเลยคับที่ได้วิเคราะห์ละเอียดขนาดนี้คับ ถูกใจคับ จากคุณ : คนพิโลก (chakkaphan) เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:32:36

ความคิดเห็นที่ 6 วิเคราะห์ได้ดีครับ สำหรับตัวนี้ ตอนนี้กำลังฮิตกันจริง ๆ ปกติผมไม่ได้ดูเลย เลยแอบ ๆ มองบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ยังไม่คิดจะเข้าเหมือนกัน เลยยังไม่ได้ทำการบ้าน 555 สงสัยได้แอบลอกการบ้านละ 555 จากคุณ : หุุุ หุ (franket) เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:46:18

ความคิดเห็นที่ 7 Great Work!! จากคุณ : Savage_Garden เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:48:26

ความคิดเห็นที่ 8 หาคนรับของก็ต้องออกสื่อบ่อยหน่อยล่ะครับ 555+ ผมให้ที่ 4 บาทขาดตัวแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูญีุ่ปุ่นก่อนว่ามีนโยบายอย่างไร ภัยธรรมชาติไม่พอ เจอภัยจากเกาหลีเหนืออีก โอ้ยๆ แต่น่าซื้อแบบทิ้งลืมนี่ผมให้ 3.4 บาทขาดตัวไม่ลงมาไม่ซื้อโว้ยยยยย จากคุณ : หนุ่มชาวดอย เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 17:58:03

ความคิดเห็นที่ 9 พี่หนุ่มชาวดอย ให้ 3.4 บาท  มีวิธีคิดไหมอ่ะครับ จะได้เรียนฮับ จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 18:23:01

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าคิดตามวิธีที่ว่า เมื่อดูจากราคาตลาด มีตัวไหน ที่ซื้อได้ครับ   จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 18:34:30

ความคิดเห็นที่ 11 คิดว่าสินค้าคงเหลือ 1264.48 M จะสามารถแปลงสภาพเป็นเงินได้เท่าไหร่ และนานเท่าไหร่ถึงจะแปลงได้หมดครับ มีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า เพราะเห็นเค้าบอกว่าส่วนหนึ่งที่ลูกค้ายกเลิก ไม่ได้เป็นเพราะ developer ฝั่งนู้นยกเลิกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะลูกค้าของเขา(End Customer) เป็นคนยกเลิก ปล.แต่ชอบที่พูดถึงเรื่อง MOS ครับ เห็นภาพดี จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 18:37:35

ความคิดเห็นที่ 12 มีวิธีคิดที่ดีมาก จากคุณ : set2000 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:07:37

ความคิดเห็นที่ 13 DOI จากคุณ : por_sas_a เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:15:42

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้า  ซื้อ  เป็น  VI   คงปวดหัวกันล่ะค่ะ แต่ ถ้า ซื้อ แบบเก็งกำไร   ตอนเด้ง  น่า ขายทำกำไร กันไปแล้ว ตอนลงมา  8-8.10   เด้งให้ เทค กำไรแล้ว  และ หลุด 8 มาหน่อย ก็เด้ง ให้ เหนือ 8  ก็ น่า เทคกำไรได้ อีกรอบแระค่ะ   ตอนนี้ ต้องรอลงมา ชน 7  รับได้อีกรอบ  เด้ง ต้องขายยยยยยยย จากคุณ : dawreung51 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:22:15

ความคิดเห็นที่ 16 ตัวนี้ ชอบแบบนี้แหละ ตะก่อนมุข เลื่อนส่งมอบ อินไซด์ขายก่อน กำไรต่อหุ้น ลด หุ้นก็ตก แล้ว เอาไปโป๊ะ q ถัดไป ดูกำไรเยอะ หุ้นวิ่ง ดร. อะไรนี่ ก็เหมือนลับลงพราง ตอนนี้คิดว่าเป็น มุขใหม่ ลูกค้า ยกเลิกออเดอร์ โอวมายก๊อด 55 ไม่มีอินไซด์ ก็วัดใจไป จากคุณ : Pigfarm เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:33:37

ความคิดเห็นที่ 17 ถึงพี่สาระขัน มีอยู่ครับ ถ้าเป็นหุ้นเติบโตก็จะยังมีอยู่  เพราะไม่ได้ใช้ P/E คิด  หุ้นเติบโตเร็วจะใช้ Capitalization rate (วิธีคิดแบบตัวคูณ) คิด หุ้นบางตัวมี P/E 15-16 แต่พอเอาอัตราเติบโตมาคิดแล้ว ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าก็มี ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น = กำไรต่อหุ้น x (8.5 + 2 เท่าของเปอร์เซนต์การเติบโตต่อปี) สูตรนี้ เบน  เกรแฮม เขียนอยู่ใน The Intelligent Investor ในบทการวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับนักลงทุน  (ชื่อประมาณนี้แหละ) แต่วอเรนต์  บัฟเฟต แกบอกว่าไม่เชื่อสูตรนี้    แล้วแกก็ไม่เชื่อวิธีคิดแบบอัตราคิดลด   (ก็คือไม่รู้ว่าแกเอาวิธีไหนมาประเมิน)  มีใครรู้ไหมครับ  ว่าแกประเมินมูลค่าหุ้นเติบโตยังไง   แต่ข้าน้อยก็เอามาใช้ เพราะถ้าไม่ใช้วิธีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาวิธีไหนมาประเมิน  ก็เลยใช้แก้ขัดไปก่อน จนกว่าจะรู้แน่ว่าจริงๆควรใช้วิธีไหนมาคิด P/E ก็จะมีความน่าเชื่อถือต่ำ ถ้าเป็นหุ้นเติบโต  ไม่น่าจะเอามาใช้ได้ ส่วนตัว :ถ้าราคาประเมินด้วย Capitalization rate แล้วทำให้ P/E > 15 ขึ้นมา  ข้าน้อยก็จะลดเหลือ 15 เป็นราคาสูงสุดที่จะซื้ออ่ะครับ ยกตัวอย่างเช่น BLA ============= ถ้าเอาอัตราเติบโตมาคิดก็จะคิดได้ว่า  อัตราเติบโตของกำไรของ BLA ก็จะได้ 69% ต่อปี   ราคาประเมินก็จะคิดได้เป็น = กำไรต่อหุ้น x (8.5 + 2x(69))=2.85 x (8.5 + 2x(69)) = 417 บาท ที่ราคา 417 บาท P/E ออกมาจะเป็น 146 !!! ซึ่งราคาประเมินที่คำนวณได้    มันเฟ้อ  เกินไปหรือเปล่า -_-'   ราคาตอนนี้มันต่ำกว่ามูลค่าจริงๆหรือ  ปันผลแค่ 1.54% ของเงินลงทุน  ให้เศษเงินกับเรา แล้วกำไรส่วนใหญ่บริษัทก็เก็บไปลงทุนต่อ   ไม่ค่อยเผื่อแผ่มาให้นักลงทุน เล้ย   คิดแบบ P/E =========  เนื่องจากเป็นบริษัทประกันที่มี market share เยอะอันดับ 2 รองลงมาจาก AIA   ที่มา : http://www.bla.co.th/blasite/images/image_investor_relations/Bualuang_010354(Th).pdf ก็เลยใช้ P/E =12 - 15   ราคาก็จะกลายเป็น 42.75 บาทต่อหุ้น ราคาของคิดด้วยวิธี P/E ก็เลยเป็นราคาที่เป็นอยู่ในขณะนี้   แต่ถามว่าวิธีคิด ด้วย P/E ถูกต้องจริงหรือ  เพราะหุ้นนี้คิดว่าเป็นหุ้นเติบโต (เชียวนะ) อนาคตข้างหน้า  ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนต้องมากกว่านี้   ดังนั้นคิดแบบ P/E ไม่น่าแม่นยำในหุ้นเติบโต คำถามก็คือ  : คิด 2 วิธีผลลัพธ์ต่างกันสุดขั้วเป็นร้อยเท่า   แล้วราคาไหนควรเป็นมูลค่าที่แท้จริง ? แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 19:43:37 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 19:42:42 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 19:41:39 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:36:11

ความคิดเห็นที่ 18 จะใช้สูตรทำไมให้ วุ่นวาย หุ้นไม่ใช่คนิตศาสตร์ ในตลาดหุ้น 1+1 ไม่เท่ากับ 2 เสมอไปหรอกครับ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 19:48:10

ความคิดเห็นที่ 19 BVเปลี่ยนไปแล้วนะครับอย่าลืม อาคารเครื่องจักรโดนน้ำท่วมเข้าไปอย่างนั้น ที่ดินก็อยู่นอกนิคมอยู่นอกคันกันน้ำแล้วราคาจะเท่าที่ประเมินมั้ย หุ้นตัวนี้เอาง่ายๆ อยากได้ค่อยซื้อตอนเทรนขาขึ้นละกัน จากคุณ : เขียนบน iPhone (Sawakato) เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 20:08:49

ความคิดเห็นที่ 20 ให้ราคา 8 บาท 6.7บาท 5.7 บาืท ตามลำดับ จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:15:32

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ counseller ครับ ตาม คห 17 ตอนแรก ผมก็คิดว่า จะใช้สูตร ตามที่ตั้งกระทู้ คือเอา ทรัพย์สินหมุนเวียน หัก ด้วยหนี้สินทั้งหมด หารด้วยจำนวนหุ้น ออกมาเป็นราคาที่ควรจะเป็น แถมหักค่าเสี่ยงอีก 30 % (ทรัพย์สิน ไม่หมุนเวียน เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร ไม่มีค่าหรืออย่างไร) กลับมาเอาอัตราการเติบโต เช่น BLA BLA ผมก็มีครับ เพราะคิดว่า เป็น Growth Stock ผมก็ซื้อตอนราคามันลง ลงมาจากราคาเกิน 50 บาท ผมซื้อมาแล้ว มีขายออก มีซื้อกลับ ที่เหลืออยู่ 2,000 หุ้น ไม่ขายครับ ถ้าราคาขึ้นต่อ ก็ถือ ถ้าลงมาต่ำกว่าที่ขายไป ก็ซื้อคืน ตอนนี้ ราคาลงมาเท่าราคาที่ผมขายไปหลังสุด ก็เตรียมซื้อกลับ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 21:17:08 จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:16:00

ความคิดเห็นที่ 22 ราคาทุน BLA ในพอร์ตผม จะเท่าราคาซื้อหลังสุด คือ 43.75 บาท แต่ราคาทุนจริง ต่ำกว่า สำหรับ หุ้นปันผล หรือ Dividend Stock คือ CSL กับ PRANDA ผมจะถือรับเงินปันผลไปตลอด เว้นแต่พื้นฐานจะเปลี่ยนไปในทางแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ และ ยังอาจจะซื้อเพิ่มถ้าราคาลง ผมถึงถามคุณ counsellor ว่า ถ้าคิดวิธีตามที่คุณเขียนในกระทู้ เมื่อดูจากราคาตลาดของหุ้นทุกตัว ผมยังมองไม่เห็นว่า จะมีตัวไหนที่ซื้อได้ สำหรับ MCS ผมก็มองว่า เป็นผลกระทบแค่ช่วงสั้น ก็ต้องรอดูผลประกอบการ Q1 อาจจะถึง Q3 ว่าจะเลวร้ายอย่างที่เขาว่ากันไหม ถ้าไม่เลวร้ายเกินไป ผมยอมโดนขังเป็นปี ตามคำที่เขาว่า CSL ผมก็ถือมาได้เกือบ ๒ ปี และจะถือตลอดไปครับ จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:29:14

ความคิดเห็นที่ 23 โรงงานที่ลูกค้าน้อยราย อันตรายครับ ตัวอย่าง CEI SMT Order ใหญ่หายไป มีผลต่อรายได้และกำไรอย่างมีนัยสำคัญ กว่่าจะฟื้นก้อคงสักพักใหญ่ ก้อแล้วแต่มุมมองแต่ละคน มองเป็นโอกาส ก้อซื้อ มองเป็นวิกฤต ก้อขาย จากคุณ : gongort2 เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:42:17

ความคิดเห็นที่ 24 คนที่ใช้เทคนิค ใช้กราฟ ก็เล่นเก็งกำไรช่วงสั้นเป็นหลัก ตอนราคา BLA ไหลรูดลง จากเกิน 50 บาท นักเทคนิค ที่ถืออยู่ คงขายกัน แล้วราคามันก็ลงเรื่อยๆ ตอนผมไปซื้อครั้งแรก 46.75 มันยังมีไหลลงอีก มีขยับขึ้นหน่อย แล้วไหลลงอีก เรียกว่า นับจาก high หลังสุด ราคามันทำ new low มาตลอด ผมซื้อก่อนหลังสุด 46 ยังมีลงไปถึง 42.50 ราคาที่ผมซื้อหลังสุด 43.75 เป็นวันที่มันลงไปต่ำสุด 42.50 คนที่ใช้เทคนิค กับ คนที่เล่นสั้น คงขายทิ้งกันหมดแล้ว เรียกว่า ดูกราฟแล้ว นักเทคนิค ไม่มีใครกล้าซื้อ หลังจากผมขายไป 46.75 แล้วราคาก็ขึ้นต่อ ขึ้นไปถึง 49 บาท พอดัชนีพักฐาน ราคาก็ไหลลง ๒ วัน จาก 49 ลงมา 46.75 เป็นเครื่องยืนยัน ตามที่ผมทำแบบสำรวจ เมื่อไม่นาน และประเมินว่า คนในตลาด เล่นเก็งกำไรมากกว่า 70 % จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:43:50

ความคิดเห็นที่ 25 ตอบพี่สาระขันครับ ตอนนี้ หุ้นตอนนี้ที่เก็บได้  ไม่มีจริงๆ แต่เมื่อตอนน้ำท่วม  ตอนนั้นมี PRANDA , SPACK   ที่คิดแบบนี้แล้วเก็บได้   ผมเริ่มมี port ตอนน้ำท่วมครับ อันนี้เป็น screen shot เมื่อวันที่ 21 มีนาคม   เงินต้น 260,000 บาท ตอนนี้เงิน port หุ้น 300,000 กว่า นับเฉพาะ capital gain 16.15%  ระหว่างนี้มีซื้อ ขายเปลี่ยนตัวมั่ง ทุกตัวถือยาวมีปันผลได้หมด แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 21:53:19 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 21:52:10 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:50:47

ความคิดเห็นที่ 26 อันนี้ล่าสุด   ประเมิน INTUCH ใหม่  ก็เลยซื้อเพิ่ม เปลี่ยน SPACK เป็น PTL ครับ จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 21:57:28

ความคิดเห็นที่ 27 ผมไม่เคยศึกษาเทคนิค ได้แต่อ่านหลักการคร่าวๆ ดูกราฟ BLA แล้ว เดาว่า สัญญาณหักหัวลง มาแล้ว คนที่ใช้เทคนิค ถ้าถืออยู่ คงขาย สำหรับผม คงจะได้ซื้อกลับ ไม่ได้รอสัญญาณว่าจะหักหัวขึ้น ลงไปถึงราคาที่ผมพอใจ หรือคิดว่า ลงพอควรแล้ว ผมก็ซื้อกลับ เพราะตั้งใจจะถือยาว บางส่วน ถ้าซื้อได้ เด้งขึ้นไป ก็ขาย บางส่วน ลดต้นทุน จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:00:24

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ counsellor ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้าใช้วิธีตามที่เขียนในกระทู้ จะไม่มีหุ้นตัวไหน ที่ซื้อได้เลย เอา PRANDA ที่ผลประกอบการล่าสุด กำไรดีขึ้นมาก ดูจากงบปี 2554 งบปีล่าสุด PRANDA มีสินทรัพย์ ไม่หมุนเวียน 1,101.30 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 1,779.18 ล้านบาท ถ้าใช้สูตรตามที่ว่า 1,101.30-1,779.18 ติดลบนะครับ แสดงว่า หุ้นตัวนี้ ไม่น่าซื้อ   http://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=balance&symbol=PRANDA&language=th&country=TH จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:11:57

ความคิดเห็นที่ 29 ขอแจมสักหน่อยหนึ่งเถอะ สำหรับ BLA 1. กราฟที่ผมใช้อยู่มันบอกผมว่า "กำลังจะขึ้น" 2. ผมคิดว่าราคาตลาด ในอีก 3 ปี น่าจะแถวๆ 165 บาท ( 2.86*1.69*1.69*1.69*12) อันนี้คิดแบบ P/E แล้วใช้ การเติบโต แต่ถ้าจะใช้ Capitalization จะต้องซื้อที่ราคาีเท่าไหร่ หรือ จะได้ Capitalization ที่เท่าไหร่ ในอีก 3 ปีข้างหน้า บนสมมุติฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ ข่าวว่า บริษัทฯของเสี่ย บัฟเฟตมาด้อมๆมองๆ บริษัทฯ ประกันแถวบ้านเราอยู่เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน อันนี้ไม่รู้ว่า จะทำให้ตลาดประกันเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน และ มันก็คือความเสี่ยง แค่นี้แหละที่ขอแจม ไปนอนแระ จากคุณ : จิ้งจกเขียว เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:18:38

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ใช่ครับเฮีย (สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินรวม) / จำนวนหุ้นทั้งหมด มากกว่า ราคาซื้อขายในตลาด  เป็นหุ้น Net-nets ครับ  แปลว่าหุ้นถูกมาก   ถูกเหมือนได้เปล่า  แต่มันหายากมาก    ถ้าเจอเมื่อไหร่ เก็บทันทีไม่ต้องสนใจอย่างอื่น (ใช้สินทรัพย์หมุนเวียนครับ ไม่ใช่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน) หุ้น Net-nets : http://www.fungistock.com/2012/03/29/netnets/ แต่ถ้าไม่ใช่หุ้น Net-nets  ก็ต้องประเมินใช้วิธีตามปรกติอ่ะครับ ดูพื้นฐาน เช่น P/E  อัตราเติบโต  ,ROA , ROE ก็ว่ากันไป แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 08:44:15 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 22:25:53 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 22:22:54 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:20:11

ความคิดเห็นที่ 31 สูตรตาม คห. 17 G น่าจะเท่า %/100  เช่น  69/100 = 0.69  ไม่ทราบว่าผิดถูกประการใด 2.85 x (8.5 + 2x(0.69))  = ?? ...แต่สูตรของ BGF  อนุรักษ์มากจนอาจจะไม่มองด้านศักยภาพด้านอื่น ๆ เน้น EPS กับ Growth แบบเพียว ๆ  ถ้าใช้สูตรแก...หุ้นแพงไปแทบทั้งนั้น จากคุณ : HeroLateGame เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 22:44:08

ความคิดเห็นที่ 32 ^ ^ ^ หุ้น growth มันเป็นอะไรที่ประเมินยากอ่า ใช้สูตรของเบน เกรแฮม  มันจะมีปัญหาถ้า growth > 8   อาจารย์เบน เกรแฮม แกเขียนไว้เลยว่า ถ้า growth > 8  ก็ "ซื้อได้ ทุกราคา"  มันก็เลยขัดๆกับความรู้สึกว่า แล้วเมื่อไหร่ที่เรียกว่าหุ้นถูกล่ะ ? สูตรของเบน  เกรแฮม  ปกติแล้วผมก็ใช้นะ   แต่ถ้ามันทำให้ P/E > 15 เมื่อไหร่  ผมก็จัดการซื้อไม่เกิน P/E ratio 15 นั่นแหละ  จะได้ไม่ต้องซื้อ ณ จุดที่แพงจนเกินไป  (อันนี้คิดเอง เป็นความเห็นส่วนตัว) แต่ถ้าใช้อัตราคิดลด ก็ใช้ไม่ได้  เพราะสูตรอัตราคิดลดก็คือ ราคา = กำไรต่อหุ้น /(ผลกำไรคาดหวัง -  อัตราเติบโต) ราคา = 2.85 / (0.1 - 0.69) โดยที่คาดหวังว่าจะได้ปันผล 10% ก็คือ 0.1   อัตราเติบโต 69% ก็คือ 0.69 ซึ่ง (0.1-0.69) มันติดลบ ก็เลยใช้สูตรไม่ได้  สูตรนี้ก็เลยมีข้อจำกัดที่ อัตราเติบโต ต้องไม่มากกว่าผลกำไรคาดหวัง ฟิลิป  ฟิชเชอร์ไม่เห็นต้องมาดูสูตรอะไรพวกนี้เลย   แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 23:47:13 แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 55 23:40:22 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 55 23:36:20

ความคิดเห็นที่ 33 หุ้นขาลง กำลังทำ new low เปิดตำราไหนก็ไม่ควรรีบไปซื้อ มีแต่ เจ็บ เจ๊า เจ๊ง จน จากคุณ : SOMBOON9 เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 00:18:06

ความคิดเห็นที่ 34 คห 30 เขียนผิดรึเปล่าครับตรงหุ้น Net-nets ทำไม   ( สินทรัพย์หมุนเวียน – หนี้สินรวม  ) / จำนวนหุ้นทั้งหมด < ราคาหุ้น แล้วสรุปว่าราคาหุ้นต่ำกว่า ราคาเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ คือตรงสูตรน่าจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนสุทธิของบริษัท แล้วถ้ามันน้อยกว่าราคาหุ้น ก็แสดงว่าราคาหุ้นแพงกว่า หรือผมเข้าใจผิดครับ จากคุณ : Tiger อู๊ด เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 02:05:06

ความคิดเห็นที่ 35 ผมเขียนเรื่อง มูลค่าที่แท้จริงของกิจการไว้ในบล๊อกของผมเมื่อกลางปี 53 น่าจะได้ประโยชน์บ้าง ถ้าสนใจก็ลองไปอ่านดูครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jikjokkheaw&month=06-2010&date=12&group=6&gblog=24 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 06:07:23 จากคุณ : จิ้งจกเขียว เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 06:03:01

ความคิดเห็นที่ 36 สงสัยถ้าคิดแบบ จขกท สงสัยคงต้อรอให้เซทไทยเหลือ 200-300 จุดมั้งถึงจะมีหุ้นให้เล่นกัน หมอสัจจะพูดถูกว่าหุ้นไทยแล้วแต่จ้าว ขนาดหุ้นที่ขาดทุนยังขึ้นได้ทุกวัน จากคุณ : เฮฮา (lek006) เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 06:38:01

ความคิดเห็นที่ 37 คห. 34 ขอบคุณครับ ผมเขียนผิดเอง  แก้แล้วนะครับ คห. 36  ไม่เป็นไรครับ ผมจัด port ได้แล้ว  ที่เหลือก็แค่ "จังหวะ" กับหาหุ้นที่ "ถูกใจกว่า" เท่านั้นครับ  ถ้าหาหุ้นใหม่ไม่ได้ ผมก็จะลงทุนในหุ้นตัวเดิมต่อไปครับ ส่วนหุ้นที่ไม่มีกำไรแต่ราคาขึ้นลง  ผมไม่สนใจอยู่แล้วครับ   แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 08:51:04 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 08:50:03

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าอ่านหนังสือของ buffet หลายๆเล่มจะเห็น case study อันนึงที่คลาสสิคมากคือ  หุ้น amex  หุ้นตัวนี้เกิดวิกฤติระยะสั้นชั่วคราวคล้ายๆกับ mcs เป๊ะเลย     แต่ปู่แกเห็นว่าในระยะยาวแล้วหุ้น amex ยังมีลูกค้าที่มั่นคงไม่เปลี่ยนใจไปจากบัตรนี้    รวมทั้งชื่อเสียงและฐานลูกค้าที่สั่งสมมายาวนาน     ในขณะที่ตอนนั้นตลาดเกิด panic กับวิกฤติน้ำสลัดของหุ้นตัวนี้มากทำให้นักลงทุนแห่เทขายหุ้นตัวนี้ออกมาจนทำให้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันมากๆ   มากจนซะจนปู่ต้องควักกระเป๋าเทเงินก้อนใหญ่ออกมาช้อนของดีราคาถูกแบบหุ้นตัวนี้เอาไว้    และหลังจากนั้นราว 1-2 ปี ราคาหุ้น amex พุ่งกลับไปที่เดิมและทำราคาสูงขึ้นมากกว่าเดิมอีกต่างหาก        เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าจงค้นหาตัวเองให้เจอว่าอยากเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น  หรืออยากเป็นนักลงทุนระยะยาว    ไม่มีใครคิดผิดหรือถูก   หากคนที่ลงทุนระยะสั้นก็คงหลีกเลี่ยง mcs เหมือนกับที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกาหลีกเลี่ยงหุ้น amex ณ ตอนที่มีข่าวนั้น      แต่ถ้าคุณคิดว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวและมองเห็นความสามารถในการแข่งขันเชิงยั่งยืนระยะยาวของบริษัทนี้    และมองว่าวิกฤติครั้งนี้เป็นปัญหาระยะสั้นที่จะไม่กระทบกับความสามารถระยะยาวของบริษัท    ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะสามารถซื้อหุ้นดีได้ในราคาถูก  ยิ่งเมื่อเทียบกับ set ตอนนี้แล้วแทบจะหาหุ้นดีราคาถูกในตลาดไม่เจอ     ถ้ามีถูกๆก็หุ้นไม่ดี ไอ้ที่ดีๆก็ไม่มีคำว่าถูก    ไอ้ตัวถูกและดีก็เป็นแบบ mcs นี่ไงครับ        เรื่องนี้ผมว่ามันขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนส่วนตัวของแต่ละคนมากกว่า   รวมทั้ง vision ส่วนตัวด้วย    คนที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ ต้องมีความรู้  พร้อมทั้งวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลกว่านักลงทุนทั่วไปจริงมั๊ยครับ?    ปล.สำหรับนักลงทุนระยะสั้น  อาจจะมองว่าวิกฤติครั้งนี้ของ mcs มันไม่เหมือนกับ amex  ของเรามันร้ายแรงกว่าเยอะ     ผมว่าลองไปศึกษากรณีของหุ้น amex ดูนะครับ    มันดูร้ายแรงกว่า mcs เยอะมาก  และที่สำคัญนักลงทุนแตกตื่นเทขายหุ้นตัวนี้อย่างกะบริษัทจะเจ๊ง   ราคาตลาดถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยติดดินซะจนปู่บัฟต้องเข้ามาช้อนไงครับ   แต่เอ....เคสนี้ปู่บัฟกำไรจากกรณีนี้มหาศาลเหมือนกันนะครับ จากคุณ : Simboh เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 09:20:28

ความคิดเห็นที่ 39 ชื่นชม ทั้งคู่ครับ.....คุยกันด้วยเหตุด้วยผล เชื่อว่าทั้งคู่มีสไตล์การหามูลค่าหุ้นไม่เหมือนกัน ไม่มีใครถูกหรือผิดครับ จากคุณ : พออยู่พอกิน เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 10:51:30

ความคิดเห็นที่ 40 พี่ Simboh AMEX กับ MCS มันต่างกันเยอะนะครับ AMEX มันเป็นธุรกิจผูกขาดบัตรเครดิตในตอนนั้นมีเจ้าเดียว ส่วน MCS มันเป็นธุรกิจ  Me too ที่มีสินค้าที่ไม่แตกต่างจากคู่แข่งกันเท่าไหร่ ลูกค้ามีโอกาสลาจาก MCS ได้ทุกเมื่อ  มีลูกค้าใหญ่ 4 ราย  หายไปสักรายไปใช้บริการที่อื่นเป็นเรื่องเลย ส่วน AMEX ยังไงก็มีคนใช้บริการบัตรเครดิต  มีอยู่เจ้าเดียวในตอนนั้น   ไม่ใช้ก็ไม่ได้เพราะไม่มีทางเลือก ส่วนตัวผมมอง MCS ครั้งนี้ไม่เหมือนกันกับ AMEX ครับ ถ้า MCS ผูกขาดสินค้าอะไรสักอย่างที่คนจำเป็นต้องซื้อใช้  ผมจะรีบวิ่งเข้าไปเก็บทันทีเลย แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 11:16:13 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 11:07:21 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:04:02

ความคิดเห็นที่ 41 ส่วนตัวถ้าจะให้มอง AMEX เหมือน INTUCH ตอนนี้มากกว่า (ไม่ได้เชียร์หุ้นตัวเอง) INTUCH ถือหุ้น AIS อยู่ แล้ว AIS ก็มี market share ในตลาดโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุด  เกือบจะผูกขาดกลายๆ ปัญหาของ INTUCH คือมีคดีฟ้องร้องมากมาย  อ่านดูในรายงานประจำปี ก็มีคดีอยู่เต็มไปหมด   แต่ไม่ว่าอย่างไรคนก็ยังใช้บริการของ AIS ทุกวันนี้คนที่ทำงานก็ใช้เครือข่าย AIS เป็นส่วนใหญ่อยู่อ่ะครับ แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 55 11:31:05 จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:29:50

ความคิดเห็นที่ 42 วิจารณ์ที่คุณเขียนนะ ไม่ได้มาแช่งหุ้นใคร ผมว่าคุณยังให้ราคาสูงไป 1. เพราะคุณใช้ eps 0.95 ซึ่งมันชัดเจนแน่นอนเลยว่าปีนี้ทำไม่ได้ 2. หุ้นวอลุ่มต่ำ ถ้า ดร. กับกองทุน ยังขายไม่หยุดก็มีหวังลงเละ  แล้วงบรายไตรมาสที่จะทยอยออกมาให้คนผิดหวัง ก็จะทำให้ราคาลงได้อีก ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นผมจะเผื่อ mos ไว้มากหน่อย แต่ยังไงก็ตาม กิจการมั่นคง มีเงินเหลือเยอะ ปันผลสม่ำเสมอ  เป็นผมก็จะคิดมูลค่าแบบวิธี dividend yeild ไว้ด้วย จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 11:45:28

ความคิดเห็นที่ 43 พี่ TingTing ให้ราคาต่ำกว่าผมอีกหรอคับ  ขอบคุณครับ จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 12:22:34

ความคิดเห็นที่ 44 อยากเห็นกระทู้ที่มีการโต้แย้งอย่างนี้มานานแล้ว MCS ผมก็มีแล้วก็เพิ่งซื้อเพิ่มไป ถือมาได้ 2 ปีแล้วตัวนี้ ผมยังมีมุมมองว่าถ้าปีนี้น้ำไม่ท่วมหนัก งานก่อสร้างน่าจะมาครับ จากคุณ : Super QC Engineer เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 12:57:18

ความคิดเห็นที่ 45 แต่ละท่านเยี่ยมยอด จริงๆ คารวะในความทุ่มเท ผมไม่ได้เสี้ยวเลย จากคุณ : Astromantic เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 13:33:13

ความคิดเห็นที่ 46 เก่งๆทั้งนั้น สงสัยอยู่อย่างเดียว ที่ฝรั่งซื้ออยู่ทุกวันนี้ เขาซื้อตาม คห.ไหนครับ จากคุณ : Braineht เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:06:42

ความคิดเห็นที่ 47 คห 46 ฝรั่งเค้าซื้อ MCS ด้วยหรอครับ ดูได้จากไหนครับ จากคุณ : Super QC Engineer เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 14:49:40

ความคิดเห็นที่ 48 จขกท.ครับ   mcs มีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่นๆอย่างมาก    เหล็กที่จะสามารถขายในประเทศญี่ปุ่นได้นั้นต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น     ผู้บริหาร mcs ฉลาดพอที่จะอัพเกรดบริษัทของตัวเองให้เปลี่ยนจากบริษัทที่มีคู่แข่งมากกว่า 200 บริษัท  ไปเป็นบริษัทที่มีคู่แข่งเพียงแค่ 9 บริษัท   จากการที่บริษัทสามารถผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสูงสุดของญี่ปุ่นคือ  S grade  ซึ่งเมื่อบริษัทผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานดังกล่าวแล้วทำให้ลดจำนวนคู่แข่งลงไปอย่างมาก      ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาผลิตโครงสร้างเหล็กแข่งกับ mcs ก็เข้ามาทำได้ง่ายๆนะครับ   อีกอย่างความต้องการเหล็กเกรดสูงของญี่ปุ่นก็ยังมีความต้องการอยู่อีกมาก    ถ้าเทียบกับกำลังการผลิตของ mcs แล้ว mcs มียอดขายประมาณ 1% ของตลาดรวมเท่านั้น   นั่นหมายความว่ายังมีตลาดให้เข้าไปแชร์ส่วนแบ่งได้อีกมากมายครับ "โรงงานของบริษัทประกอบด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ เมื่อเดือนมีนาคม  2554 บริษัทได้รับรองมาตรฐาน  “S” class fabricator จาก Japan Steel Structure Appraisal Center Ltd. ที่ออกให้กับโรงงานผลิตโครงสร้างเหล็กที่ได้มาตรฐานดีเยี่ยม ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงที่สุดสำหรับโรงงานที่ผลิตโครงสร้างเหล็กในประเทศญี่ปุ่น และมีจำนวน 10 รายเท่านั้นที่ได้รับมาตรฐานนี้ โดยเฉพาะบริษัทฯเป็นบริษัทต่างประเทศรายแรกที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าว"     ยังมีข้อมูลดีๆของบริษัทนี้อีกมาก   ไม่ใช่ผมจะมาเชียร์หุ้นตัวนี้เพราะผมมีหุ้นตัวนี้อยู่หรอกนะครับ  ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีครับ  เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่จดๆจ้องๆกับหุ้นตัวนี้    โดยส่วนใหญ่ก็เอาแต่ข้อเสียมาพูด   สิ่งที่ผมเห็นมาทั้งหมดในกระทู้นี้คือ    นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับราคาหุ้น  มากเสียจนกระทั่งแทบจะไม่ได้ดูผลงาน  ความสามารถของบริษัท    หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้เลย       ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่าราคาหุ้นไม่มีความสำคัญอะไรเลย   สิ่งที่คุณควรจะดูคือตัวบริษัทหรือเนื้อแท้ของบริษัทมากกว่า       จากกระทู้นี้จะเห็นได้ชัดว่าเราให้ความสำคัญกับราคาหุ้นมากกว่าพื้นฐานของบริษัทซะอีก         ถ้าราคาหุ้นยิ่งตกลงไปมากเท่าไหร่   เราก็จะมีเหตุผลต่างๆนานาออกมาสนับสนุนสมมติฐานของตนเองมากขึ้นเท่านั้น     พูดง่ายๆก็คือยิ่งราคาตก ยิ่งค้นหาข้อเสียของบริษัทออกมาได้มากเท่านั้น     เช่น ลูกค้าหาย  งานหด  ผู้บริหารแอบเอาหุ้นมาขาย   น้ำจะท่วมโรงงานอีก    บางคนบอกถึงขนาดว่าผู้บริหารหลักจะทิ้งบริษัทนี้แล้วด้วยซ้ำ         เหล่านี้ทั้งหมดก็คือเหตุผลที่เราสรรหามารองรับความคิดของตัวเรา      ถ้าเปิดใจกว้างๆเข้าไปศึกษาพื้นฐานของบริษัทนี้แบบละเอียดจริงๆก็คงจะพอมองภาพรวมของสถานการณ์ในขณะนี้ของบริษัทได้ชัดเจนขึ้น       ก็อย่างที่บอกสำหรับนักเก็งกำไรแล้วสถานการณ์ขณะนี้ของบริษัทดูไม่น่าลงทุนเท่าไหร่   แต่ถ้าคุณศึกษาตัวบริษัทอย่างละเอียดและคุณคิดว่ามันเป็นบริษัทที่ดีแล้วล่ะก็     นี่เป็นจังหวะที่จะเข้าเก็บหุ้นไว้เพื่อลงทุนระยะยาวมากกว่า        แต่ถ้าคุณคิดว่าเวลาที่ถือหุ้นตัวนี้อยู่สามารถเอาไปทำกำไรกับหุ้นตัวอื่นได้อีกมาก   ถ้างั้นก็จงผ่านหุ้นตัวนี้ไปซะเถอะครับ จากคุณ : Simboh เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 15:04:07

ความคิดเห็นที่ 49 ทำไม SYS หรือ สยามยามาโตะ ไม่อยู่ในตลาดหุ้นไทยนะ..... จะซื้อ หึหึหึหึ MCS สู้ SYS ได้หรอครับ? ข้อได้เปรียบของ MCS SYS ก็มีนะคครับ อย่าลืม แถมดีกว่าด้วย ผมมองว่าคู่แข่ง MCS อย่าง SYS กำลังแย่งตลาดจาก MCSไปครับ ปล. ผมแค่มั่วเฉยๆนะ หึหึหึหึหึ จากคุณ : Asceli เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 16:37:20

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ ปัญหาของหมอคือ หมอต้องการอะไรที่มันจับต้องได้ แต่ตลาดหุ้นนั้น ดูมันได้ แต่จับต้องมันไม่ได้ครับหมอ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 18:24:40

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับที่มาแจมกัน จากคุณ : counsellor เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 18:29:13

ความคิดเห็นที่ 52 กระทู้อย่างนี้แหละที่สมควรโหวต ถกกันด้วยเหตุด้วยผล  หลักความคิดของแต่ละคนดีมากๆครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่การคาดการของแต่ละคนว่าใครจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่ากัน เพราะบริษัทหนึ่งๆ ถ้าเราได้ข้อมูลที่เหมือนกัน แต่การคาดการจะต่างกัน เช่นเรื่องของMOS บางคนให้มาก บางคนให้น้อย แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตลาด แล้วค่อยมาดูว่าใครจะใกล้เคียงมากกว่ากัน ปล. ผมพึ่งขายMCSไปครับ เพราะคิดว่าถอยมาดูข้อมูลต่างๆให้รอบคอบก่อนดีกว่า จากคุณ : DragonV เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 07:38:43

ความคิดเห็นที่ 53 นี่สิ สมเป็นกระทู้โหวต จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 09:17:49

ความคิดเห็นที่ 54 @49 SYS ทำเหล็ก recycle หรือเปล่าครับ จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 11:24:33

ความคิดเห็นที่ 55 หุ้นกลุ่มเหล็กหลายๆตัวปีนี้ ผมว่ามีแนวโน้มเทรินอะราววววววเหมือนกันนะครับ แต่โดนตัว 1 ในกลุ่มนี้ กินไปเรียบร้อยแล้ว55 จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 14:52:50

ความคิดเห็นที่ 56 วิธีคิดยังไม่ถูกต้องนะครับ 0.95 เป็น eps อดีตครับ ใช้ไม่ได้อีกแล้วครับ การลงทุนในหุ้นต้องมองไปข้างหน้าครับ ราคาหุ้นมองไปข้างหน้าเสมอครับ การให้peที่8.5 อาจถูกก็ได้ครับ แต่เราต้องหา eps ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยครับ แล้วคูณpeที่เหมาะสมครับ แล้วไปเทียบดูกับราคาตลาดตอนนี้ว่าน่าสนใจหรือเปล่า ปล. กลุ่มเหล็กนี้เล่นยากนะครับ ถ้าไม่มีโอกาสได้เป็นเด้งๆผมเมินครับ เพราะมีกลุ่มอื่นที่วิเคราห์ง่ายกว่านี้จมเลยครับ จากคุณ : arbuscula เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 17:09:23

ความคิดเห็นที่ 57 MCS สู้ๆ จากคุณ : BALLBANK เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 17:19:57

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่เข้ามาถกเรื่องพื้นฐาน ช่วยให้ผมมีมุมมองเพิ่มขึ้นครับ ***ปล.ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่จำเป็นต้องโกรธกันนะครับ พี่ๆ  จากคุณ : มารหุ้นแสวงพ่าย เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 21:40:09

ความคิดเห็นที่ 59 .             ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่จำเป็นต้องโกรธกันนะครับ   ใช่ๆ จากคุณ : ศิษย์ซุนวู เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 21:55:22

ความคิดเห็นที่ 60 นั่งอ่านทุก คห. ได้เปิดโลกการมองพื้นฐานหุ้นให้ผมขึ้นอีกเยอะเลยครับ อยากให้คุณ counsellor หรือท่านอื่นทำการบ้าน PTL มาวิเคราะห์แบบนี้อีกครับ จากคุณ : gob_non เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 55 23:28:40