เปิดความลับพอร์ต 'ดร.นิเวศน์' ไตรมาสแรก..กำไรทะลุเป้า!!
|
|
การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 01:00 เปิดความลับพอร์ต 'ดร.นิเวศน์' ไตรมาสแรก..กำไรทะลุเป้า!!
เปิดความลับพอร์ตลงทุน 'ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร' วีไอต้นตำรับของเมืองไทย สรุปตัวเลข 'ไตรมาสแรก' ของปี 2555 โกยกำไรเกินเป้าหมายชนิดที่เจ้าตัวยังคาดไม่ถึง
เคยโชว์พอร์ตลงทุนของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วีไอต้นตำรับของเมืองไทยผ่าน "บิซวีค" ไปแล้วเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนแทบไม่เชื่อสายตาว่าพอร์ตลงทุนของอาจารย์นิเวศน์ในปี 2555 จะเติบโตรวดเร็วขนาดนี้เหนือระดับ 2,500 ล้านบาท ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อประมาณสองปีก่อนยังพูดกันแค่ตัวเลขระดับ 1,000 ล้านบาท และหากย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนพอร์ตเริ่มต้นแค่ระดับ "สิบล้านบาท" เท่านั้นเอง
ความมหัศจรรย์ของแนวทางการลงทุนแบบ "เต่า" แต่พอร์ตวิ่งเร็วกว่า "กระต่าย" ส่งให้อาจารย์นิเวศน์ยังครองใจแฟนพันธุ์แท้หุ้นวีไออันดับหนึ่งอย่างไม่เสื่อมคลาย คำถามหนึ่งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าถามไถ่กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ในช่วงที่ตลาดหุ้นมาแรงแซงทางโค้ง จนดัชนีไต่ระดับขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี อาจารย์นิเวศน์ซึ่งเป็น "ไอดอล" (บุคคลต้นแบบ) ของเหล่า Value Investor โกยกำไรจากการลงทุนในช่วงไตรมาส 1 ปี 2555 เข้าเป้าหมายหรือไม่ เรื่องนี้ต้องไปถามเจ้าตัวให้เป็นผู้เฉลย
ดร.นิเวศน์ ปรมาจาย์ด้านแวลูอินเวสเตอร์ของเมืองไทย บอกเล่าว่า ผลตอบแทนจากเงินปันผลบวกกับราคาหุ้น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 เรียกได้ว่า "เกินเป้าหมายแบบสุดๆ" หากคิดจากราคาหุ้นเพียงอย่างเดียวก็น่าจะมีกำไรราวๆ 20% เทียบจากราคาหุ้นเมื่อปลายปี 2554
"ปกติผมจะปักธง! ทุกครั้งว่าต้องมีกำไรจากการลงทุน (กำไรหุ้นบวกเงินปันผล) ปีละประมาณ 10-15% แต่ผ่านมาเพียง 3 เดือน ผมได้รับผลตอบแทนเกินเป้าหมายแล้วค่อนข้างมาก จริงๆ แล้วก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีกำไรสูงขนาดนี้ ต้องยกความดีให้บริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนเหล่านั้น ผู้บริหารเขาเก่งมาก ผมแค่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง"
อาจารย์นิเวศน์ อธิบายว่า หลายคนคงคิดว่ากำไรจากการลงทุนของผม เกิดจากการขายหุ้นในพอร์ตออกมา จริงๆ แล้ว "ไม่ใช่เลย..ผมไม่เคยขาย" ก่อนลงทุนทุกครั้งจะคัดหุ้นมาอย่างดี โดยผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเกิดจากมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาต้นทุน และเงินปันผลที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่บริษัทจ่ายเงินปันผลก็มักจะนำเงินซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มเติม หากวิเคราะห์แล้วพบว่าคุ้มค่า และเข้าเงื่อนไขการลงทุนทุกประการ
ปัจจุบันดร.นิเวศน์ มีหุ้นอยู่ในพอร์ตทั้งหมดเกือบ 20 บริษัท โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นธุรกิจค้าปลีกมากที่สุดมีอยู่ 7-8 บริษัท และหุ้นธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้ถือเป็นตัวสร้างผลงานได้อย่าง "โดดเด่น" เจ้าตัวเล่าว่า จริงๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีกเพราะส่วนตัวไม่นิยมซื้อหุ้นเป็นกลุ่ม ชอบซื้อหุ้นเป็น "รายตัว" มากกว่า แต่เนื่องจากจุดเด่นหลายๆ อย่างของกลุ่มค้าปลีกเข้าเงื่อนไขการลงทุนที่ตั้งไว้ จึงทยอยซื้อมาเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทียังคิดเลยว่า ทำไมเรามีเยอะจัง (หัวเราะ)
เงื่อนไขการลงทุนที่เป็น "ข้อดี" ของหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ลงทุนอยู่ ปรมาจาย์หุ้นวีไอของเมืองไทย ตีโจทย์ให้ฟังว่า ประการที่หนึ่ง..มีความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ สอง..มีอัตราการเติบโตที่ชัดเจน และสม่ำเสมอ สาม..ธุรกิจมีกระแสเงินสดที่ดีมาก และประการสุดท้าย..มีตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งเงื่อนไขลักษณะนี้ "ผมจะนำไปใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นตัวอื่นๆ ด้วย"
ถามว่า..วันนี้ยังสามารถลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้อีกหรือไม่ ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า หากมองในมุมของ "ราคาหุ้น" ส่วนตัวคิดว่า "ราคาไม่ถูกแล้ว" หุ้นพวกนี้มันเคยถูกมากเมื่อ 7-8 ปีก่อน แต่เผอิญส่วนตัวไม่ใช่คนที่จะนำราคามาเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจซื้อหุ้น แต่จะนิยมดู "ปัจจัยพื้นฐาน" ของบริษัทมากกว่า หากพบว่าธุรกิจนั้นยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ และสามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ "ผมซื้อเลย"
ในส่วนของหุ้นตัวอื่นๆ ที่มีอยู่ในพอร์ต ก็สร้างกำไรในช่วงไตรมาสแรกได้ดี หากจะถามว่าตอนนี้มูลค่าพอร์ตอยู่ระดับไหนคงตอบเป็นตัวเลขไม่ได้ บอกได้เพียงว่ายังคงยืนอยู่ "หลักพันล้านบาท พอร์ตของผมเติบโตขึ้นทุกปี"
สำหรับเป้าหมายการลงทุน เจ้าตัวยังยืนยัน การลงทุนต้องเติบโตทุกปีเฉลี่ยปีละ 10-15% เพียงเท่านี้ "ผมก็มีความสุขมากแล้ว" ไม่เคยขอให้พอร์ตโตปีละ 100% เหมือนในอดีต พอร์ตยิ่งใหญ่ขึ้นจะหวังให้มูลค่าขยายตัวมากกว่าเดิมมากๆ คงเป็นไปได้ยาก
หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาที่พาครอบครัวไปพักผ่อนที่ "หัวหิน" ได้นั่งมองทะเลและคิดอะไรมากมาย อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ในภาวะตลาดหุ้นเช่นนี้ (ที่ขึ้นมามากแล้ว) ก็ยังมีหุ้นหลายกลุ่มน่าสนใจ เช่น กลุ่มธนาคาร สื่อสาร และ พลังงาน เนื่องจากพวกนี้พื้นฐานดี แถมจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง จึงทำให้เขา "มีเสน่ห์ แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อาจมีความเสี่ยงบางอย่างที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ และหากเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อราคาหุ้นได้ง่าย
ถามถึงมุมมองตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2555 วีไอต้นตำรับของเมืองไทย ตอบว่า คิดว่าสิ้นปี 2555 ดัชนีจะเติบโตขึ้นประมาณ 20% หรือยืนระดับ 1,200 จุด เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 ที่ดัชนีปิดที่ระดับ 1,025 จุด แม้จะมีเรื่องไม่ดีออกมาเซอร์ไพรส์ แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่า "หุ้นไทยจะลงไม่แรง" เพราะราคาหุ้นวันนี้ "ไม่ได้สูงมาก" ที่สำคัญในประเทศยังมี "ข่าวดี" มากมายมาสนับสนุน
ข่าวดีสำคัญที่สุดที่จะ "หนุนดัชนี" ปีนี้ ก็คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าในปี 2555 จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% เพราะมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้นทันที 10%
ขณะเดียวกันปี 2555 ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ (จีดีพี) มีโอกาสเติบโต 5-6% ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อมีข่าวดีถึง "สองเด้ง" นักลงทุนคงมีแต่ "เก็บหุ้นเข้ากระเป๋า" แม้การเมืองบ้านเราจะยังไม่ค่อยราบรื่น แต่มันไม่ได้วุ่นวาย ผลกระทบตลาดหุ้นไม่น่าจะมี
สำหรับความกังวลเศรษฐกิจต่างประเทศ วันนี้ยังออกแนวทรงๆ ตัว ส่วนตัวยังเชื่อว่าจะไม่มีวิกฤติอะไรมากระทบตลาดหุ้นอย่างรุนแรง "ถึงมี..เศรษฐกิจไทยก็ทนได้" ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยได้ "แยกตัว" ออกมาแล้ว เรามีการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เราไม่ต้องพึ่งพายุโรปและสหรัฐอเมริกาเหมือนก่อนแล้ว
ดร.นิเวศน์ แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในภาวะตลาดกลางๆ แบบนี้ (ไม่ถูก-ไม่แพง) ควรเลือกลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 50% ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนสินทรัพย์ประเภทใด บอกตรงๆ ในภาวะตอนนี้ยังไม่เห็นมีสินทรัพย์อะไรโดดเด่นนักลงทุนควร "กระจายความเสี่ยง" ไล่ตั้งแต่เสี่ยงต่ำที่สุดไปจนถึงเสี่ยงสูงสุด นั่นคือ เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และ ตลาดหุ้น
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ คิดว่าลงหุ้นเพียง 20-30% ก็น่าจะโอเค จริงๆ ก็ไม่อยากแนะนำว่าควรลงทุนในสัดส่วนเท่าไร มันอยู่ที่ระยะเวลาการถือหุ้นมากกว่า เพราะบางคนเขาอาจมีรายรับมากกว่ารายจ่ายมาก ฉะนั้นก็สามารถลงทุนได้มากกว่า 30% ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความพึ่งพอใจเป็นหลัก
ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น การเมืองที่ไม่วุ่นวาย จะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 20% บนสมมุติฐานที่ว่า คัดเลือกหุ้นได้ดี หุ้นทุกตัวที่ซื้อมาต้องมีพื้นฐานที่ดี
กูรูตลาดหุ้นระดับแถวหน้า กล่าวทิ้งท้ายว่า รู้สึกดีใจที่นักลงทุนรุ่นใหม่แนว "วีไอ" มีตนเองเป็น "ต้นแบบ" ในการลงทุน จนทำให้นักลงทุนหลายรายประสบความสำเร็จและก็หวังว่าจะมีคนรุ่นใหม่นำประโยชน์จากสิ่งที่ตนเองเขียนและให้ความรู้ไปใช้เรื่อยๆ จะยิ่งรู้สึกยินดี
"ผมอยากบอกนักลงทุนทุกท่านว่า อย่าคาดหวังว่าวันนี้ต้องได้ผลตอบแทนเท่าเดิม และอย่าหวังว่าลงทุนแล้วต้องได้กำไรเหมือนรุ่นพี่ ที่ในอดีตเคยทำได้ 100% วันนี้ต้องยอมรับว่าเราเข้ามาทีหลัง ฉะนั้นความสัมฤทธิ์ผลย่อมน้อยกว่าเป็นธรรมดา ไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ยังไม่ค่อยมีใครเล่นแนว VI ช่วงนั้นรวยแบบไร้เหตุผล..จริงๆ ก็มีเหตุผล (หัวเราะ)"
อาจารย์นิเวศน์ ฝากถึงแฟนพันธุ์แท้สไตล์วีไอว่า ข้อสำคัญ "อย่ายึดติดกลยุทธ์เดิมๆ" นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวจะต้องเปลี่ยนไปตามสถานการณ์เพื่อลดความเสี่ยง และรักษาความมั่งคั่งของพอร์ต
"สำหรับผมคิดว่าการลงทุนระยะยาว "อย่างมีสติ" เป็นทฤษฎีที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแน่นอน" วีไอต้นตำรับของเมืองไทยกล่าว
Tags : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20120501/449277/เปิดความลับพอร์ต-ดร.นิเวศน์-ไตรมาสแรก..กำไรทะลุเป้า!!.html
ปล.สวัสดีวันแรงงานนะครับ
จากคุณ |
:
มิ่งกลิ้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
วันแรงงาน 55 09:35:43
|
|
|
|