Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
@@@ SCB MUTUAL FUND AND GOLD & SILVER , STOCK INVESTMENT @@@ ยามเย็น สงบศึก วันที่ 3/ 5 / 2555{แตกประเด็นจาก I12041638} ติดต่อทีมงาน

เรารักในหลวง7

NIDAITM CONTEST2 วิธีการและแนวทางในการลงทุน ของ ปีเตอร์ ลินซ์ 
โพสเมื่อ 2012-03-28 23:35:26 โดย nidaitm 
 
 

NIDAITM CONTEST2 วิธีการและแนวทางในการลงทุน ของ ปีเตอร์ ลินซ์   by NIDAITM CONTEST2 


วิธีการและแนวทางในการลงทุน 

อันดับแรก เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อรับฟังแนวคิดใหม่ๆ แนวคิดหลักของลินซ์คือ เราสามารถเลือกลงทุนได้จากสิ่งรอบตัวเรา  เช่นถ้าเราเลือกที่จะสนใจในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจอยู่แล้ว อาจจะเป็นร้านอาหาร  ร้านค้า หรือแม้แต่การสังเกตเพื่อนบ้านที่กำลังถอยรถใหม่ออกมา  หรือเห็นโรงงานข้างทางกำลังขยายโรงงาน  สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวช่วยให้เราเลือกลงทุนกับบริษัทเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม.
แหล่งข้อมูลที่คุณสามารถหาได้ดีที่สุด : งานของคุณ ซึ่งมันทำให้คุณคุ้นเคยกับธุรกิจ และคุณสามารถเข้าใจลูกค้า  และผู้ขายวัตถุดิบอยู่แล้ว เช่นหากคุณเป็นแพทย์ คุณจะเข้าใจโรงพยาบาล เข้าใจผู้ป่วย  และบริษัทเวชภัณฑ์ ว่าเขาทั้งหมดต้องการอะไร และโรงพยาบาล  และบริษัทเวชภัณฑ์สามารถสนองความต้องการของผู้ป่วยได้หรือไม่ งานอดิเรกและ การพักผ่อนของคุณ เช่นกีฬาที่เล่น สถานที่ที่เล่น  ห้างสรรพสินค้าและสินค้าที่คุณ และเพื่อนๆของคุณนิยมซื้อกัน ครอบครัวของคุณและของเพื่อนฝูง  พวกเขาก็จะมีงานและงานอดิเรกของเขาซึ่งคุณสอบถามข้อมูลจากเขาได้ การสังเกต และประสบการณ์ของคุณที่มีต่อบริษัทที่คุณรู้จัก 

อันดับที่สอง จัดหมวดหมู่ความคิดของคุณ บริษัทต่างๆสามารถจัดประเภทได้ 6 ประเภทหลักๆ ดังนี้ ประเภทอุ้ยอ้าย (Slow growers) การเติบโตของกำไรจะสุงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี ประเภทแข็งแกร่ง(Stalwarts) บริษัทที่ดีมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี - ประเภทโตเร็ว (Fast growers) บริษัทเล็กๆที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี ประเภทขึ้นลงตามวัฎจักร (Cyclicals) บริษัทที่กำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ - ประเภทเริ่มฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา  แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน ประเภทสินทรัพย์แฝง (Asset plays) บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าของสินทรัพย์  หรือมูลค่าตามบัญชีที่เราทราบแต่อีกหลายคนในตลาดยังไม่ทราบ  เช่นที่ดินที่มีอยู่อาจมีมูลค่าสูงมาก ในบริษัทประกันภัยที่ตั้งสำรองเงินประกันสูงๆ ที่มา : One Up on Wall Street, P Lynch, 1989
ใช้ความพยายามที่มีอยู่ในการหาหุ้นประเภทโตเร็ว  เพราะหากซื้อที่ราคาที่เหมาะสมอาจทำให้เราได้รับผลตอบแทนสูงถึงสิบเท่าตัว  นอกจากนั้นให้มองหาหุ้นประเภทกำลังฟื้นตัว และบางครั้งควรเป็นประเภทมีสินทรัพย์แฝง. อย่าถือเงินสด  ทางที่ดีคือนำเงินสดที่เหลืออยู่ไปลงทุนในหุ้นประเภทที่แข็งแกร่ง(Stalwarts) เพราะคุณจะไม่พลาดเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น หลีกเลี่ยง  หุ้นประเภทอุ้ยอ้าย(กำไรน้อยเกินไป) กับหุ้นประเภทขึ้นลงตามวัฎจักรที่กำลังแย่ลง

อันดับที่สาม สรุปเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับบริษัทที่เลือกได้ เหตุผลที่สนใจในบริษัทนี้ อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทนี้ประสบความสำเร็จ อุปสรรคที่จะทำให้บริษัทล้มเหลวได้ ต้องแน่ใจว่าเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทนั้น  ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ถูกต้อง เชื่อถือได้  และสามารถจัดลงในประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว  ตัวอย่างคำถามง่ายๆที่ควรจะถามตัวเองเสมอเช่น"ถ้าบริษัทนี้จัดเป็นประเภทโตเร็ว  แล้วสิ่งใดเป็นตัวที่ทำให้มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง? อันดับที่สี่ ตรวจสอบตัวเลขที่สำคัญ Fourthly, check the key numbers. ถ้าคุณสนใจในสินค้าและบริการใดในบริษัท  ให้ตรวจสอบว่ายอดขายต้องมากเท่าไรจึงจะสามารถมีกำไรในจำนวนมากได้ (ตรวจสอบ Profit  Margin) ให้ความสำคัญกับบริษัทที่อัตราส่วน P/E ต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้น (ให้ตรวจสอบ PEG) ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีเงินสดจำนวนมากพอที่จะทำให้ธุรกิจแข็งแกร่ง ให้ระวังบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนสูง(D/E หรือ Gearing สูง) โดยเฉพาะหนี้ที่มาจากวงเงินเบิกเกินบัญชี ซึ่งจะต้องจ่ายเมื่อถูกทวงถาม  ซึ่งไม่เหมือนกับหุ้นกู้ที่มีระยะเวลากำหนดแน่นอน(ถ้าเป็นหนี้ชนิดหุ้นกู้จะดีกว่าเพราะตราบใดที่ยังจ่ายดอกเบี้ยได้  เจ้าหนี้จะเอาเงินคืนก่อนกำหนดไม่ได้) หากเป็นบริษัทประเภทแข็งแกร่งหรือโตเร็ว  ให้เลือกบริษัทที่มีกำไรก่อนภาษีสูงๆ หากเป็นบริษัทประเภทเริ่มฟื้นตัว  ให้เลือกบริษัทที่ราคาต่ำแต่มีศักยภาพที่จะกลับมาสูง. อันดับที่ห้า ไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่า  กำไรขาดทุนที่จะได้รับไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมแต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่  ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น .


ซื้อหุ้นเมื่อแน่ใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ที่ราคาที่เหมาะสม  ลงทุนเต็มที่ตลอดเวลา 

ขายหุ้นประเภทแข็งแกร่ง เมื่อ PEG สูงประมาณ 1.2 - 1.4 หรือเห็นแนวโน้มว่าการเติบโตเริ่มลดลง 

ขายหุ้นประเภทโตเร็ว เมื่อเห็นสัญญาณว่าจะไม่มีทางขยายการลงทุนได้อีกแล้ว  หรือการขยายกิจการนั้นเริ่มทำให้การขยายตัวลดลง หรือเมื่อ PEG สูงประมาณ 1.5 - 2.0 ขายหุ้นประเภทมีสินทรัพย์แฝง เมื่อมีการซื้อกิจการเกิดขึ้น  หรือเมื่อกิจการขายสินทรัพย์ได้ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น

ที่มาบทความ  บทความ NIDAITM CONTEST2 ทีมงาน NIDAITM CONTEST2

 
 

จากคุณ : Star Mktg
เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 19:04:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com