ความคิดเห็นที่ 1 RCA สามารถยืนในระดับ $80 - $114 ( ซึ่งเป็นราคาที่ split par แล้ว ในบางข้อมูล RCA high ที่ $573 !!! ) หรือระดับการซื้อขายที่ PE 73 เท่าในระยะเวลาพอสมควรแม้ในช่วงเวลาเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ขาลงก็ตามที แต่ในที่สุด RCA ก็หล่นอย่างรวดเร็วมาซื้อ-ขายที่ราคา $20 ในสภาวะของเงินฝืดและการตกงานอันยาวนานในช่วงปี 1929 หรือ Great Depression ซึ่งถือว่าดีมากหากเปรียบเทียบกับหลายบริษัทที่ต้องปิดตัวไปในตอนนั้น ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนในหุ้น RCA ตั้งแต่ปี 1921 ในราคา $1 หรือคนที่ซื้อหุ้นก่อนปี 1927 ที่ราคา $11 ก็ยังพอยิ้มได้ แต่บรรดาผู้คนที่แห่กันเข้าไปในช่วง Super Bullish หลายคนต้องไปยืนขายแอปเปิ้ล (ที่ไม่ใช่ I-phone) กันตามถนน เพราะถึงแม้ว่าในระยะเวลาต่อมาจะมีสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสร้างยอดขายให้กับบริษัทมากมายแต่บริษัทก็ไม่สามารถกลับมาที่ High เดิมได้อีกเลย บทเรียนของ RCA นี้เองที่นักเศรษฐศาสตร์เราเอามาเป็น Case Study ของคำว่า'ความคาดหวังอย่างไร้เหตุผล' เหตุผลไม่ใช่อยู่ตรงที่ว่า RCA สามารถทำให้วิทยุเป็นที่นิยมในทั่วโลกได้ไหมเพราะแน่นอนว่าทำได้และพิสูจน์มาเป็นระยะเวลานาน แต่ความคาดหวังอย่างไร้เหตุผลนี้หมายถึงตัวราคาของหุ้นนั่นเองครับ จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 08:22:16

ความคิดเห็นที่ 2 ในโลกของการแข่งขัน บริษัทอาจจะออกนวัตกรรมหรือ Growth Story บางอย่างออกมาที่สามารถหากินกับ Story หรือนวัตกรรมนั่นๆได้อย่างยาวนาน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็มีเวลาของมันเอง อย่างวิทยุที่ต่อมาถูกทดแทนด้วยโทรทัศน์ เป็นต้น โจทย์ของคนเล่นหุ้นที่ยากเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ก็คือว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่นวัตกรรมใหม่จะมาหรือ Story จะจบ แต่ที่แน่ๆหากเราได้อภิสิทธิ์พิเศษในการขายราคาหุ้นในอนาคตแล้ว ยกตัวอย่าง pe 73 เท่า หรือ แม้แต่ 50 เท่า แล้วทำไมเราจะไม่ขายเพื่อลดความเสื่ยงในอนาคตที่เราไม่รู้ จริงไหมล่ะครับ ? จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 08:26:29

ความคิดเห็นที่ 3 บริษัทไม่ว่าจะดีจะเทพอย่างไงแต่ก็ต้องพึ่งพาสภาพคล่องของเศรษฐกิจ,อัตราการจ้างงานในการเจริญเติบโต หลายครั้งการวาดฝันจนสามารถดันราคาหุ้นไปถึงพีอีสูงๆได้เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต'ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานของเศรษฐกิจมหภาค' วิกฤติของสหรัฐที่ทำตัวเป็นเหมือนโดมิโน แต่เพราะเนื่องจากอะไรก็ตามทีมันเป็นโดมิโนที่ล้มช้าไม่เหมือนในอดีต ( ในกลุ่มที่ไม่ได้คิดแบบแนวความคิดสมคบคิดก้จะเชื่อว่าเป็นเพราะเรามีปี 1929 มาก่อนจึงสามารถแก้เกมส์ให้โดมิโนล้มช้าลงได้ ) แต่สุดท้ายมันก็จะล้ม.. ในตอนนี้ยุโรปก็กำลังจะล้มหลังจากยื้อมาเป็นปีๆ (นักวิเคราะห์บางคนบอกว่ายุโรปกว่าครึ่งได้เข้าสู่ Recession เป็นที่เรียบร้อย ) เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีประเทศไหนในเอเซียที่จะประสบปัญหาขาดเครดิตขาดสภาพคล่องในชั่วเวลาข้ามคืนอีก ซึ่งในโลกที่มีการกู้-ยืมซุกหนี้เต็มไปหมดกับสถาบันประเมินเครดิตและเจ้าหนี้ล้วนแต่เป็นพวกเดียวกัน อนาคตนั้นมันไม่แน่นอน...ที่เหลือก็ลองไปคิดเอาเองดูครับ ( เรื่องเปิดเสรีอาเซียนกับเรื่อง'ความคาดหวังอย่างไร้เหตุผล'จะเป็นเรื่องต่อไปเร็วๆนี้ ) จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 08:37:55

ความคิดเห็นที่ 4   เข้ามารับความรู้ครับ จากคุณ : ทองเนื้อเก้า เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 08:47:41

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ ลองคิดๆดูหากมีนักวิเคราะห์คนไหนในช่วงนั้น ที่อ่านขาดว่าหุ้น RCA ไม่ควรอยุ่เกินราคา $50 แล้วขายไป เท่ากับว่าตานั่นจะตกรถไปเกิน 100% เลยนะครับ น่าสนใจทีเดียวเมื่อเราเล่นอยุ่บนความคาดหวังของมวลชน จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 08:53:21

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าหุ้น Technology วงจรชีวิตมันสั้นนะครับ คงไม่เหมาะที่จะบอกว่า วงจรชีวิตของหุ้นค้าปลีกจะเป็นเช่นเดียวกัน จากคุณ : hunchback เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 09:05:12

ความคิดเห็นที่ 7 แต่ Technology ของ RCA นั้นสามารถหากินได้เป็นระยะเวลานานมากนะครับ มันไม่ใช่แค่วิทยุแต่รวมไปถึงการสื่อสารทางเสาอากาศต่างๆด้วย อย่างที่บอกไป...ประเด็นอยู่กับว่า'ราคาหุ้นควรอยู่ที่ตรงไหน?' หุ้น RCA ลงมาเทรดที่ $20 นั้นก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จอยู่เพราะว่ามันมาจาก $11 จริงไหมครับ ? ธุรกิจของ RCA มีสิทธิบัตรเป็น Barrier Of Entry แต่ธุรกิจค้าปลีกอย่างมาก็มีแค่ Economy Of Scale ซึ่งเป็นด่านที่ฝ่าได้ไม่ยาก หากมีการล้มโต๊ะทางการเงินโลกเกิดขึ้นบวกกับการเปิดเสรี..กลุ่มใหม่ๆก็พร้อมเข้าแทรก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่โชว์ห่วยโดนเซเว่นตีกินตลาดหรือ Cpall เคยโดน Walmart ตีกระเจิงมาแล้วจากที่เมืองจีน จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 09:11:48

ความคิดเห็นที่ 8 ทุกธุรกิจที่ดีๆมันจะมีจังหวะการเติบโตของมันเอง มีช่วงที่โตก้าวกระโดดกับค่อยๆโตเวลาธุรกิจติดลมบน ซึ่งมันก็เป๋นเรื่องปกติของมัน ปัญหาของราคาหุ้นก็คือว่า บางครั้งมันอาจจะโตชันๆตลอดๆสวนกับการโตของบริษัทที่เริ่มออกไปทางทรงๆที่จะทำให้เกิดปัญหามากกว่า นึกออกไหมครับ ? จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 09:16:39

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีค่ะ ไม่ได้โพสหลายวันเลยนะคะ คิดถึงค่ะ  ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ จากคุณ : BB TERRACE (BB TERRACE) เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 09:25:55

ความคิดเห็นที่ 10 คิดถึงเฮียเวอร์จังครับ มาๆขอจูบทีนึง จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 10:08:35

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ครับ มุมมองผมเกี่ยวคับธุรกิจค้าปลีก ผมไม่คิดว่าอีกสิบปีจะโตได้ในอัตราเร่งระดับนี้แล้วครับ ตั้งแต่ มีเริ่มสัญญาณวิกฤตเกี่ยวกับอาหาร(เข้าใจว่าปี 2008) ซีพีก็มองเห็นช่องทาง ที่เอาพวกอาหารกล่องทั้งหลาย มาวางขาย ซึ่งตรงนี้ประสบความสำเร็จมาก...แต่พอสำเร็จพวกอาหารกล่องพวกนี้กจะเริ่มเห็นตาม แฟมิลีมาร์ท โลตัส (มันเลียนแบบกันได้นี่นา) ....แต่อย่าลืมว่าธุรกิจค้าปลีก พอถึงระดับนึง มาร์จิ้นจะต่ำ  เอาง่ายๆ มีโลตัสเอกเพรสมาเปิดข้างๆเซเว่น ถ้าของชนิดเดียวกันหรือคล้ายกัน ถ้ามว่าจะเลือกซื้ออะไรล่ะครับ  คำตอบคำถ้าคุณภาพไม่ต่างกันก็ต้องราคาต่ำกว่า จริงมั้ยครับ ข้อต่อมาเรื่องขยายสาขา ผมยกตัวอย่างๆนี้นะครับ แถวบ้านผม  2 ปีก่อน มีร้านเซเว่น 2 ร้านถัดไป 2 ซอย ผมก็ไปซื้อร้านสลับๆกันไป ปีต่อมามาเปิดอีกร้าน ซอยถัดไป ซึ่งใกล้บ้านผมมากกว่าเดิม ผมก็ไปร้านนี้แทน 2 ร้านแรกที่ไปสลับๆกันก็แทบไม่ได้ไปอีกเลย ผมร้านใหม่เดินใกล้มากกว่า (เดินได้หมดนะครับ ซอยไม่ห่างกันมาก) ปีนี้ มีร้านมาเปิดในซอยบ้านผม(ขยายสาขาอีกแล้ว) ทีนี้ผมก็เปลี่ยนมาซื้อที่ร้านนี้แทน ซึ่งก็ซื้อบ่อยขึ้นครับ เพราะมันใกล้มาก แต่ถามว่า ซื้อเพิ่มขึ้น อีก 100 % หรือเปล่า จากการที่ขยายสาขาเพิ่มจาก 2 เป็น 4 คำตอบคือไม่ใช่ครับ เพิ่มนิดเดียว ส่วนเรื่องการขยายสาขา ในต่างประเทศ ส่วนตัวผมเชื่อว่าไม่ง่ายเหมือนในประเทศไทยนะ สำหรับธุรกิจค้าปลีก  ยกตัวอย่างธุรกิจค้าปลีก ขาลุยอย่างโลตัส ทำไมไม่ประสบความสำเร็จในประเทศตัวเองเท่าที่ควรล่ะครับ  ติดเรื่องกฎหมายครับ ซึ่งเชื่อว่าต่อไปอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ก็จะมีกฎหมายจัดระเบียบค้าปลีกเหมือนกัน เพราะเป็นธุรกิจที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศครับ (พอดีผมเคยทำวิจัยเรื่องนี้น่ะครับ) ที่สำคัญคู่แข่งยังเยอะอีกต่างห่าง ความเห็นผมถึงเชื่อว่าไม่มีธุรกิจไหนที่จะพีคได้ตลอดหรอกครับ ยิ่งธุรกิจที่มาร์จิ้นต่ำยิ่ง จะถึงจุดอิ่มตัวไวขึ้นครับ ยกเว้นจะเป็นรายใหญ่ที่ครองตลาดส่วนใหญ่ได้จริงๆ แต่ก็ยังเชื่อว่าธุรกิจนี้ยังไปได้อีกหลายปีนะครับ มองระยะยาวจริงๆ ธุรกิจอาหารที่ครบวงจรอย่าง cpf ดูดีกว่า cpall เยอะนะครับ (เกี่ยวมั้ยเนี่ย 555+) จากคุณ : tonmai08 เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 10:10:48

ความคิดเห็นที่ 12 คุณยังต้องกินอาหารทุกมื้อรึเปล่า ชีวิตคุณยังต้องรีบเร่งกับเรื่องเวลาอยู่รึเปล่า แนวคิด  7-11 ชัดเจนมาก เรื่อง "อิ่มสะดวก" อิ่มท้องและสะดวกซื้อเพื่อประหยัดเวลา หุ้นคงไม่ตายไปจากตลาดง่ายๆหรอกครับ เพราะ บริษัทแม่ CP group คุมตั้งแต่วัถุดิบต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คู่แข่งรายใหม่ จะมาแข่งก้อยากพอสมควร แต่เห็นด้วยครับเรื่องราคา โตเกินพื้นฐานเพราะให้ forward PE กันไปมาก เดี๋ยวราคานิ่งๆตรงไหนซัก 3 เดือน ก้อตรงนั้น คือราคาที่ตลาด ยอมรับได้ ครับ จากคุณ : waterwolrd เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 10:39:24

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : chi_pentium เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 10:59:03

ความคิดเห็นที่ 14 ขอสมัครเป็นลูกศิษย์พี่เวอร์ค่ะ ต้องเสียค่ายกครูไหมคะ จากคุณ : ติ้วหวิว เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:02:28

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ใจเย็นๆครับ ผมแค่นำเสนอข้อมูลมาให้ประกอบการตัดสินใจเฉยๆ ไม่ได้เป็นกูรูอะไรแต่เรื่อง Forward PE และความคาดหวังกับความจริงนั้น เหล่านี้เป็นประโยชน์สำหรับกระแส Cpall ในตอนนี้ครับ ลองอ่านแล้วเอาไปขบคิดดูกันเองนะครับ ^ ^" แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 17:38:28 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 17:38:17 จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:35:11

ความคิดเห็นที่ 16 STEM (stemcell) ด้วยหรือเปล่าครับ เมกันชอบ growth stock (PE สูง PEG ต่ำ) จากคุณ : You'll never walk alone เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 17:58:24

ความคิดเห็นที่ 17 อเมริกาบ้าพวกนวัตกรรมใหม่ๆครับ เพราะประสิทธิภาพของกฏหมายสิทธิบัตรและขนาดของตลาด เวลามีอะไรใหม่ๆบูมๆเข้ามาตลาดจะให้ Forward PE สูงๆทันที ทำให้เกิดฟองสบู่แตกบ่อยๆ เช่น ฟองสบู่ดอทคอม แต่ในกรณีของ RCA เนี่ยผมว่าเป็นกรณีที่ดีเพราะเป็นหุ้นที่ดีจริงๆในช่วงนั้น เพียงการที่ราคาหุ้นมันวิ่งล้ำอนาคตเกินไปเลยกลายเป็นปัญหา มองในแง่ร้ายก็คือว่านายตลาดอาจรู้หายนะล่วงหน้า เลยลากไปทำกำไรซะเลยล่วงหน้า เลยแบบนี้เกิดขึ้นตลอดครับมันเหมือนกับเป็นเรื่องบังเอิญแต่ไม่ใช่ เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้เละข้ามคืนในปี 1929 แต่ส่งสัญญานเตือนล่วงหน้าเป็นปีก่อนหน้านั้นด้วยตัวเลขชะลอตัวต่างๆ เพียงราคาหุ้นมันดันขึ้นพรวดๆๆสวนกับสภาวะความเป็นจริงเอง เรื่องนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆทั่วไปที่ปชช.สหรัฐไม่รู้ หลายคนยังเข้าใจอยู่เลยว่า Great Depression เกิดจากฟองสบู่หุ้นแตก แต่จริงๆมันไม่ใช่เลย ปี 39-40 บ้านเราก็เหมือนกันครับ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆออกมาไม่ดีแล้วแต่นักลงทุนก็ไม่สนใจอะไรเพราะมัวแต่ไปโทษน้ำท่วมปี 38 หุ้นก้ขึ้นพรวดๆๆหลังจากนั้นก็... จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:19:02

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องราวของปี 1929 และต้มยำกุ้งนั้นน่าสนใจมากๆครับ ว่างๆลองหาหนังสือมาอ่านดู จะเห็นว่าแท้จริงในช่วง 1920 - 1929 มีวิกฤติจากต่างประเทศให้คนตกใจอยุ่ตลอดแต่สุดท้ายดาวน์ก็ทำ New High ได้เรื่อยๆก่อนลงนรก ก่อนปีต้มยำกุ้งก้ใช่ ก่อนหน้านั้นมีทั้งสงครามอิรัก,ปฏิวัติและฟองสบู่อสังหาแตก SET เราก้เอาตัวรอดมาได้ พอตัวเลขขาดดุลย์โผล่มาหน่อยคนเลยมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆจากผลกระทบน้ำท่วม SET ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดขึ้น 300 จุดในเวลาแค่ 2-3 เดือน ( เนื้อเรื่องคุ้นๆไหมครับ ? ) แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 18:26:16 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 55 18:25:17 จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 18:23:11

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบการเขียนของพี่เวอร์จริงครับๆ จากคุณ : Mardosi เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 20:31:45

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องโทษพวกห้องหว้ากอนะครับ แฉGT200เร็วไป ไม่งั้นล่ะมิงเอ๊ย นวัตกรรมล้ำยุคเข้าSETเมื่อไหร่มีหวังได้เป็นgrowth stock จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 00:22:38