สง่า ตั้งจันสิริ - พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ กอดคอ..โกยกำไรหุ้น
|
|
การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน วันที่ 8 พฤษภาคม 2555 01:00 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นรอบนี้เหนือ 1,200 จุด นักลงทุนส่วนใหญ่ "กระเป๋าตุง" กันถ้วนหน้า รวมถึง "สองเพื่อนรัก" แม้พอร์ตลงทุนจะไม่ใหญ่
"นิค" เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นประมาณ 80 ล้านบาท ส่วน "แซน" นักแสดงมากฝีมือที่มีดีกรีรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 15 (2543) ดาราสนับสนุนชายดีเด่น จากละคร "หงส์เหนือมังกร" เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้น "หลักล้านบาท" แม้พอร์ตลงทุนจะห่างกันมาก แต่สายสัมพันธ์กลับใกล้ชิดสนิทสนม
อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองจะกริ๊งกร๊าง!!! ปรึกษาปัญหาเรื่องหุ้นกันในบางครั้ง แต่ก็แทบไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นพร้อมกัน นี่คือคำยันยืนจากปากคำของ "สองหนุ่ม" โดยล่าสุด สง่าเข้าไปช้อนหุ้น แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) ของ "เสี่ยก๊อง" วุฒิชัย ลีนะบรรจง จำนวน 5.92 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.17% ตามคำแนะนำของ "บิดา" ชวน ตั้งจันสิริ ที่ถือหุ้น CEN จำนวน 2.88 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.57% งานนี้ไม่ได้ชักชวน “เพื่อนรัก” ให้ร่วมวงด้วย
สง่า ตั้งจันสิริ เซียนหุ้นรายใหญ่เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟัง! ด้วยน้ำเสียงที่อารมรณ์ดีว่า หลังสรุปตัวเลขการลงทุนใน "ไตรมาสแรก" สามารถทำกำไรได้ราวๆ 15-20% เพราะเลือกช้อนแต่ "หุ้นปันผล" ที่มีผลประกอบการดีๆ เข้าพอร์ต ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างน่าพอใจ "ทำให้ผมมีความสุขมากมาย" (หัวเราะอย่างอารมณ์ดี)
ในช่วงปลายปี 2554 นิคมีหุ้นอยู่ในพอร์ต 8-10 ตัว โดยเลือกที่จะขายหุ้นปันผลที่ถืออยู่ 5-6 ตัวออกไปเพื่อทำกำไร เลือกเก็บเฉพาะ "หุ้นตัวแก่ง" ทำให้เหลือหุ้นติดพอร์ตประมาณ 4 ตัว เขายกตัวอย่าง หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ของ วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค หุ้นกรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ และหุ้นในกลุ่มอาหาร โดยตั้งใจจะ "ถือยาว" เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาส "ไปต่อ" ได้อีก
เซียนหุ้นหนุ่ม วิเคราะห์หุ้นที่ถืออยู่ในพอร์ตให้ฟังว่า เหตุผลที่ยังถือหุ้น BGH (หุ้นรพ.กรุงเทพ) เท่าที่ดูจากพื้นฐานแล้วโอกาสที่ราคาหุ้นจะทะยานไปแตะ 100 บาท "มีสูงมาก" เพียงแต่ต้องอดใจรออีกนิด ส่วนตัวชอบนโยบายของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่เดินหน้าซื้อหุ้นโรงพยาบาลเกรด A หลายๆ แห่ง (เช่น รพ.บำรุงราษฎร์, รพ.รามคำแหง ฯลฯ) จะทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้น แถมมีฐานลูกค้าตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นอีกด้วย
"ถ้าให้วิเคราะห์ต่อ รพ.กรุงเทพ ต้องหาโอกาสซื้อหุ้นโรงพยาบาลเกรด B อีกแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาจะมีอำนาจในการกำหนดราคาค่ารักษาพยาบาล และค่ายาในอนาคต ฉะนั้นราคาหุ้นมีโอกาสพุ่งขึ้นอีกแน่นอน สิ่งที่พูดไปทั้งหมด ผมวิเคราะห์เอาเองเป็นความคิดเห็นส่วนตัว"
สำหรับหุ้น MINT เข้าไปเก็บต้นทุน 11 บาท เคยขึ้นไปที่ 14.60 บาท ตอนแรกตั้งใจจะขาย 16 บาท แต่เปลี่ยนใจแล้วจะขอดูแนวโน้มผลประกอบการอีกครั้งก่อน เท่าที่ดูงบการเงินเขาแข็งแกร่งมาก ฉะนั้นโอกาสหุ้นไปต่อก็ "มีสูง" ส่วนหุ้นกลุ่มอาหารอีกตัว (ไม่อยากเอ่ยถึง) ตัวนี้ทิศทางยังดีอยู่ ถ้ามีโอกาสจะหาจังหวะซื้อเพิ่มเติม
ถามว่าช่วงนี้ดูหุ้นอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ สง่า บอกว่า กำลังสนใจหุ้น "กลุ่มสื่อสาร" มีคนที่รู้จักแอบกระซิบว่าหุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) "กำลังจะมา" กำหนดกลยุทธ์การลงทุนไว้ว่าจะซื้อแถวราคา 3.5 บาท ประมาณ 10% ของจำนวนที่ตั้งใจจะซื้อก่อน จากนั้นก็จะทยอยซื้อขั้นละ 10% ไปจนครบ 100% หากราคามีโอกาสไปต่อ และเมื่อแตะ 4 บาท "จะขายเลย"
"มีคนบอกว่า ทุกครั้งที่หุ้นกลุ่มซีพี "มา" ไม่ว่าจะเป็นหุ้นทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) หุ้นซีพี ออลล์ (CPALL) และหุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เขาจะมากันทั้งกลุ่มแต่จะมากัน "คนละรอบ" โดย (1 รอบ) ใช้เวลาเล่นประมาณ 3-6 เดือน ผมคิดว่ากลุ่มซีพี เป็นหุ้นที่มี “เสน่ห์” เขามีพื้นฐานที่ดี ที่สำคัญมีคนดูแลหุ้นด้วย"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2555 เซียนหุ้นหนุ่ม กล่าวว่า จะเน้นซื้อหุ้นที่มีอัพไซด์ประมาณ 15-20% โดยจะซื้อลักษณะ "ขั้นบันได" ขั้นละ 10% ทั้งหมด 10 ขั้น และเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุน 10% "ผมจะขายทันที" เล่นแบบนี้ "ไม่ขาดทุน" เมื่อก่อนชอบซื้อครั้งละมากๆ พอหุ้นลงก็เจ็บตัวหนักทุกที
ด้านเป้าหมายกำไรจากการลงทุนในปีนี้ นิค บอกว่า ตั้งไว้ราวๆ 30% ภายใต้สมมติฐาน SET Index ทะยานไปแตะระดับ 1,300-1,400 จุด แต่หากดัชนียืนได้เพียง 1,200 จุด ก็คาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า 10% เท่านี้ "ผมก็แฮปปี้” แล้ว แต่ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 1,300 จุด ได้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดีขึ้น แม้การเมืองจะออกสีเทาๆ แต่ต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากหุ้น TRUE ที่ล็อกเป้าไว้แล้ว ยังเล็งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไว้ด้วย โดยเฉพาะหุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เป็นหุ้นที่ชอบมาก เพราะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างโครงการได้อย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 6-8 เดือน ไม่มีใครทำได้แบบเขา
"ผมเล่นหุ้น PS มานานหลายปีแล้ว ซื้อๆขายๆตลอดเวลา เคยซื้อตอนราคา 10 บาท หุ้นเคยขึ้นไปถึง 24-25 บาท แต่พอ “เจ้าของ” (ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์) ขายหุ้นออกมาราคาหุ้นก็ร่วง เชื่อว่าวันหนึ่งราคาจะกลับไปยืน 20 บาทได้ ผมมีหุ้น PS ต้นทุนประมาณ 12 บาท แต่ถ้านำเงินปันผลมาคิดกับต้นทุน น่าจะมีต้นทุนเหลือเพียง 8 บาท ซึ่งถือว่าต่ำมาก"
ด้านดารานักเล่นหุ้น "แซน" พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีเช่นกันว่า ช่วงนี้ “แฮปปี้” มาก ไม่ต่างกับเพื่อนรัก (หัวเราะ) เพราะได้กำไรไปเที่ยวภูเก็ตในช่วงวันสงกรานต์แบบสบายใจสุดๆ หลังขายหุ้น 2 ตัว (RAIMON, SIRI) ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ซึ่งการขายหุ้นรอบนี้แม้ราคาจะไปไม่ถึงราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์หลายคนทำนายไว้ แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
สำหรับหุ้นที่ถือว่าได้กำไรอย่างงดงาม เขาบอกว่า ได้กำไรมาจากหุ้น ไรมอนแลนด์ (RAIMON) เฉลี่ย 30% หลังซื้อมาตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ชอบหุ้น RAIMON เพราะรู้มาว่าปีนี้ เขาจะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม THE River ค่อนข้างมาก จะทำให้ฐานะของบริษัทดีขึ้น แถมยังมีแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย
ปัจจุบันหุ้น RAIMON เซียนหุ้นรายใหญ่เข้าไปเล่นกันครบ อาทิ "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ฯลฯ
"ตอนแรกตั้งใจจะถือหุ้น RAIMON ไปจนถึงระดับ 2 บาท แต่สุดท้ายก็ขายออกมาก่อน "ไม่กล้าเสี่ยง" ขอทำรอบเล่นสั้นๆ ดีกว่า “เอากำไรน้อยแต่ชัวร์” เพราะดูตามสัญญาณทางเทคนิคแล้ว เห็นว่าสัญญาณขายกำลังจะมาเยือนแล้ว ส่วนสัญญาณซื้อจะมาอีกครั้งตอนไหนต้องไปดูรายละเอียดอีกที ผมไม่อยากดื้อถือหุ้นไปจนถึง 2 บาท รู้สึกว่าได้กำไรเท่านี้ ก็มีความสุขแล้ว" เจ้าตัวบอก
นอกจากนี้ แซนยังได้กำไรจากหุ้น แสนสิริ (SIRI) เฉลี่ยประมาณ 30% ที่เล่นตัวนี้เพราะเขามีแผนจะลงไปจับตลาดระดับล่างซึ่งเป็นตลาดที่ไม่เคยทำมาก่อน วิเคราะห์ว่ารัฐบาลมีโครงการบ้านหลังแรก แสนสิริน่าจะได้ประโยชน์อย่างมาก ที่สำคัญบริษัทได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมน้อยมาก
ดาราเจ้าบทบาท เล่าต่อว่า กำลังจับตาดูหุ้นอยู่ 2 ตัว ได้แก่ หุ้น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) และหุ้น ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ดูตามสัญญาณทางเทคนิคแล้วหุ้น 2 ตัวนี้กำลังจะมา โดยดูทั้งเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) สัญญาณ MACD และเครื่องมือ RSI ขณะเดียวกันในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน 2 บริษัทนี้น่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งขอกลับไปลงลึกในรายละเอียดให้แน่ใจก่อน สำหรับการเลือกหุ้นลงทุนของแซน นอกจากใช้เครื่องมือทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานคัดกรองหุ้นแล้ว ยังมีพรายกระซิบเป็นมาร์เก็ตติ้งคอยโทรศัพท์มาบอก
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2555 ดาราเจ้าบทบาท บอกว่า ให้น้ำหนักที่การใช้กราฟทางเทคนิควิเคราะห์หุ้นมากขึ้น และคงไม่ซื้อขายหลายตัวเหมือนก่อน ตั้งใจจะมีหุ้นในพอร์ตเพียง 4-5 ตัว และจะไม่ซื้อเร็ว-ขายเร็วเหมือนเคย เพราะไม่ค่อยเวลา ช่วงนี้มีงานไปถ่ายละคร 4-5 เดือน เรื่อง “แผลเก่า” ที่เตรียมออกอากาศทางช่อง 9 ตอนนี้ยังไม่ได้ซื้อหุ้นตัวไหนเข้าพอร์ต มาร์เก็ตติ้งก็โทรมาบอกให้ซื้อตัวนั้นตัวนี้
สำหรับเป้าหมายผลตอบแทนในปีนี้ เจ้าตัวอยากสร้างผลงานทำกำไร 30-50% ของพอร์ต เทียบกับปี 2554 ทำกำไรได้กว่า 30% แต่ไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดได้ เพราะซื้อขายหุ้นเยอะมากและเข้าเร็วออกเร็วด้วย "ผมจำไม่ได้จริงๆ" (หัวเราะ)
แซน บอกว่าที่ผ่านก็โทรคุยกับ “นิค” เรื่องการลงทุน แต่ไม่ได้บ่อยมาก ตอนนี้เขาเล่นหุ้นอะไรอยู่ก็ยังไม่ได้โทรไปถาม (ย้อนถามนักข่าว) ถ้ารู้มาบอกผมด้วยนะ เมื่อทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจ BizWeek บอกว่า “เซียนนิค” สนใจ "หุ้นสื่อสาร" แซนรีบตอบสวนกลับทันทีว่า ใช่ๆ..กลุ่มนี้น่าสนใจมาก ยิ่งถ้า 3จี เกิดหุ้นสื่อสาร "รุ่ง” แน่! นักลงทุนคงได้ 2 เด้ง ทั้งในส่วนของมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น และเงินปันผล ก่อนจะรีบแก้เกี้ยวว่า "นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ"
เซียนหุ้นดาราวัย 34 ปีรายนี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า ส่วนตัวเชื่อว่า SET Index น่าจะสร้าง “นิวไฮ” ใหม่ที่ระดับ 1,300-1,400 จุด เพราะจากการศึกษาข้อมูลด้านต่างๆ เห็นว่ามีปัจจัยดีมากมายพร้อมสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มดีขึ้น การเมืองที่ไม่วุ่นวาย และต่างประเทศไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
8 พ.ค. 55 13:37:16
|
|
|
|