เมษายน 2, 2012 ที่ 01:09 · Filed under Uncategorized จากเว็ป Hongvalue's Blog'
ROE สูงแล้วดีอย่างไร ???
หลายคนอาจจะรู้ว่า ROE สูงหมายถึงผลตอบแทนของบริษัททำได้สูงเมื่อเทียบกับทุน แต่วันนี้ผมจะเล่ารายละเอียดเพิ่มว่า ROE ที่สูงต่อเนื่องนั้นส่งผลต่อ wealth ของผู้ถือหุ้นสูง
ยกตัวอย่าง บริษัท มองได้แต่อย่าชอบ มีทุน 1,000ล้าน ทำกำไรได้ปีละ 200ล้าน ดังนั้น ROE จึงเท่ากับ 20% ถ้าบริษัทมองได้แต่อย่าชอบไม่จ่ายปันผลเลย ในปีต่อมา ทุนของบริษัทจะกลายเป็น 1,200ล้าน เพราะ 200ล้านจะเป็นกำไรสะสมของบริษัท ถ้าบริษัทจะรักษา ROE 20% บริษัทจะต้องมีกำไรโต 20% ซึ่งกำไรจะเพิ่มจาก 200ล้านเป็น 240ล้าน ซึ่งจะทำให้บริษัทมี ROE ในปีต่อมาที่ระดับ 20% ผมลองดูหุ้น 20-30 ตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าถือระยะยาว เกือบทุกตัวจะมี ROE สูงสม่ำเสมอ ผมไม่แปลกใจเลยเพราะการรักษา ROE ในระดับสูงได้นานๆแสดงว่าการเติบโตของกำไรในระยะยาวจะต้องสูงด้วย และหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรระยะยาวสูงต่อเนื่อง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ถือหุ้นจะมีความมั่งคั่งสูง
แต่การดู ROE ก็ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีก ก็คือว่าถ้าบริษัทจ่ายปันผล 100% ของกำไรที่บริษัททำได้ แม้บริษัทจะกำไรไม่โต แต่บริษัทก็สามารถรักษา ROE ในระดับสูงได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท รักนะเด็กโง่ มีทุน 2,000ล้าน และมีกำไร 400 ล้าน ก็จะมี ROE 20% ถ้าบริษัทนี้ปันผลออกมาทั้งหมด 400ล้าน ทุนของบริษัทก็จะเท่าเดิมก็คือ 2000 ล้านและถ้าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมคือ 400ล้าน บริษัทก็จะมี ROE 20%ไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าแม้กำไรไม่โต ROE ก็สูงต่อเนื่องได้ ซึ่งผมคิดว่าบริษัทลักษณะนี้ ระยะยาวแล้วผู้ถือหุ้นน่าจะได้อะไรน้อยกว่าบริษัทที่ไม่ปันผลเลยแต่โตปีละ 20%
ดังนั้นถ้าเราเห็นหุ้นบางตัวมี ROEสูงต่อเนื่อง แต่เกิดกับบริษัทปันผลออกมาทั้งหมดของกำไรที่ทำได้ แบบนี้หุ้นตัวนี้อาจเข้าข่ายหุ้นที่ธุรกิจถึงอิ่มตัวเลยไม่ต้องนำเงินไปลงทุนเพิ่มก็ได้ นอกจากนี้การดู ROEจะมีหลายคนถกประเด็นเรื่องการก่อหนี้ของบริษัท เนื่องจากถ้าบริษัทก่อหนี้สูงและใช้ทุนต่ำ แม้บริษัทจะมี ROEสูง แต่บริษัทก็ดูมีความเสี่ยงสูง ประเด็นนี้ผมว่าเราต้องดูรายละเอียดเป็น case by case
เช่นบางบริษัทมี D/E 0.4 เท่า และขายของเป็นเงินสด บริษัทจะขยายโรงงาน ถ้าดูจาก D/E ratio บริษัทคงจะกู้เงินได้สบายแต่บริษัทกลับเลือกเพิ่มทุน แบบนี้คงไม่เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น เพราะการเพิ่มทุนจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่ม ในกรณีนี้แม้บริษัทจะมี D/E ต่ำก็ไม่ถือว่าดี เพราะบริษัทเลือกที่จะไม่กู้ทั้งๆที่กู้ได้ ในทางกลับกันถ้าอีกบริษัท D/E 0.8เท่า และเลือกจะกู้เพิ่มเพื่อลงทุน ทำให้หนี้เพิ่มขึ้น 50% D/E ก็กลายเป็น 1.2เท่า ถ้าการขยายกำลังผลิตเกิดผลสำเร็จขายของได้ดี กำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและทำให้ ROEสูงขึ้น ในกรณีนี้แม้ ROEสูง จากการเพิ่ม debt แต่ก็ถือว่าดีกว่าบริษัทแรกที่เลือกเพิ่มทุนทั้งๆที่กู้ได้ ถ้าเราจะตัดสินว่าบริษัทหลัง ROEสูงกว่า เพราะ D/Eสูงกว่า และมองว่าหุ้นไม่น่าสนใจเท่าบริษัทแรกเราก็อาจจะหลงประเด็น เท่าที่ผมรวบรวมข้อมูลของหุ้นที่ฟื้นตัวแรงๆหลังวิกฤติหลายตัว เป็นหุ้นที่ ROEสูง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราเข้าใจว่า ROE ที่สูงส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นอย่างไร
คำถามคือ
ROE เท่าไหร่ถึงจะดี
ถ้าเราคิดว่า ROE สูงๆสม่ำเสมอเป็นเรื่องดีแล้ว จะมีคำถามว่าแล้วระดับของ ROE ควรจะเป็นกี่% ผมคิดว่าควรจะมากกว่า 20%ต่อเนื่อง
ถามว่าทำไมนั้นก็เพราะ ROE ควรจะมากกว่า WACCซึ่งWACC คือต้นทุนของบริษัทที่เป็นการถัวเฉลี่ยระหว่างส่วนของทุนและเงินกู้ ซึ่งปกติแล้วต้นทุนของบริษัทมักจะอยู่ในระดับ 8-10%โดยเฉลี่ย ถ้าบริษัทมี ROEเพียง 5% เท่ากับว่าต้นทุนของบริษัทสูงกว่าผลตอบแทนที่บริษัททำให้กับผู้ถือหุ้นหรือ WACC>ROE
ถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆ ผู้ถือหุ้นของบริษัทคงแทบไม่ได้อะไรเลย เข้าข่ายเป็นบริษัทประเภท destroy value ซึ่งผมเห็นบริษัทที่มีโครงสร้างลักษณะนี้ ส่วนใหญ่หุ้นจะต่ำ BVเยอะ แล้วคนถือหุ้น 3-5ปี ก็จะแทบไม่ได้กำไร ส่วนใหญ่ขาดทุนด้วยซ้ำ
ในทางกลับกันผมคิดว่าถ้าต้นทุนของบริษัทโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 8-10% ROEที่สูงกว่าในระยะยาวก็ย่อมต้องสร้าง wealth ให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนตัวผมจะสนใจถ้าหุ้นมี ROE มากกว่า 20%ขึ้นไป เพราะว่ามากกว่าต้นทุนของบริษัทถึงสองเท่า แบบนี้ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ค. 55 15:46:44
|
|
|
|