|
หุ้นหายากมาก ที่ได้ก็ถูกลดลงไปมาก พนักงานตอนแรกได้สิทธิ์ซื้อ 200,000 หุ้น นอกจากได้หุ้นฟรี ก็ถูกลดจำนวนหุ้นลง(แล้วหุ้นไปไหน) หุ้นก็ไปอยู่ในมือรายใหญ่ผู้มีอุปการะคุณ แล้วก็สถาบันทั้งไทยและต่างประเทศถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ถ้า IPO 1,212.5 ล้านหุ้น ก็อยู่ในมือสถาบันรายใหญ่ สถาบันการเงิน 800 ล้านหุ้นและพนักงานแอร์เอเชียกว่า 60-70 ล้านหุ้น แล้วก็ อยู่ในมือรายย่อย 300 กว่าล้านหุ้น อันดับแรกคือ หุ้นมีความต้องการมากๆ หาหุ้นยาก ราคาน่าจะเปิดสูงกว่าจองพอสมควร มีคนตั้งโต๊ะซื้อนอกตลาดเพราะไม่ได้หุ้น ประมาณ 3.90-4.00 บาท ถ้าเป็นเช่นนั้น เข้ามาราคาแรงแน่ๆ และที่หมดห่วงก็คือ ผู้มีอุปการะคุณ และพนักงานห้ามขาย ในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี ช่วงแรกอาจะมีคนไล่หุ้นเพื่อเอาหุ้นเล่นแล้วไปขายในราคาสูง แล้วซักพักเมื่อได้หุ้นเยอะแล้ว ก็ทุบหุ้นเพื่อทำกำไร แล้วก็ทุบหุ้นเพื่อให้ได้ราคาที่ต่ำลงไปอีก หลังจากนั้นก็จะมีเริ่มสะสมหุ้น แล้วลากขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่ตัวเองจะได้ขายได้ ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาเหมาะสมที่หมดห้ามขายหุ้นที่ล๊อคไว้ ..... รายใหญ่ที่ถือหุ้น และสถาบันทั้งในและนอกประเทศที่ถือหุ้น คงไม่ปล่อยให้ราคาหุ้นที่ตัวเองยังไม่ได้ขายต่ำกว่าจองหรอกครับ อย่างน้อยถ้าหุ้นยิ่งน้อย จะไล่ทำราคายิ่งง่ายพอถึงเวลา ที่หุ้นที่ถูกกั๊กไว้ไม่ให้ขายขายได้ ก็มันส์หละครับ ปริมาณการซื้อขายของหุ้นจะเยอะมากๆ ทำให้กลับมามีสภาพคล่องในการขายมากขึ้น แต่หลังจากนั้น อีก 6 เดือน ถึง 1 ปี ก็ค่อยว่ากันตามผลประกอบการครับ.... ผมคิดว่า น่าจะเป็นข้อ 1 ตามโหวตเพราะผมก็มีอยู่ คับ
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 55 01:48:26
จากคุณ |
:
*-* (hanbaki)
|
เขียนเมื่อ |
:
30 พ.ค. 55 01:37:40
|
|
|
|
|