ผมเอาเนื้อหามาจากเว็บคลับวีไอ เนื้อหาอาจจะยาวหน่อยแต่ว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
สิ่งที่เรามองว่าเป็น "ความบ้าคลั่ง" ของคนในอดีต ที่จริงแล้วคนในยุคนั้นอาจมองว่ามันมีเหตุผลและเป็นการลงทุนที่ดีก็ได้ ทิวลิปในสมัยนั้นอาจเทียบเคียงได้กับเพชรเม็ดงามที่หายากและมีคุณค่าในยุคปัจจุบัน หรือทองคำแท่งซึ่งทวีมูลค่าไปตามเวลา เหมาะแก่การถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
แต่มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร
----------------------------------------------
เล่าเรื่อง ทิวลิปเมเนีย
โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช (ทีมงานคลับวีไอ)
ทิวลิปเมเนีย (Tulip Mania หรือ Tulipomania) เกิดขึ้นใน ยุคทอง (Golden Age) ของเนเธอร์แลนด์ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1630 ซึ่งราคาค่าสัญญาสำหรับสิทธิ์ในการซื้อดอกทิวลิปพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ก่อนจะล่มสลายลงในที่สุด ณ จุดสูงสุดของทิวลิปเมเนีย เมื่อเดือน ก.พ. ปี 1637 ทิวลิปบางดอกขายกันอยู่ที่ราคาสูงกว่า 10 เท่าของค่าจ้างรายวันของแรงงานชั้นดี
แม้ในภาพยนตร์เรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps ตัวละครเอกของหนังคือ กอร์ดอน เกคโค ยังพูดกับว่าที่ลูกเขยตัวเองซึ่งเป็นเทรดเดอร์ดาวรุ่ง ถึงปรากฏการณ์ ทิวลิปเมเนีย ว่า ราคาของทิวลิปบางดอกในยุคนั้น สามารถเอาไปซื้อคฤหาสถ์หรูริมน้ำได้เลยทีเดียว
ทิวลิป เข้ามาในยุโรปครั้งแรก เมื่อทูตของประเทศตุรกีนำดอกของมันพร้อมเมล็ดพันธุ์เข้ามาในเมืองเวียนนา ปัจจุบันคือประเทศออสเตรีย จากนั้น ทิวลิปได้แพร่กระจายไปในหลายเมืองใหญ่ รวมทั้งในอัมสเตอร์ดัม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความนิยมที่ผู้คนมีต่อทิวลิปได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการค้าของเนเธอร์แลนด์ที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด จนเรียกกันว่าเป็น ยุคทอง ว่ากันว่าพ่อค้าวาณิชชาวดัตช์เพียงล่องเรือออกไปค้าขายเที่ยวหนึ่ง ก็สามารถทำกำไรจากการขายสินค้าได้ถึง 400 เปอร์เซ็นต์ จนมี เศรษฐีใหม่ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
เมื่อมีเงินแล้ว เศรษฐีใหม่เหล่านั้นก็เริ่มมีค่านิยมในการสร้างบ้านหลังใหญ่ๆ โดยปลูกสวนดอกไม้ไว้รอบๆ บ้าน เพื่อแสดงฐานะ และดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งได้ดีที่สุด ก็คือ ทิวลิป นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จาก พฤกษางาม ธรรมดา ทิวลิปจึงกลายเป็น ของมีค่า ไปโดยปริยาย
-------------------------------------------------
เครดิต http://www.clubvi.com/2012/05/24/tulipmania/