Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เงินที่หล่นหาย ติดต่อทีมงาน

บทความโดย : บรรยง วิทยวีรศักดิ
อย่าดูถูกละอองน้ำ     เพราะวันหนึ่งมันจะกลายเป็นเม็ดฝน
อย่าดูถูกเม็ดฝน         เพราะวันหนึ่งมันจะกลายเป็นลำธาร
อย่าดูถูกลำธาร          เพราะวันหนึ่งมันจะกลายเป็นแม่น้ำ
อย่าดูถูกแม่น้ำ           เพราะวันหนึ่งมันจะกลายเป็นมหาสมุทร
อย่าดูหมิ่นเงินจำนวนน้อย        วันหนึ่งมันจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่
คุณเคยทําเงินหล่นหายหรือเปล่า เชื่อหรือไม่ว่า หากคุณสามารถรวบรวมเงินทีคุณทําหายไปในแต่ละเดือน แต่ ละปีเข้าด้วยกัน แล้วละก้อ เงินจํานวนนี้จะมีจํานวนมากพอทีจะทําให้คุณมีชีวิตอยู่อย่างสบายในวัยเกษียณ
อย่าเพิ่งแปลกใจว่า  เงินอะไรทีหล่นหายมากมายขนาดนี้  ผมไม่ได้พูดถึงเงินทีหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ทันสังเกตุเห็น แต่ผมกําลังหมายถึงเงินที่ทําหล่นหายไปต่อหน้าต่อตา ขณะที่เรายังมีสติสัมปชัญญะ ครบถ้วนอยู่ เงินทีสูญไปเพราะความฟุ่มเฟือย, ความสะเพร่า หรือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของเรานั่นเอง
  คนจํานวนมากมักเข้าใจว่า การทีเราเก็บเงินไม่ได้นั้น เป็นเพราะเรามีรายได้น้อยเกินไป แต่นักวางแผนการเงิน จะบอกว่า การจะเก็บเงินได้หรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับรายได้ แต่ขึ้นกับวิธีบริหารจัดการค่าใช้จ่ายมากกว่า
จากสมการ         เงินออม = รายได้ – ค่าใช้จ่าย
ถึงคุณจะมีรายได้มากมายสักเพียงใด แต่ถ้าคุณยังคงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เพิ่มพูน ไปตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือ ถึงกับใช้เงินเกินรายได้ที่หามาได้ ด้วยการกู้ยืมมาบริโภค ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้หามาได้สักเท่าไร ก็ไม่มีเหลือ เก็บ
  แต่ถ้ามีรายได้น้อย แล้วพยายามใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียร ใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้  ส่วนทีเหลือย่อมสามารถแบ่งมาเก็บออมได้  บางคนอาจจะอ้างว่า เขาได้พยายามใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุดแล้ว  ยังไม่พอใช้อยู่ ดี นั่นแสดงว่า เขาใช้ชีวิตเกินตัว หรือมีรสนิยมเกินรายได้ เพราะเราคงเคยได้ยินว่า มีคนไทยมากมายทีมีรายได้เพียงเดือนละ 3,000-4,000 บาท แต่เขาก็สามารถดํารงชีพได้ตามอัตภาพ  ขณะที่บางคนมีรายได้เดือนละร่วมแสน แต่เป็นหนี้เป็นสินจนต้องหลบลีหนีหน้าผู้คน
  หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คงไม่ต่างกับการเปิดก๊อกน้ำประปาแรงๆ แล้วใช้มือเข้าไปรอง ย่อมได้นําติดมือ มานิดเดียว ยิ่งถ้าทําผิดวิธี กางนิวห่างๆออกรองรับนําไว้ น้ำจะรัวไหลออกหมด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว แถมน้ำยัง อาจกระเด็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าได้  
  แต่ถ้ารู้วิธี ถึงแม้นําจากก๊อกจะไหลออกมาเอื่อยๆ หากค่อยๆประคองมือรับ ย่อมได้นําติดมือมามากกว่า  ยิงถ้าน้ำไหลมาแรงๆแล้วรู้วิธีนําถัง ,ภาชนะมารอง ย่อมไม่ต้องอธิบายว่าจะเก็บนําได้มากขนาดไหน  
ในตอนนี้  ผมคิดว่า เราน่าจะได้ข้อสรุปว่า “การจะเก็บเงินได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับการควบคุมค่าใช้จ่าย” มากกว่า  แต่ “การเพิ่มรายได้ จะทําให้การเก็บออมบรรลุเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น”
ดังนั้น  สมการออมเงินยุคใหม่ต้องเป็นดังนี้   รายได้ – เงินออม = ค่าใช้จ่าย
คือเราต้องหักเงินออมออกมาในแต่ละเดือนก่อนเสมอ
ผมเชื่อว่า ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ก็พยายามควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือเก็บมากที่สุด  จะได้นําไปลงทุน หรือ ฝากเก็บไว้เพื่อใช้ตอนแก่ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในเวลาเดียวกันเราทุกคนก็ทําเงินรั่วไหลไปเยอะโดยที่เราไม่ระวังหรือคาดไม่ถึง เราลองมาทบทวนกันดูว่ามีช่องทางไหนบ้าง  ที่เรามักจะทําเงินหล่นหายไปอยู่เสมอๆ
1.การซื้อสินค้าเงินผ่อน หรือกู้เงินนอกระบบมาใช้  
เงินพวกนี้ส่วนใหญ่คิดดอกเบี้ยแบบรายเดือน หรือ Flat Rate ไม่ลดต้นลดดอก เมือดูอัตราดอกเบี้ยต่อเดือนรู้สึกเหมือนไม่สูง แต่ถ้ามาคํานวณอย่างละเอียด จะพบว่าดอกเบี้ยอาจสูงถึง 20-50 % ต่อปี ถามว่า ถ้าคุณ มีภาระค่าดอกเบี้ยสูงขนาดนี้เมื่อไรจะรวยเสียที
  ถ้าอยากมีเงินเหลือเก็บ  ผมแนะนําว่าให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไม่มีเงินก้อนอย่าไปซื้อ เว้นแต่สิ่งที่เป็นหลักทรัพย์ เช่น บ้าน ,รถ ถ้ายังไม่มีและจําเป็นต้องใช้จริงๆ  อาจจะค่อยๆผ่อนได้ แต่ควรสืบเสาะแหล่งเงินกู้ที่ดีที่สุดก่อนเพราะบางครั้งดอกเบี้ย, ค่าธรรมเนียมหรือวิธีชําระที่ต่างกัน สามารถช่วยประหยัดเงินได้นับหมื่นบาทต่อปี
2.การใช้สินค้าไม่คุ้มค่าอายุงาน  
สินค้าและของใช้บางชนิดมีอายุงานที่คงทนพอสมควร เช่น รถยนต์ หากบํารุงรักษาสม่ำเสมอ จะมีอายุการใช้ งานไม่ต่ำกว่า 8 ปี โดยไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจ โทรศัพท์มือถือ ก็สามารถใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 3 ปี  
แต่วัยรุ่นสมัยนี้ เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นว่าเล่น บางคนเปลี่ยนทุกสามเดือน ส่วนรถยนต์ พอมีการเปลียนรุ่นใหม่ ซึงมักจะตกประมาณ 4-5 ปี ก็จะซื้อรถใหม่ตามแฟชั่น ปัญหา คือ ราคาขายต่อรถเก่ามักจะลดฮวบลงมาครึ่งต่อครึ่ง  
  หากนํามูลค่าทีลดลงมาหารด้วยจํานวนปีทีใช้ จะพบว่าเงินทีถูกจ่ายเพื่อซื้อความเท่ หรือความสะดวกสบายนั้นเป็นยอดเงินที่สูงทีเดียว
  ถ้าคํานวณออกมาและเห็นตัวเลขแล้ว เรารู้สึกสะดุ้ง แสดงว่าเราใช้จ่ายเงินเกินฐานะไปแล้ว รีบเปลียนพฤติกรรม ก่อนจะสายเกินไป
3. การลงทุนทําธุรกิจโดยไม่ศึกษาให้รอบคอบเสียก่อน  
  หลายคนอุตส่าห์เก็บเงินจนได้เงินก้อน แต่เมื่อมีคนชวนไปลงทุน แทนที่จะไตร่ตรองหรือศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า ธุรกิจนั้นๆเติบโตยั่งยืนไหม มีตลาดใหญ่พอไหม  หรือ ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง กลับทุ่มเงินลงทุน โดยขาดประสบการณ์ สุดท้ายเงินที่เก็บมาครึ่งชีวิตต้องมลายหายไป ต้องเริ่มมาเก็บเงินใหม่ตอนที่อายุขึน เลข 5 ไป แล้ว
4. การให้คนอืนยืมเงินแล้วหนีสูญ    
  จริงอยู่คนเราควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การนําเงินทีเราอุตสาห์เก็บออมมาชั่วชีวิตเพื่อไว้ใช้ยามเกษียณไปให้เพื่อนยืมนั้น นับว่ามีความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเราเอาชีวิตของเราไปแขวนไว้กับวิธีบริหารเงินของ เขา ถ้าเขาบริหารเงินผิดพลาดอย่างที่เคยทํามา เราก็ต้องมานั่งน้ำตาตกใน
  การเข้าค้ำประกันเงินกู้หรือค้ำประกันการเข้าทํางานให้คนอื่น ก็เป็นอีกเรืองหนึงที่นําความหายนะมาให้ผู้ค้ำ หาก ไม่มีการตรวจสอบหรือกลั่นกรองให้รอบคอบก่อน เพราะหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น มูลค่าความเสียหายอาจจะสูญ เป็นแสน เป็นล้านได้
  5. การซื้อลอตเตอรี่(รวมถึงหวยด้วย) เล่นการพนัน
  ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่า ทุกวันนี้เขามีเงินเดือนๆละ 10,000-20,000 บาท แต่มีภาระค่าใช้จ่ายมาก มาย เพราะฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่า ถึงแม้เขาจะตั้งใจเก็บเงินอย่างจริงจัง ก็ไม่สามารถทําให้เขารวยได้ ความหวังเดียว ของเขาคือ ซื้อลอตเตอรี่เพื่อให้ถูกรางวัลที่ 1 ถึงจะมีโอกาสน้อยมากแต่ก็ยังดีกว่าอยู่โดยไม่มีความหวังเลย
  ผมเห็นด้วยว่า คนเราควรมีชีวิตอยู่ อย่างมีความหวัง แต่การอยู่โดยหวังว่าจะถูกรางวัลที่ 1 แล้วจะรวยเป็น เศรษฐีนั้น ถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมีโอกาสน้อยมาก  และถึงแม้จะถูกรางวัลที่ 1 จริง  ผมไม่เชื่อว่าเงินรางวัล 3,000,000 บาท จะทําให้คนรวยได้ เพราะถ้าบริหารเงินไม่เป็น ไม่ถึงปีก็หมดซ้ำจะ ทําให้ติดนิสัยซื้อลอตเตอรี่หนักมือยิ่งขึ้น และนําไปสู่ภาระหนี้สินในทีสุด
6. การซื้อสินค้าโดยไม่มีความจําเป็น
ลองคิดดูว่าบ่อยครั้งขนาดไหน ที่คุณซื้อของบางชิ้นเข้าบ้านโดยไม่อยู่ในแผนมาก่อน บางทีห้างสรรพสินค้าลด ราคา 50% สินค้าลดราคาจาก 1,000 บาทลงมาที่ 500 บาท แล้วคุณก็ซื้อมันมาเก็บไว้ในห้องเก็บของ เวลา ผ่านไป 3-5 ปี ไปรื้อของเจอ พบว่าราคาสินค้าชิ้นนั้นถ้าคิดตามสภาพอาจอยู่ที่ 200 บาทเท่านั้น เพราะมันตกยุค ตกสมัยไปแล้ว
ของเล่นลูกก็คงมีลักษณะเดียวกัน พ่อแม่ซื้อเพราะทนต่อเสียงรบเร้าของลูกไม่ได้ ไม่ใช่ซื้อเพราะเป็นของเล่นทีเสริมสร้างสติปัญญา สุดท้ายลูกเล่นได้ 2 วันก็เบื่อ ของเล่นจึงเต็มบ้านกลายเป็นภาระต้องหาห้องไว้เก็บของเล่นโดย เฉพาะ ดังนั้นครั้งต่อไป จะซื้ออะไร ต้องคิดแล้วว่าคุ้มค่า มีประโยชน์ใช้สอยจริงๆ
7. การซื้อของแบบเหมาจ่าย
หากฟังดูเผินๆการซื้อของแบบเหมา น่าได้ของราคาถูกกว่า แต่ข้อเท็จจริงก็คือ คุณต้องใช้สินค้าหรือบริการนั้นครบทุกรายการจึงจะคุ้มค่าเงินที่เสียไป แต่ถ้าคุณใช้บริการบางส่วน เช่นใช้ไปเพียง 50-70% ของสิทธิที่มี เมื่อคํานวณราคาสินค้าที่ใช้ไปก็ไม่ต่างอะไรจากราคาปรกติเลย อีกทั้งยังจะทําให้คุณติดนิสัยฟุ่มเฟือยอย่างยากทีจะแก้ไข  
  สินค้าเหล่านี้ได้แก่ เพคเกจค่าโทรศัพท์มือถือ, อาหารบุฟ่เฟ่ต์, สมาชิกโรงแรมต่างๆ หรือ สมาชิกสปอร์ต คลับ ดังนั้นถ้าจะสมัครเข้าใช้บริการ ต้องมั่นใจว่าคุณจะได้ใช้บริการต่างๆเหล่านั้นครบถ้วนจริงๆ หาไม่แล้ว คุณก็เหมือนถูกหลอกให้ เข้าไปช่วยแบ่งรับค่าใช้จ่ายให้คนอื่นนั่นเอง
8. เงินลดหย่อนภาษี
สิทธิพิเศษทางภาษี เป็นสิ่งที่นักการเงินส่วนใหญ่ให้ความสําคัญในลําดับต้นๆ เพราะได้มาฟรีๆ ได้แน่นอนและ คิดเป็นยอดเงินที่สูงมาก ลองคิดดูว่ากว่าจะฝากเงินให้ได้ดอกเบี้ยราว 10,000 บาท คุณต้องมีเงิน 1,000,000 บาทฝากแช่นิงๆไว้ในธนาคารตั้ง 1 ปีเต็ม (ดอกเบีย 1%)  
  แต่ถ้าคุณรู้จักใช้สิทธิลดหย่อนในการเสียภาษีบุคคลธรรมดา เพียงคุณใช้สิทธิแค่ 100,000 บาท  คุณจะ ได้รับเงินภาษีคืนมาตั้ง 10,000-30,000 บาททีเดียว ไม่มีความเสียง ไม่ต้องรอลุ้นผลประกอบการ ผลตอบ แทน 10 –37% ของยอดเงินที่ใช้สิทธิลดหย่อน (ขึ้นกับฐานภาษีของแต่ละคน)  
  เพราะฉะนั้น ทุกครั้งทียื่นแบบเสียภาษีบุคคลธรรมดา อย่าลืมตรวจสอบว่า คุณได้ใช้สิทธิค่าลดหย่อนครบทุกหมวดหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยประกันชีวิต, เงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลียงชีพ, ดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัย เงิน บริจาค หรือการขอเครดิตภาษีเงินปันผล เพราะรัฐบาลได้ให้สิทธินั้นแก่คุณแล้ว  
  เฉพาะเบี้ยประกันชีวิต ดอกเบี้ยซือบ้านและเงินในกองทุนต่างๆทีกรมสรรพากรกําหนด รวมเป็นเงินลดหย่อนได้ กว่า 1,000,000 บาท อยู่ที่คุณจะใช้สิทธินั้นหรือไม่ (ยังไม่นับรวม เงินบริจาคและเงินเครดิตภาษีเงินปันผลที่นํามาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน แต่วงเงินขึ้นกับเงินได้สุทธิ และเงินปันผลทีได้รับ)
9. ลดการสูญเสียเงินก้อนใหญ่ด้วยเงินก้อนเล็ก  
  ในชีวิตประจําวัน มีเหตุไม่คาดฝันมากมายที่จะเกิดขึนกับตัวเรา บางเรื่องอาจทําให้เราสูญเสียเงินทอง, ทรัพย์สิน หรือแม้แต่ชีวิตได้ ความเสี่ยงที่ว่านี้ได้แก่ อุบัติเหตุ , เจ็บป่วย, ไฟไหม้ ,หรือ โจรเข้าบ้าน ฯลฯ เรา สามารถลดความสูญเสียเหล่านี้ได้โดยการทําประกันภัย เพื่อโอนความรับผิดชอบไปให้บริษัทประกันภัยรับแทน  
  หาไม่แล้วเราคงต้องมาเริ่มต้นเก็บเงินกันใหม่ทีอายุ 40-50 ปี  เพราะทรัพย์สินที่หามาได้ทังหมดอยู่ในกองเพลิง หรือ ต้องเอาทรัพย์สินออกขายเพื่อใช้รักษาตัวกรณีมีโรคร้ายแรงเกิดขึ้น ฉะนั้น ยอมจ่ายเบี้ยประกันจํานวนน้อยดีกว่ามาเสียหายเพราะเรื่องใหญ่ๆ
 10. การใช้ชีวิตประจําวันโดยไม่มีการวางแผน    
  ผมไม่ได้พูดว่า จะทําอะไรแต่ละอย่างในชีวิตต้องวางแผนทั้งหมด แต่อย่างน้อยก่อนจะทําอะไร ให้หยุดคิด สัก 1 นาที เพื่อวางแผนก่อน ผมว่าจะประหยัดอะไรได้เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือเงินทอง  
  เช่น รู้จักวางแผนการเดินทาง ก่อนออกรถทุกครั้ง ลองคิดดูว่าจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขนาดไหน , กําหนดเวลาการโทรศัพท์ไว้คร่าวๆ เพื่อประหยัดเวลาและค่าโทรศัพท์ หรือ กําหนดรายการอาหารคร่าวๆก่อน สั่งอาหาร เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเหลืออาหารเต็มโต๊ะเพราะทานไม่หมด เป็นต้น
11. ลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยโดยไม่จําเป็น  
  มีค่าใช้จ่ายมากมายทีเดียว ถ้าเรามานั่งคิดย้อนหลังดีๆจะพบว่าไม่จําเป็น หรือจัดว่าใช้เงินเกินตัว เช่น การเข้าสังคมทีถี่เกินไป ,การกินเหล้า, สูบบุหรี, การทานข้าวนอกบ้านเป็นประจํา หากเราสามารถลดกิจกรรมเหล่านี้ลงไปได้  จะ ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียว  
  อย่าลืมว่าหนึงบาทที่ประหยัดได้ จะกลายเป็นหนึงบาทที่เก็บได้ทันที ลองคิดดูว่าถ้าประหยัดได้เดือนละ 2,000 บาท ปีหนึงจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นตั้ง 24,000 บาททีเดียว

จากคุณ : Kim Dohyun
เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 55 09:39:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com