คุณคิดว่า Shale Gas จะมีกระทบกับพลังงานชนิดอื่นในอีกกี่ปีข้างหน้า
|
|
คุณคิดว่า Shale Gas จะมีกระทบกับพลังงานชนิดอื่นในอีกกี่ปีข้างหน้า
ก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน (Shale Gas) คืออะไร? คำนิยามของ ก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน (Shale Gas) ที่ง่ายและตรงที่สุดก็คือ ก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากการหมักหมมของซากพืชและสัตว์ที่ตายทับถมกันมาเป็นเวลาล้านๆ ปี และถูกกักอยู่ภายในชั้นหินดินดาน หรือถ้าคัดจากคำนิยามภาษาประกิตก็คือ natural gas from shale formations โดยไอ้เจ้าหินดินดานจะทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งกำเนิดของก๊าซ และเป็นแหล่งเก็บของมันโดยธรรมชาติด้วย ล่าสุด ตัวเลขของสำนักงานข่าวสารพลังงานสหรัฐ (US EIA) ระบุว่า ทั่วโลกเท่าที่ค้นพบ ณ ขณะนี้น่าจะมีแหล่งก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานรวมทั้งสิ้นประมาณ 48 แห่ง (เรียกว่า shale basins) ครอบคลุม 32 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติในเบื้องต้นประมาณ 170 tcm หรือ 170 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นตัวเลขกว่า 40% ของแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติในปัจจุบัน และนี่เป็นเพียงการค้นพบเบื้องต้นเท่านั้น ในอนาคตเชื่อว่าน่าจะพบได้มากกว่านี้อีกหลายเท่า แน่นอนว่า ตัวเลขดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดการไหวกระเพื่อมในวงการอย่างรุนแรง และที่รุนแรงที่สุดก็คงหนีไม่พ้น สหรัฐอเมริกา เพราะเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลก และเมื่อต้นปีก็เพิ่งเจอวิกฤติแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลระเบิดมีคนตายไปสิบกว่าคน และสร้างปัญหามลภาวะแก่อ่าวเม็กซิโกอย่างยาก จะประเมินความเสียหายได้ ส่วนจะหวนกลับไปบุกสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ก็ดันมาเจอปัญหาวิกฤติฟุกุชิมะในประเทศญี่ปุ่นอีก ก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน จึงดูเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่สุด ณ ขณะนี้
ใครมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมากที่สุด และใครมีเทคโนโลยี? คำตอบก็คือ จากผลสำรวจปัจจุบัน ประเทศจีนมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมากที่สุดคือประมาณ 36 tcm หรือประมาณ 21% ส่วนสหรัฐอเมริกามีอยู่ประมาณ 20+tcm หรือประมาณ 12% สหภาพยุโรป (โดยเฉพาะที่ประเทศโปแลนด์) มีอยู่ไล่เลี่ยกันคือประมาณ 10% พูดง่ายๆ ก็คือ สามเจ้านี้รวมกันครอบครองแหล่งก๊าซชนิดนี้ไปประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งโลกนั่นเอง
สำหรับสหรัฐ จุดเด่นก็คือเป็นเจ้าของเทคโนโลยีในการขุดเจาะที่เรียกกันในขณะนี้ว่า Hydraulic Fracturing และ Horizontal Drilling และในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐก็ได้ทำการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานมาหลายรูปหลายแบบด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย แต่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใด เพราะนอกจากจะแพงที่ต้นทุนแล้ว กรรมวิธียังก่อให้เกิดมลภาวะค่อนข้างสูงด้วย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา บรรดา Wildcatters ของสหรัฐก็ได้เฮ เมื่อกรรมวิธีที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing ดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จ เมื่อผนวกเข้ากับวิธีขุดเจาะตามแนวนอนที่เรียกว่า Horizontal Drilling
แม้สหรัฐจะเริ่มฝันหวานถึงอนาคตที่โชติช่วงชัชวาลไปด้วย Shale Gas แต่ต้นทุนการขุดเจาะก็ยังสูงอยู่ และที่สำคัญ ต้นทุนทางสังคม (Social Costs) กำลังเริ่มถูกนำมาตีแผ่มากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเสียที่แทรกซึมเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดิน ปัญหาก๊าซมีเทน และการระเบิด หรือประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างแผ่นดินไหวกับการขุดเจาะแบบพิสดารแบบใหม่นี้ ฯลฯ ซึ่งในสัปดาห์หน้าผมจะนำประเด็นเหล่านี้มานำเสนออย่างครบถ้วน (โปรดอ่านตอนจบสัปดาห์หน้า) วีระ มานะคงตรีชีพ 11 เมษายน 2554
จากคุณ |
:
ethanority
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มิ.ย. 55 14:48:32
|
|
|
|