แต่ไหนแต่ไรมาผมชอบลงทุนในหุ้นปันผล เพราะได้ผลตอบแทนถึงสองต่อ ต่อแรกคือ "เงินปันผล" ส่วนต่อที่สองคือ "ราคาหุ้นที่สูงขึ้น" ความรู้สึกอันหนึ่งที่คอหุ้นปันผลมีร่วมกัน ได้แก่ ความรู้สึกเบาใจและสบายใจ ไม่ว่าตลาดหุ้นจะผันผวนเพียงใด พวกเราก็มักจะได้เงินปันผลมากขึ้นทุกปีๆ ตราบเท่าที่กิจการยังไปได้สวย
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมปิดตัวเองออกจากหุ้นในกลุ่มที่เรียกว่า "หุ้นเติบโต" ซึ่งแม้จะไม่เน้นการจ่ายเงินปันผล แต่มันก็ทบกำไรเก็บไว้ขยายกิจการและสร้างการเติบโต จนผมเริ่มสงสัยว่าระหว่างซื้อหุ้นปันผลแล้วเอาเงินปันผลมาลงทุนซ้ำ (ซึ่งทำให้เรามีหุ้นมากขึ้น และปีหน้าก็จะยิ่งได้เงินปันผลมากขึ้นไปอีก) กับการซื้อหุ้นเติบโตที่ไม่จ่ายเงินปันผล อย่างไหนจะทำให้รวยมากกว่ากัน
ในการนี้ผมสมมติบริษัทขึ้นมา 2 แห่ง คือ บริษัทปันปัน กับ บริษัททบแหลก ทั้งสองบริษัทมีลักษณะเหมือนกันแทบจะทุกประการ (มีหุ้นสามัญ 100 ล้านหุ้น, มีขนาดสินทรัพย์ 1,000 ล้านบาท, มีอัตราส่วนหนี้สินต่อผู้ถือหุ้น หรือ D/E เท่ากับ 1, มี ROA เท่ากับ 12%, มีค่า P/E เท่ากับ 15) จะแตกต่างกันก็เพียงว่าบริษัทปันปันจ่ายเงินปันผลในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ ส่วนบริษัททบแหลกไม่จ่ายเงินปันผลเลย
ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัททั้งสองยังคงรักษา ROA ไว้ได้ที่ระดับเดิม และควบคุมค่า D/E ไว้ที่ 1 ได้ตลอดเวลา 10 ปี รวมทั้งไม่มีการเพิ่มทุนใดๆ และไม่เอาผลของค่าคอมมิชชั่นมาคิด หากเราเริ่มลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาทเท่าๆ กัน (ดูตารางประกอบด้วย) ปรากฏว่า...
>>> บริษัท ปันปัน จำกัด (มหาชน)
ณ จุดเริ่มต้น บริษัทมีกำไรเท่ากับ ROA คูณด้วยสินทรัพย์ ซึ่งเท่ากับ 120 ล้านบาท กำไรของบริษัทส่วนหนึ่งจะถูกจ่ายออกมาเป็นเงินปันผล อีกส่วนหนึ่งจะถูกบันทึกเป็นกำไรสะสม ทำให้ equity ในปีถัดมาสูงขึ้น ขนาดของบริษัทจึงใหญ่ขึ้น
กลับมาดูที่ตัวเราบ้าง จากกำไรต่อหุ้น 1.20 บาท เมื่อเทียบกับค่า P/E 15 เท่า จะคิดเป็นราคาหุ้น 18 บาท สรุปว่าเราจะซื้อหุ้นได้ 55,556 หุ้นในขั้นแรก และจะมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นในปีถัดๆ มาเนื่องจากเราเอาเงินปันผล (รวมทั้งเครดิตภาษีเงินปันผล) ที่ได้รับไปซื้อหุ้นเพิ่ม
เมื่อครบ 10 ปี เราจะมีจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 78,909 หุ้น ที่ราคา 55.91 บาท คิดเป็นความมั่งคั่ง 4,411,435 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้น 16% ต่อปี
>>> บริษัท ทบแหลก จำกัด (มหาชน)
ช่วงเริ่มต้นจะเหมือนกรณีของบริษัทปันปัน ยกเว้นเรื่องของเงินปันผล ด้วยเหตุนี้เราจึงมีจำนวนหุ้น 55,556 หุ้นเท่าเดิมตลอดระยะเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตาม สังเกตว่าบริษัททบแหลกสามารถเพิ่มสินทรัพย์จาก 1 พันล้านบาทไปเป็น 8 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทปันปันเพิ่มเป็น 3 พันล้านบาทเท่านั้น
เมื่อคำนวณความมั่งคั่งก็พบว่าพอร์ตของเราโตจาก 1 ล้านบาทไปเป็น 8.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนทบต้นสูงถึง 24% ต่อปี ด้วยผลตอบแทนระดับนี้ ถ้าลงทุนให้ยาวนานขึ้นสมมติว่าเป็น 30 ปี เงินล้านเดียวของเราจะกลายเป็น 634 ล้านบาท!
ทีนี้เราคงไม่แปลกใจที่เห็นมหาเศรษฐี VI บางท่านขับวีออสแบบพอเพียง ทั้งที่มีปัญญาซื้อคัมรี่คันโต เหตุก็เพราะท่านไม่ได้เห็นมันเป็นแค่เงิน 1 ล้านบาท แต่เห็นศักยภาพของมันที่จะโตไปเป็นหลายร้อยล้านบาท ดังนั้น ถ้าใครจะครหาว่า "รวยขนาดนี้จะงกอะไรกับเงินแค่ล้านเดียว" ก็ควรจะปรับใหม่เป็น "งกอะไรกับเงินแค่ไม่กี่ร้อยล้าน"
>>> ข้อคิดจากเรื่องนี้
หากพิจารณาจากบริษัททั้งสองก็น่าจะสรุปได้ว่า การลงทุนในหุ้นเติบโตสามารถเอาชนะหุ้นปันผลได้อย่างไม่เห็นฝุ่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะวิ่งไปขายหุ้นปันผลทิ้ง แล้วเอาเงินมาซื้อหุ้นเติบโตเสียให้หมด เพราะหุ้นทั้งสองประเภทมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
ในภาวะปกติหุ้นเติบโตมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นปันผลดังที่เราเห็นจากตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม หุ้นปันผลมักโดดเด่นในช่วงตลาดขาลง เนื่องจากมีเงินปันผลเป็นตัวประคองไม่ให้ราคาหุ้นตกต่ำมาก และเงินปันผลที่ออกมาในช่วงหุ้นตกยังสามารถเอาไปซื้อหุ้นเพิ่มได้ในขณะที่หุ้นมีราคาต่ำด้วย (เท่ากับได้จำนวนหุ้นเพิ่มมากกว่าปกติ) ในขณะที่หุ้นเติบโตอาจจะเติบโตช้าลง ซึ่งแค่นั้นก็ถือว่าแย่แล้ว เพราะหุ้นเติบโตจะยังดีตราบเท่าที่มันเติบโตเท่านั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืม คือ มีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่เติบโตเร็วพอสมควร และก็จ่ายปันผลดีด้วย ซึ่งเท่ากับว่าเราได้ข้อดีจากหุ้นแต่ละประเภท ส่วนจะเน้นด้านใดเป็นพิเศษนั้นก็แล้วแต่
หวังว่าแต่ละท่านคงหา "ส่วนผสม" ที่เหมาะกับตัวเองและเหมาะกับสถานการณ์ได้ เรื่องอย่างนี้ยอมลงแรงทำการบ้านหน่อย ศึกษาบริษัทให้ถ่องแท้ แล้วผลตอบแทนจะตามมาเองครับ
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 55 23:36:25
แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 55 23:28:56
จากคุณ |
:
Antonio at MonkeyFreeTime
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มิ.ย. 55 23:25:01
|
|
|
|