Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

โลกในมุมมองของ Value Investor           1 กรกฎาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=52496
Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"


หุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจบางอย่างนั้น  ถ้าเราลงทุนซื้อไว้ก็จะพบว่า  ราคาหุ้นไม่ไปไหนและอาจจะตกต่ำอยู่นานมาก   หุ้นบางตัวก็อาจจะให้ปันผลอยู่บ้างแต่ปันผลนั้นก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้น  หุ้นหลายตัวมีปันผลแต่ก็กระท่อนกระแท่นเพราะกำไรของบริษัทมีบ้างไม่มีบ้าง   หุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีปันผลเลยมีแต่ข่าวว่ายอดขายจะดีขึ้นและความหวังว่ากำไรจะมาแล้ว  อนาคตกำลังจะ  “สดใส”   และหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มนั้น  ในบางช่วงบางตอนอาจจะเป็น 2-3 ไตรมาศหรือ  2-3 ปี  ก็แสดง  “อภินิหาร”  วิ่งขึ้นไปเป็นเท่า ๆ  ตัวพร้อม ๆ  กับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเต็มที่และผู้คนกล่าวขวัญกันมาก   แต่หลังจากนั้น  เมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ  หุ้นก็ตกกลับลงมาและหงอยเหงาไปอีกนาน  หุ้นต่าง ๆ  เหล่านี้  ถ้าเราถือไว้ลงทุนระยะยาวหวังผลตอบแทนที่ดีแล้วละก็    ผมก็อยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่ต้องทำงานหาเงินว่า  เป็นงานที่  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  หากินยากเหลือเกิน  ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง

  หุ้นกลุ่มแรกก็คือ  หุ้นเหล็ก  หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก  นี่คือหุ้นกลุ่มที่  “หนัก”  ที่สุดในสายตาของผม    เพราะตั้งแต่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้น  หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มี  “เวลาดี ๆ”  คือช่วงที่หุ้นขึ้นน้อยเหลือเกิน  เมื่อมันขึ้นไป  คนที่เข้าไปเล่นนั้น  บางทียังตั้งหลักไม่ทันมันก็ลงมาซะแล้ว  ทำให้คนเล่นขาดทุนกันมากมายและก็เลิกเล่นไปอีกนานจนลืมบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อที่จะกลับมาเล่นอีกเมื่อมันมีข่าวว่าราคาเหล็ก  “กำลังขึ้น”  และกำไรของบริษัทจะ  “มโหฬาร”  เป็นวัฏจักรกันแบบนี้มาช้านาน

  ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กก็คือ  มันเป็นโภคภัณฑ์ที่มี  Supply หรือมีวัตถุดิบและโรงงานเหลือเฟือในโลก  ซึ่งทำให้มีการตัดราคากันอย่างสมบูรณ์ทำให้กำไรของผู้ผลิตมีน้อยมาก  นาน ๆ  ครั้งก็จะมีการขาดแคลนบ้างเนื่องจากความต้องการใช้เติบโตขึ้นมากระทันหันทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น  ประกอบกับยอดขายที่ค่อนข้างมากและสต็อกสินค้าที่มักจะสูง  นี่ทำให้เกิด  “กำไรจากสต็อก” สินค้ามากแต่บริษัทไม่ได้มีเงินสดจากกำไรนั้นที่จะเอาแบ่งปันกันมากมาย  ผลก็คือ  นักลงทุนที่เล่นหุ้นก็อาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น  อย่างไรก็ตาม  ราคาเหล็กนั้นมักจะสูงอยู่ได้ไม่นาน  เพราะเมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น  ผู้ผลิตทั่วโลกต่างก็จะเร่งผลิตเหล็กออกมาขายทำให้ราคาปรับตัวลงมา  ซึ่งก็ทำให้บริษัทเหล็กขาดทุนจากสต็อกที่มีอยู่  นักลงทุนที่รู้ก่อนก็จะขายหุ้น  ทำให้หุ้นตกลงมา   วงจรของหุ้นเหล็กก็คือ  หุ้นมักจะมีช่วงเวลาที่ดีสั้นมาก  แต่มีเวลาที่ “เลวร้าย”  ยาวมาก

  ใกล้เคียงกับหุ้นเหล็กก็คือ  หุ้นเรือ  เพราะหุ้นขนส่งทางเรือนั้น   มีลักษณะที่เป็น  “โภคภัณฑ์”  ที่มีการแข่งขันกันทั่วโลกเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าเรือนั้น  มี Supply จำกัดมากกว่าเหล็ก  ในยามที่โลกขาดแคลนเรือ  ราคาค่าขนส่งก็วิ่งขึ้นไปมากทำให้กำไรของบริษัทเรือเติบโตขึ้น “มโหฬาร”  แต่การต่อเรือใหม่นั้นใช้เวลามากกว่าการผลิตเหล็กเพิ่ม  ดังนั้น  หุ้นเรือจึงมีเวลาที่ดียาวนานกว่าหุ้นเหล็ก  ในขณะที่หุ้นเหล็กอาจจะดีได้เพียง 2- 3 ไตรมาศ  หุ้นเรืออาจจะดีได้ถึง 2-3 ปี  เพราะเรือนั้นกว่าจะต่อเสร็จแต่ละลำต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ   อย่างไรก็ตาม  เวลาที่ “เลวร้าย”  ของหุ้นเรือนั้น  ก็มักจะยาวกว่า “เวลาที่ดี” มาก  ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเครื่องสังเกตว่าเวลาที่เลวร้ายกำลังจะผ่านไป  คำตอบของผมก็คือ  คงต้องรอจนกว่าบริษัทจะ  “ขาดทุน”  เพราะตราบใดที่บริษัทยังกำไร  ผมก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายที่สุด

  ต่อจากธุรกิจเรือแล้ว   ผมคิดว่าธุรกิจการบินเองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ  กันในแง่ที่ว่ามันมีการแข่งขันกันดุเดือดและแข่งกัน  “ทั่วโลก”  เหมือนกันเพราะเครื่องบินนั้น  “บินได้” ดังนั้น  Supply จึงมีมากมายซึ่งทำให้การทำมาหากินนั้นยากลำบาก  ต้อง  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  ว่าที่จริง  บัฟเฟตต์เองก็เคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นสายการบินมาแล้วและบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ยากลำบากจริง ๆ  โดยเฉพาะในอเมริกาที่การบินนั้นมีการแข่งกันอย่างสมบูรณ์

  อีกธุรกิจหนึ่งในตลาดหุ้นไทยที่ผมติดตามดูแล้วรู้สึกว่าคนที่ลงทุนคงจะ  “เหนื่อย”  เหลือเกินก็คืองานรับเหมาก่อสร้างงานอิฐ หิน ปูน ทราย  หรือที่เรียกว่างาน  Civil  เช่น  การก่อสร้างอาคาร  ถนนหนทาง สะพาน  ทางด่วน  และสาธารณูปโภคอื่น ๆ  อีกมาก  นี่คืองานที่บริษัทต้องประมูลแข่งที่ราคาต่ำที่สุดเพื่อที่จะได้งาน  นอกจากนั้น  ผู้จ้างยังมักจะเป็นหน่วยงานราชการที่มีกฎระเบียบมากมาย   การที่จะได้งานและส่งมอบงานมักจะต้องมี  “ต้นทุน”  ต่าง ๆ  มากมายที่เราไม่รู้  ดังนั้น  แม้ว่าจะมีงานในมือมหาศาล  แต่กำไรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็มักจะ “กระท่อนกระแท่น”  ซึ่งทำให้ราคาหุ้น   “กระท่อนกระแท่น” ตาม   นาน ๆ  ครั้งก็จะมี  “ข่าวดี” ที่บริษัทอาจจะได้รับงานใหญ่และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป  แต่อยู่ได้ไม่นานเมื่อผลประกอบการปรากฏ  หุ้นก็ตกลงไปที่เก่าและก็จะหงอยเหงาต่อไปอีกนาน  การซื้อหุ้นรับเหมาสำหรับหลาย ๆ คนก็เป็นการ  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  อีกกลุ่มหนึ่ง

  หุ้นสิ่งทอ หุ้นการเกษตร  และหุ้นที่อยู่ในภาวะอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”  บางอย่างนั้น  การลงทุนแม้ว่าบางบริษัทยังจ่ายปันผลค่อนข้างดี  แต่หุ้นก็มักจะไม่ไปไหน  ลงทุนไปแล้วก็ “เหนื่อย”  หรือ “เบื่อ”  บางบริษัทก็อาจจะต้อง  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  เหมือนกัน

  หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่มีคุณลักษณะคล้ายกันก็คือ  หุ้นที่ต้องอิงกับคนที่มีทักษะเฉพาะและมีเงินเดือนสูงและเป็นงานที่ต้องแข่งขันทางด้านราคาอาจจะโดยการประมูล  ตัวอย่างเช่น  หุ้น บริษัทที่ปรึกษาและรับงานทำระบบไอที   หุ้นบริษัทโฆษณา  หุ้นรับจัดงานอีเว้นท์  หุ้นของกิจการเหล่านี้มักจะเดินหน้าไปไม่ไกลแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรพอใช้ได้และจ่ายปันผลพอสมควร  เหตุผลก็เพราะว่าการขยายงานน่าจะโตไปได้ไม่มาก  อาจจะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและด้านของความต้องการของลูกค้าเอง  การที่งานต้องพึ่งพิงคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากทำให้การรักษาบุคลากรอาจจะทำได้ยาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ลูกจ้างที่เก่งมาก  ๆ  อาจจะสามารถออกไปตั้งกิจการเองได้ไม่ยากเนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงหวังที่จะรวยยากแม้ว่าจะไม่ถึงกับเหนื่อยหนักเท่ากับธุรกิจอื่น ๆ  ที่กล่าวข้างต้น

  ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น  ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนซื้อหุ้นเหล่านั้นเลย  เพราะในบางครั้งบางช่วงเวลา  หุ้นเหล่านั้นก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาก  เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน  เช่นเดียวกัน  เราต้องรู้ด้วยว่า  หุ้นเหล่านั้นอาจจะมี  “เวลาที่ดี”  จำกัด  ในขณะเดียวกัน  เวลาที่  “แย่” หรือเวลาที่ “เลวร้าย” นั้นกลับยาวกว่ามาก  อย่าให้สถานการณ์ช่วงสั้น ๆ  ทำให้เราไขว้เขวกับธรรมชาติของธุรกิจ  เพราะนั่นจะทำให้เราพลาดและเจ็บหนัก  อย่าลืมว่านี่คือ  ธุรกิจที่ต้อง  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  ไม่ใช่ธุรกิจที่  “หากินง่าย”  อย่างหลาย  ๆ  ธุรกิจที่ไตรมาศแล้ว ไตรมาศเล่า  ปีแล้ว  ปีเล่า  ผลการดำเนินงานก็เติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ  กับราคาหุ้นที่จะตามกันไปต่อเนื่องยาวนาน

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 21:01:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com