ความคิดเห็นที่ 1 ฟิวเจอร์ส คืออะไร? ไม่ว่าคุณจะเรียกว่า “ตราสารอนุพันธ์” จะเรียก “ฟิวเจอร์ส” หรือเรียก “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” มันก็คือสิ่งเดียวกันที่อยู่ในหมวดหมู่และการใช้งานเหมือนกัน หลักการของมันเข้าใจง่ายๆก่อนแล้วกันว่า มันเป็นกระดาษที่ถูกสร้างขึ้น และอ้างอิงมูลค่าตามสินค้าอ้างอิงเหล่านั้น โดยไม่มีการส่งมอบสินค้าจริงๆเกิดขึ้น แต่วัดกันที่กำไรขาดทุนของส่วนต่างราคาสินค้านั้นๆ จำไว้ว่า “ฟิวเจอร์ส” คือกระดาษเปล่าๆ ที่เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ถ้าตามระบบออนไลน์รูปแบบใหม่ของการซื้อขาย ก็ทันทีที่คำสั่ง เปิดสัญญา Match มันก็คือคุณยินยอมแล้วที่จะมีการซื้อขายระหว่างกัน (ผูกมัดเหมือนผัวเมีย) จนกว่าจะปิดสัญญาและหย่าขาดจากกันไป ... ฟิวเจอร์สไม่มีการส่งมอบสินค้าอ้างอิง ... นั่นหมายถึงว่าถ้าคุณเปิดสัญญา Long (ซื้อ) GFQ12 ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าชนิดราคา 50 บาททองคำ แล้ววันพรุ่งนี้สัญญานี้จะหมดอายุแล้ว คุณจะไปขอเขาเป็นทองคำแท่งชนิดราคา 50 บาทไม่ได้นะจ๊ะ “จบแล้วก็จบเลย” แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 03:55:33 จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 03:55:04

ความคิดเห็นที่ 2 Long กับ Short ถ้าในหมู่นักเก็งกำไรชาวไทยจะเรียกแทนกันว่า “ขายาว” หรือ “ขาสั้น” ฟังแล้วอาจจะดูงงๆ จำง่ายๆคือ Long ซื้อ, Short ขาย ... หลักการของมันคือถ้าคุณเปิดสถานะ Long คือเรา “ซื้อ” สินค้าเอาไว้ และต้องการให้ราคามันขึ้นไปยาวๆเพื่อเอากำไร แต่ถ้าคุณเปิดสถานะ Short แปลว่าเราขอยืมของๆเพื่อนมา “ขาย” ออกไปก่อน แล้วเดี๋ยวราคามันลง ค่อยกลับไปซื้อมาคืนให้ การเปิดสถานะข้างใดข้างหนึ่ง จะต้องปิดสถานะฝั่งตรงข้าม นั่นแปลว่าหากคุณเปิดสถานะ Long เอาไว้ ในเวลาต่อมาหากต้องการปิดสัญญา ก็ต้องส่งคำสั่งเป็นสถานะ Short เมื่อทำดังนี้แล้วก็จบกระบวนการ สัญญาก็จะถูกปิดไปแล้วในมือคุณก็จะไม่มีสถานะใดๆ เพราะได้ทำการปิดสถานะไปแล้ว ฟังแล้วงงมั้ย? อธิบายซ้ำกันอีกรอบคือ ถ้าคุณเปิด “Long” แล้วคุณต้องการปิดสัญญา คุณก็ต้องปิดด้วย “Short” ในขณะเดียวกันถ้าคุณ “Short” เพื่อขายไปก่อน หลังจากนั้นราคาเริ่มลงมา คุณก็จะได้กำไร แล้วคุณคิดว่ากำไรพอใจแล้วคุณก็เปิด Long เพื่อปิดสัญญา จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 03:56:24

ความคิดเห็นที่ 3 Futures ดีอย่างไร? สิ่งหนึ่งที่ Futures เป็นประโยชน์สำหรับคนทั่วไปคือสามารถใช้ได้ทั้งในขาขึ้นและขาลง ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรก็ดี หรือเป็นการป้องกันความเสี่ยงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าจะมีกลยุทธ์อย่างไรในการใช้งาน มันไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าจะทำอย่างไรกับมัน แม้ว่าคุณจะนิยมเก็งกำไร ก็สามารถกำหนดยุทธวิธีในการจัดการเพื่อให้มีความเสี่ยงมากหรือน้อยได้ด้วย และแน่นอนกับการป้องกันความเสี่ยง มันก็เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยเหลือเราได้จริงๆในยามคับขัน ในปัจจุบันเท่าที่เคยทำแบบสำรวจมาในกลุ่มตัวอย่างนักลงทุน 100 คนที่เทรด Futures (เทรด Futures อย่างเดียวหรือเทรดประยุกต์กับหุ้น) พบว่ามากกว่าร้อยละ 80 มักจะใช้เพื่อการเก็งกำไร เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นกลุ่มที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงและมีวิธีในการใช้งานที่ถูกต้อง การเทรดเพื่อเก็งกำไรยากหรือเปล่า? ผมคิดว่าไม่ยาก “ถ้า” คนเหล่านั้นศึกษาและทำความเข้าใจอย่างถูกวิธี รวมถึงมีวินัยในการเทรด ถึงจุดคัทก็ต้องคัท ถึงจุดปล่อยก็ต้องปล่อย ถ้าไม่แน่ใจอยู่นิ่งๆ และข้อสำคัญคือ ต้องไม่ Overtrade เช่นนั้นแล้วการเทรด Futures ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ... ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงน้อยเพียงใด หากผู้ลงทุนไม่มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ผลิตภัณฑ์นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยง (จะดีกว่าป่ะ? ถ้าคิดจะซื้อ BANPU แต่ก็มี Single Stock เพื่อป้องกันความเสี่ยง) จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 03:57:47

ความคิดเห็นที่ 4 วอเรน บัฟเฟต กับ Derivatives? “ในมุมมองของเราตราสารอนุพันธ์ คืออาวุธทางการเงินที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูง” (In our view, however, derivatives are financial weapons of mass destruction) คำพูดดังกล่าวอยู่ในรายงานประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway ปี 2002 หน้า 15 (http://www.berkshirehathaway.com/2002ar/2002ar.pdf) แม้ว่าปู่บัฟจะเป็นต้นแบบทางการลงทุน ที่หวังผลตอบแทนในระยะยาวโดยเน้นมูลค่าและคุณค่าของธุรกิจในบริษัทจดทะเบียน แต่อย่างไรก็ดีปู่บัฟเป็นคนหนึ่งที่ผมมองว่า เป็นนักลงทุนที่เปิดใจ และพร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Derivatives ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และเข้ามามีบทบาทในการลงทุน ส่วนตัวผมเองไม่ได้เชิดชูบูชาบุคคลที่มีชื่อเสียงคนใดในวงการการเงินเป็นพิเศษ ถ้าพูดแบบทั่วๆไปคือระหว่างปู่บัฟ กับจอร์จ โซรอส ซึ่งมีแนวความคิดและรูปแบบการลงทุนที่ต่างกันสุดขั้ว ผมก็ชอบทั้งสองคนเท่าๆกัน เพราะแต่ละคนก็มีโมเดลในการลงทุน หรือเก็งกำไรที่ดีด้วยกันทั้งคู่ จนท้ายที่สุดผมก็มีรูปแบบการลงทุนที่ เป็น Dynamic ประยุกต์มาด้วยกันกับสองบุคคลดังกล่าว และแน่นอนผมมักจะติดตามผลงานของพวกเขาอยู่เสมอๆ ว่าเขากำลังทำอะไร ผมคิดว่าถ้าเราไม่เลือกที่จะยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่ง จะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า เพราะความเชื่อที่ไม่ยึดถือแบบจริงจังในใครคนหนึ่ง มันทำให้เราเปิดความคิดได้กว้าง และพร้อมที่จะประยุกต์ตัวเอง เข้ากับได้ทุกวิธีการลงทุน ที่เหมาะสมกับช่วงเวลานั้นๆได้ ... เชื่อเถอะ บางคนที่ชื่นชอบปู่บัฟมากบางคนก็พึ่งจะมารู้ก็วันนี้เองว่าปู่บัฟ เทรดฟิวเจอร์สด้วยเหมือนกัน หากท่านที่ติดตามผลงานของปู่แบบจริงๆจังๆจะเห็นได้ว่า Berkshire เองในรายงานผลประกอบการและบัญชี เราก็จะเห็น Derivatives อยู่ในงบของบริษัทมาตั้งหลายปีแล้ว แน่นอนว่าปู่ไม่ใช่เทพเจ้า บางไตรมาสก็ได้กำไร Derivatives จำนวนมาก ในบางไตรมาส ก็มีเสียเช่นกัน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าเลือกใช้ในกลยุทธ์แบบใด ... มันอยู่ที่ว่าคุณเปิดใจเรียนรู้หรือเปล่า และทำความเข้าใจกับมันอย่างดีพอแล้วหรือยังก่อนที่จะใช้มันจริงๆ ไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะเรียนรู้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เราได้เงินมาอย่างง่ายๆ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 03:59:18 จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 03:59:03

ความคิดเห็นที่ 5 วันหมดอายุ สิ่งสำคัญคืออย่างที่รู้กันว่าฟิวเจอร์สคือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อขายตกลงกัน นั่นหมายถึงเมื่อเราเคาะคำสั่งเปิดสถานะไปปุ๊บ มันก็จะเป็นการตกลงซื้อขายปั๊บ และเราจะหมดพันธะทันทีเมื่อปิดสถานะ (เช็คบิล) หากเราถือและปล่อยให้สัญญามันหมดอายุไปเลยจะเกิดอะไรขึ้น? มันก็จะปิดอัตโนมัติไปเอง ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะเช็คบิลให้เราอัตโนมัติไปเลย ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วหากเราปล่อยมันหมดอายุไปเอง เราก็จะถูกปิดสัญญากันไปหมดอัตโนมัติ ก็คล้ายๆกับเกมโอเวอร์ ประมาณนั้น สิ่งสำคัญคือต้องมาเรียนรู้ด้วยว่าแต่ละสัญญาที่มีอักษรเยอะๆนั้น มันก็เป็นความหมายของชนิดสัญญาและวันหมดอายุ เช่นสัญญาประเภท “USDM12” หมายความว่านั่นคือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ดอลลาร์ฟิวเจอร์ หมดอายุเดือนมิถุนายน ปี 2012 แต่ละเดือนจะมีการกำหนดตัวอักษรดังนี้ F มกราคม G กุมภาพันธ์ H มีนาคม J เมษายน K พฤษภาคม M มิถุนายน N กรกฎาคม Q สิงหาคม U กันยายน V ตุลาคม X พฤษจิกายน Z ธันวาคม วิธีการจำแนกวันหมดอายุง่ายๆให้ไล่อ่านมาจากข้างหลัง เช่นสัญญาประเภท “USDQ12” ไล่มาจากข้างหลังคือหมดอายุปี 2012 และตัว Q คือเดือนที่หมดอายุก็คือเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเป็นอักษรตัวเดียวเสมอตามที่เขียนบอกในลิสต์ข้างต้น และนอกนั้นที่เหลือก็คือเป็นชนิดของสัญญา USD ก็คือ US Dollar Futures นั่นเอง หากยัง งงอีกว่าแต่ละสัญญาที่เป็นเดือนๆนั้นจะหมดเดือนนั้นเดือนนี้ จะเหลือเวลากี่วัน ให้เปิดดูในโปรแกรมซื้อขาย Streaming Pro แล้วไปดูที่ Quote จะเห็นว่าแต่ละชนิดสัญญาเหลือเวลากี่วันก่อนจะหมดอายุ จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:00:33

ความคิดเห็นที่ 6 มูลค่าของสัญญา สัญญาซื้อขายแต่ละชนิดมีมูลค่าแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสินค้าอ้างอิงและปริมาณของสินค้าเหล่านั้น ... สัญญาซื้อขาย 1 สัญญาเราต้องศึกษาให้ดีกว่ามันอ้างอิงกับสินค้าประเภทใด เป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งในสัญญา 1 สัญญา จะมีผลได้เสีย มีน้ำหนัก และอัตรากำไรขาดทุนที่แตกต่างกัน ... ถ้าคุณมองว่ามันเป็นการพนันมันก็คงใช่ เพราะคุณคิดเช่นนั้น ... ถ้าคุณมองว่ามันเป็นการป้องกันความเสี่ย งมันก็จะเป็นเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับคุณเปิดใจเรียนรู้และประยุกต์ใช้มันให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือเปล่าเท่านั้นเอง โฆษณานี้ให้แง่คิดมากมายพอสมควร จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:01:19

ความคิดเห็นที่ 7 อัตราหลักประกัน อัตราหลักประกันคือจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายในการวางหลักประกันของสัญญา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้จำนวนเงินประมาณ 10% ของมูลค่าของสัญญา (เหมือนกับการมัดจำ) ไม่ต้องวางเต็มทั้งจำนวน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ฟิวเจอร์สดูน่าสนใจ เพราะใช้เงินน้อย แต่เทรดของมูลค่ามากได้ ซึ่งส่วนนี้เราก็ต้องระมัดระวังเรื่องของการ Overtrade ให้มากขึ้น เพราะยิ่งเราใช้เงินน้อย แต่เทรดของมูลค่าสูงได้ เราก็ควรมีวินัยไม่เทรดให้มากเกินกว่าเราจะสามารถรับความเสี่ยงไหว ไม่เช่นนั้นหายนะจะตามมาในกรณีที่เกิดความผิดพลาด อัตราหลักประกันของสัญญาแต่ละประเภทและแต่ละชนิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างในบางเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับตลาดอนุพันธ์จะมีการปรับปรุง หรือควบคุมสินค้าใดให้มากขึ้น ดังนั้นผู้ลงทุนควรติดตามข้อมูลในส่วนนี้อย่างใกล้ชิด โดยทั่วไปแล้วจะมีการประกาศอยู่ในหน้าเมนูของบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณใช้ หรืออาจติดตามดูได้จากเว็บไซต์ของตลาดอนุพันธ์ อัตราหลักประกันมีสองอย่างก็คือ อัตราหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) เป็นอัตราหลักประกันที่เราต้องชำระทันทีเมื่อเปิดสัญญา (เหมือนมัดจำ) ซึ่งเมื่อเปิดสัญญาเป็น Open เมื่อไหร่ ระบบก็จะหักเงินส่วนนี้ออกไป , ส่วน Maintainance คืออัตราหลักประกันขั้นต่ำ นั่นหมายถึงว่าหากเราขาดทุน จนอัตราหลักประกันลดลงไปถึงจำนวนนั้นแล้วเราต้อง “เติมเงิน” เข้าไปในหลักประกันเพื่อรักษาสถานะของเราเอาไว้ ไม่เช่นนั้นทางบริษัทหลักทรัพย์จะทำการ Force Close สถานะของเราหากไม่เติมเงินเข้าไปเป็นหลักประกันเพิ่มเติม ส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่ต้องระมัดระวังอย่างมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ... จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:02:17

ความคิดเห็นที่ 8 ผลิตภัณฑ์อ้างอิง ไม่ว่าจะซื้อขาย จะ Long หรือ Short อะไรก็ตาม เราไม่สามารถเลือกที่จะขอคืน เป็นผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้ เช่นเปิด Long สัญญา Gold Futures ชนิดราคา 10 บาทไป ก็ไม่สามารถขอเป็นทองแท่ง 10 บาทมาถือเอาไว้ได้ การซื้อขายด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะชำระเป็นเงินสดเท่านั้น ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่อ้างอิงกับตราสารอนุพันธ์ ... ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดคือ SET50 Index Futures เพราะเป็นสัญญาที่เหมือนกับมัดรวมหุ้น 50 ตัวเอาไว้ในสัญญาเดียว และสินค้าอ้างอิงคือดัชนี การขึ้นลง 1 จุดมีมูลค่า 1 พันบาท ทั้งนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง และนักเก็งกำไรก็ชื่นชอบสัญญาประเภทนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สามารถนำมาซื้อขายได้แทบทุกสินค้าอ้างอิง ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ... ในต่างประเทศมีการซื้อขายสินค้าอ้างอิงเป็น “อุณหภูมิ” ด้วย ซึ่งเป็นตัวแปรที่มนุษย์แทบไม่มีความสามารถในการควบคุมได้เลย และสิ่งนี้เองทำให้มันเป็นประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจอยู่บ้าง โดยเฉพาะการป้องกันความเสี่ยง ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นผลดี (ในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกา) คือระบบเกษตรสามารถเพาะปลูกได้ดี เพราะอเมริกาเป็นเมืองหนาว การเพาะปลูกในบางพื้นที่โดยเฉพาะตอนบนสามารถทำได้ยาก ซึ่งการปลูกพืชมีความเสี่ยงหลักอยู่ที่สภาพอากาศ หากอากาศไม่เป็นใจ หิมะตกกระทันหัน อุณหภูมิเย็นลงมาก พืชผลก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนน้อย หรือตายกันไปเลย ดังนั้นในภาคการเกษตรก็สามารถใช้ส่วนนี้เป็นการป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน มันจะเป็นยังไงถ้าคุณขอแลกสินค้าอ้างอิง “อุณหภูมิ” กลับบ้าน? จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:04:08

ความคิดเห็นที่ 9 Night Session เป็นช่วงเวลาพิเศษโดยเฉพาะสำหรับสินค้าบางประเภทซึ่งมีเทรดตลอด 24 ชั่วโมงในตลาดต่างประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันผู้ลงทุนทางด้านความผันผวนของราคาอีกทางหนึ่ง ตลาดอนุพันธ์จึงมีการเปิดช่วงเวลากลางคืน เพื่อให้เราได้ทันต่อสภาวะเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงกลางคืน ผลิตภัณฑ์ที่มีเทรดในช่วงกลางคืน (19.15-22.30) ได้แก่ Gold Futures, Silver Futures, Oil Futures ส่วน USD Futures ไม่มีเทรดภาคกลางคืน ทั้งๆที่จริงควรจะมีเพราะการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ในบางครั้งก็มาจากปัจจัยที่คล้ายคลึงกันกับทองคำ ซึ่งมาจากปัจจัยของนโยบายเศรษฐกิจหรือความคาดหวัง จากการประชุมสำคัญทางเศรษฐกิจต่างๆ อาจมีผลต่อระบบการเงินทั้งโลกไม่ว่าจะทั้งค่าเงิน ทองคำ และน้ำมัน (ขอเถอะ ตลาดจ๋า เปิดเถอะภาคกลางคืนเนี่ย) ส่วนสินค้าที่ไม่ได้เทรดภาคกลางคืนก็เช่นพวกฟิวเจอร์สต่างๆที่อ้างอิงกับปัจจัยบ้านเราในช่วงเวลาปกติ เช่น SET50 Futures, Single Stock เป็นต้น จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:06:27

ความคิดเห็นที่ 10 SET50 Index Futures คือ? สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงดัชนี SET50 Index ถ้าให้พูดแบบเข้าในง่ายๆก็คือ เอาหุ้น 50 ตัว ของตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET50 มามัดรวมกันไว้แล้วก็ซื้อขายนั่นแหละ ซึ่งการขึ้นลง 1 จุดมีมูลค่า 1,000 บาท ถ้าคุณเปิด Long เอาไว้ที่ราคา 800 แต่ราคาร่วงลงมาที่ 795 คุณจะขาดทุน 5 พันบาท ในขณะเดียวกัน ถ้าราคาวิ่งขึ้นไปที่ 805 คุณก็จะได้กำไร 5 พันบาท สิ่งที่อ้างอิงปัจจัยการขึ้นลงของ SET50 Futures? คือปัจจัยของภาวะตลาด โดยเฉพาะปัจจัยทั้งทางพื้นฐาน หรือเทคนิคคอลก็ดี ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นไปตามภาวะตลาดที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ โดยมีการเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหว ของหุ้นหลักที่ทำให้ดัชนีเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยในกลุ่ม SET50 กลุ่มหลักที่มีน้ำหนักต่อดัชนีมากๆ คือกลุ่มพลังงานและธนาคาร ดังนั้นส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดการเคลื่อนไหวของราคา ใช้ป้องกันความเสียว ... เอ้ย ... ป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะหากเราซื้อหุ้นเอาไว้มากๆ โดยเน้นหนักในหุ้นตัวใหญ่ๆที่กำหนดดัชนี เครื่องมือ SET50 Futures สามารถช่วยกำหนดระดับความเสี่ยง ของพอร์ทลงทุนเราได้ แต่โดยหลักแล้วเท่าที่เห็นมักจะเป็นคนเข้าไปเก็งกำไรมากกว่า ... ถ้าคุณไม่โลภมาก และมีวินัยอย่างเคร่งครัดในการกำหนดจุด Stop หรือจุดทำกำไร คุณก็จะหากำไรจากมันได้ไม่ยาก ข้อเสียหลักๆเท่าที่ผมรู้คือคนเข้าไปเก็งกำไรกับมันค่อนข้างเยอะ ซึ่งอาจมีการพลาดท่าเสียทีได้ อย่างไรก็ดีถ้ารู้จักใช้อย่างเข้าใจและมีความรู้เพียงพอ การทำกำไรน้อยๆ โดยจำกัดความเสี่ยงก็สามารถทำได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณประยุกต์ใช้กับมันเป็นหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าเครื่องมืออะไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ไม่เป็นมันย่อมเป็นความเสี่ยงอยู่แล้ว การเคลื่อนไหวต่อ 1 ช่องคือ 100 บาท นั่นแปลว่าหากคุณถือ Long ที่ 822.00 แล้วราคาขึ้นมาที่ 822.10 คุณก็จะได้กำไร 100 บาท และถ้าขึ้นไปที่ 823 คุณก็จะได้กำไร 1,000 บาท (10 ช่อง) ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบง่ายๆและใช้เป็นภาษากลางๆนักลงทุนจะเรียกว่า 1 จุด 1,000 บาท อัตราหลักประกันขั้นต้นอยู่ที่ 47,500 บาท (เงินมัดจำ) อัตราหลักประกันขั้นต่ำอยู่ที่ 33,250 บาท (เงินมัดจำร่วงลงต่ำกว่านี้จะถูกเรียกเติมเงิน) สิ่งที่ช่วยอธิบายได้ดีที่สุดอีกอย่างคือรูปภาพ อย่างในภาพเราจะเห็นอะไรไม่รู้เยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเทรดหุ้นอยู่แล้วปกติก็ไม่ยากเย็นโดยเฉพาะ Bid/Offer Ticker ไม่ต้องอธิบายซ้ำ ส่วนต่อมาที่สำคัญคือ Volume (14,143) นั่นคือปริมาณสัญญาที่มีการจับคู่ในวันนั้น ทางด้าน Prev OI (Open Interest) คือมีปริมาณสถานะคงค้างทั้งหมดกี่สัญญา ซึ่งจะทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนปิดหรือเปิดไปแล้วเท่าไหร่โดยเฉพาะรายใหญ่ที่มีการเคลื่อนไหวเยอะๆ (แต่ก็หลอกได้) ต้องใช้วิจารณญาณและความรอบคอบพอสมควร Last Day เป็นวันซื้อขายวันสุดท้าย ดังนั้นต้องระมัดระวังส่วนนี้ให้ดีเพราะถ้าปล่อยหมดอายุก็จะถูกปิดอัตโนมัติ (ทางที่ดีมีกำไรก็ปิดๆไปเถอะอย่าโลภ) และส่วนสุดท้ายก็คือ Basis หรือค่าความถ่างระหว่างสินค้าอ้างอิงซึ่งนั่นก็คือ SET50 Index ที่อยู่ที่ 827.40 ดังนั้นจึงห่างจากราคาปัจจุบันของ S50U12 อยู่ -5.40 จุด จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:08:11

ความคิดเห็นที่ 11 Single Stock Futures หุ้นรายตัว เก็งกำไรได้ ป้องกันความเสี่ยงได้ แต่ละชนิดจะมีมูลค่าที่ไม่เท่ากัน โดยหลักแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการซื้อขายหุ้นปกติ เพียงแต่ต้องดูเรื่องของอัตราหลักประกันซึ่งแต่ละหลักทรัพย์จะแตกต่างกัน (เพราะราคาหุ้นต่างกัน) และข้อสำคัญคือสามารถเล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงได้ด้วย ข้อควรระมัดระวังเรื่องของอัตราหลักประกัน และราคาที่เปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่บริษัทอาจทำและส่งผลต่อราคาหุ้น เช่นการเพิ่มทุน ลดทุน หรือจ่ายปันผล และการเปลี่ยนแปลงราคาพาร์ โดยรวมคือแต่ละอย่างที่บริษัททำ มีผลต่อทั้งหุ้นสามัญและ Single Stock Futures ส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่ต้องระมัดระวังในแต่ละบริษัท ซึ่งปัจจุบันมี Single Stock ประมาณ 30 หลักทรัพย์ แต่บางตัวอาจมีหรือไม่มีสภาพคล่องต้องใช้ความระมัดระวังกันนิดนึงจ้า อย่างน้อยถ้าเราดอยอยู่ เราอาจใช้ Single Stock เพื่อล็อคความเสี่ยงได้ หรืออาจจะใช้เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพของพอร์ทลงทุนได้ มันขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงๆว่าเราต้องการใช้งานแนวไหน และมีความรู้ ความเข้าใจมากน้อยเพียงใด จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:09:01

ความคิดเห็นที่ 12 Gold Futures การซื้อขายทองคำเพื่อการเก็งกำไร ถ้าคุณไม่ต้องการไปยืนต่อแถวให้เมื่อยเพื่อรอซื้อทองคำที่เยาวราช (และอาจต้องแลกมาด้วยเลือดเพราะไปตบแย่งคิวกับอาอึ้มอาม่า) การใช้ Gold Futures เป็นอีกทางเลือกที่ดีเพราะเสียแค่ค่าธรรมเนียมซื้อขาย ไม่ต้องไปยืนเมื่อยต่อคิว และต้องเจอความเสี่ยง ที่ทองคำสูญหายหรือถูกปล้นระหว่างทาง ในทางการเก็งกำไรแล้ว Gold Futures ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะมีราคากำหนดชัดเจนในแต่ละวัน แต่ละนาที และมีผู้เล่นเดียวกันทั่วทั้งโลก ดังนั้นราคาทองคำจึงถูกกำหนดโดยคนหมู่มาก ซึ่งทำให้อัตราความผันผวนมีน้อย (แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี) Gold Futures สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงได้อย่างดี หรือนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการจำกัดความเสี่ยงของผู้ค้าทองคำ และผู้ลงทุนในทองคำ สมมติว่าวันนี้ ผมไปซื้อทองแท่งมา 20 บาท ในราคาบาทละ 23,000 บาท ซึ่งคิดว่าราคานี้ถูกมากแล้วและพอใจกับราคานี้ แต่ก็ยังกังวลกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับราคาทองคำ ผมจึงตัดสินใจ Short สัญญาทองคำล่วงหน้า GF10 จำนวน 2 สัญญา (1 สัญญามูลค่าเท่ากับทองคำ 10 บาท) ที่ราคาเดียวกับที่ราคาที่ผมซื้อหน้าร้านเพื่อใช้ในการเอาไปสู่ขอน้องหมีมาแต่งงาน ถ้าราคาทองคำลง ผมก็จะยังคงได้กำไรจากขา Short แต่ทองคำแท่งขาดทุน ในขณะเดียวกันถ้าราคาทองคำแท่งปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมอาจจะพิจารณาปิดสถานะ Short ออก 1 สัญญา เพื่อให้ทองคำแท่งมีมูลค่าเพิ่มได้ ลดระดับการป้องกันความเสี่ยงลงเพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น ปัจจัยอ้างอิงราคาทองคำมีแค่ไม่กี่อย่าง ประการสำคัญที่สุดที่ทำให้ทองคำขึ้นลง ด้วยอาการรวดเร็วแบบติดจรวจภายในเวลาไม่กี่นาทีคือ ... “Bernanke” ทุกครั้งที่เขาพูดมักมีผลต่อระบบการเงินโลกเสมอ (ผู้นำทางจิตวิญญาณของนักลงทุน) สิ่งสำคัญที่เป็นข้อสังเกตสำหรับทองคำคือค่าเงินดอลลาร์ (US Dollar Index) หากดอลลาร์แข็ง ทองคำจะลง หากดอลลาร์อ่อนค่าลงทองคำจะขึ้น และรวมถึงความกลัวของนักลงทุนด้วย หากนักลงทุนเกิดความกลัว อยากหา Safe Asset แทนที่เงินดอลลาร์ ราคาทองคำก็อาจวิ่งขึ้นไปได้เหมือนกัน Gold Futures มีสองประเภทด้วยกันคือ “ใหญ่” กับ “เล็ก” ถ้าสัญญาแบบเล็กคือ 1 สัญญามีมูลค่าเท่ากับทอง 10 บาท รหัสย่อก็จะเป็น GF10 (แล้วตามด้วยเดือนและปีที่หมดอายุ) ส่วนแบบใหญ่ 1 สัญญาจะมีมูลค่าเท่ากับทองคำ 50 บาท รหัสย่อจะมีแค่ GF เฉยๆ ดังนั้นระวังสับสน อย่าลืมดูระหว่างมี 10 (ตัวเล็ก) กับไม่มี 10 (ตัวใหญ่) อัตราหลักประกันขั้นต้นอยู่ที่ 12,160 บาทสำหรับ Gold Futures มูลค่าทองคำ 10 บาท และ 60,800 บาท สำหรับ Gold Futures มูลค่าทองคำ 50 บาท ส่วนอัตราหลักประกันขั้นต่ำอยู่ที่ 8,512 บาทสำหรับ Gold Futures ตัวเล็ก และ 42,560 บาท สำหรับ Gold Futures ตัวใหญ่ ... ไม่งงเนอะ สัญลักษณ์ “GF” เป็นตัวแทนของ Gold Futures และอ้างอิงตามทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% (ภาษาชาวบ้านเรียก 965) จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:11:15

ความคิดเห็นที่ 13 Silver Futures เป็น Futures ที่มีคนพูดถึงค่อนข้างน้อย เพราะสภาพคล่องไม่เอื้อและการสวิงของราคาสูงมาก พูดง่ายๆคือขึ้นมากกว่าทองคำ และลงก็แรงกว่าทองคำ สำหรับมุมมองผมดูเหมือนว่า Silver ดูไม่ค่อยน่าสนใจในแง่ของ Futures เพราะโลหะเงินยังเป็นอะไรที่หาง่าย ราคาไม่แพง และไม่ถือว่าเป็นของมีมูลค่ามากนัก (ซื้อง่ายขายยากว่างั้น) ดังนั้นถ้าสะสมส่วนใหญ่จะนิยมสะสมเป็นแท่งๆกันไปเลยมากกว่า สัญลักษณ์ของ Silver Futures คือ “SV” จากนั้นก็เหมือนๆกับเพื่อนๆทั่วไปคือตามหลังด้วยเดือนและปีที่หมดอายุ และอ้างอิงโลหะเงินบริสุทธิ์ 99.9% โดย 1 สัญญามีขนาดเท่ากับโลหะเงินน้ำหนัก 100 ทรอยออนซ์ จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:12:01

ความคิดเห็นที่ 14 Oil Futures สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมัน เป็นสัญญาอีกตัวที่มีคนเล่นน้อยมาก แต่ข้อสำคัญมันอยู่ที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME สามารถใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันได้ อันที่จริงขนาดของสัญญาผมมองว่าใหญ่เกินไป ถ้าทำให้สัญญามีขนาดเล็กๆคิดว่าน่าจะกระตุ้นให้คนทั่วไปหันมา Hedging การเติมน้ำมันเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่นขับรถไปปุ๊บ พอเติมน้ำมันเสร็จก็ Long เอาไว้ หากราคาน้ำมันขึ้นอีกเราก็จะได้ส่วนต่างของ Futures มาโปะ ส่วนที่เราต้องเติมน้ำมันแพง (เก๋เนอะ) ขนาดของสัญญาของน้ำมันดิบ Brent 1 สัญญา มีขนาดเท่ากับ 1 บาเรล (158.9873 ลิตร) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันในไทยใช้ตัวย่อว่า “BR” นั่นหมายถึงมาจาก Brent Crude Oil หลายๆคนอาจจะชอบดูน้ำมันตามราคา WTI ซึ่งเป็นของสหรัฐ (ทวีปอเมริกา) แต่จริงๆแล้วสินค้าอ้างอิง Oil Futures โดยหลักใช้การอ้างอิงกับราคาของ Brent อย่าลืมดู Brent ด้วยนะจ๊ะ เพราะการเคลื่อนไหวราคาของน้ำมันแต่ละชนิดอาจแตกต่างกัน Brent เป็นน้ำมันที่มีแหล่งผลิตในทะเลเหนือ รวมถึงในสแกนดิเนเวีย และบางประเทศในกลุ่มแอฟริกา ซึ่งเป็นน้ำมันประเภท “Light & Sweet” สามารถกลั่นง่าย มีปริมาณของซัลเฟอร์อยู่ราว 0.4% และมีค่า API ที่ประมาณ 39 ดีกรี (ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะ API คือค่าน้ำหนักว่าหนักเบาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับน้ำ) ส่วนไทยแล้วโดยส่วนใหญ่จะใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันของกลุ่มตะวันออกกลาง แต่น้ำมันดิบในกลุ่มนี้คือแม้ว่าในภูมิภาคนี้จะมีน้ำมันมาก แต่น้ำมันส่วนใหญ่จะเป็นประเภท Heavy & Sour หรือหนักและเปรี้ยว ซึ่งกลั่นยากโดยมีค่า API ประมาณ 31 ดีกรี ส่วนซัลเฟอร์สูงถึง 2% ทางด้านน้ำมันดิบ WTI เป็นน้ำมันดิบสำคัญในทวีปอเมริกา เป็นประเภทเบาและหวาน (Light & Sweet) ซึ่งกลั่นง่าย มีค่า API ที่ประมาณ 38-42 ดีกรี มีปริมาณของซัลเฟอร์อยู่ประมาณ 0.24% ปัจจัยบางอย่างที่กำหนดราคาน้ำมัน โดยส่วนมากจะเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถ้ามีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจไม่เติบโตหรือชะลอตัว ราคาน้ำมันก็จะปรับตัวลดลง เป็นสัญญาณบอกว่าราคาน้ำมันแพงซึ่งทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปได้ยาก อาจมีการแทรกแซงราคาน้ำมันได้ การแทรกแซงราคาน้ำมันโดยหลักแล้วมีวิธีที่นิยมใช้กันคือให้กลุ่ม OPEC เพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากน้ำมันถูกผลิตมากขึ้น แต่การใช้เท่าเดิมหรือน้อยลง แน่นอนว่าราคาน้ำมันอาจจะร่วงลง เป็นผลมาจากอุปสงค์และอุปทานนั่นเอง และอีกปัจจัยสำคัญคือการสำรองน้ำมัน ซึ่งเร็วๆนี้ที่ราคาน้ำมันดิ่งลงไปแถวๆ 77 เหรียญ (หรือต่ำกว่านั้นนิดหน่อย /WTI) เป็นผลมาจากคลังน้ำมันสหรัฐมีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในรอบ 26 ปี เราควรตรวจสอบและดูข้อมูลเหล่านี้ประกอบหากต้องการเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน 1 สัญญาน้ำมันล่วงหน้ามีอัตราหลักประกันขั้นต้นอยู่ที่ 17,100 บาท และมีอัตราหลักประกันขั้นต่ำที่ 11,970 บาท อย่าลืมหมั่นตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอัตราหลักประกันด้วยนะจ๊ะ จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:13:45

ความคิดเห็นที่ 15 น้องใหม่ “ดอลลาร์ล่วงหน้า” USD Futures ตัวนี้ผมค่อนข้างรอมานานและในที่สุดตลาดก็เอาออกมาเสียทีคือดอลลาร์ล่วงหน้า ซึ่ง 1 สัญญาของดอลลาร์ล่วงหน้า มีมูลค่าเท่ากับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายถึงว่าหากเราถือสัญญาดอลลาร์ฟิวเจอร์ส 1 สัญญา แปลว่าเรามีสัญญาเงินดอลลาร์มูลค่าเท่ากับประมาณ 30,000 บาทอยู่ในมือ ดอลลาร์คือสิ่งที่ตลาดควรเอาเข้ามาได้ตั้งนานแล้ว ... ผมมองว่าค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่กำหนดหลายๆอย่างในประเทศ ซึ่งเป็นตัวกำหนดปัจจัยทางราคาทองคำ และน้ำมันของเราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางครั้งคนที่เก็งกำไรทองคำ อาจเจอการที่ราคาไม่สมเหตุสมผล แม้ว่าทองขึ้นเยอะ แต่ค่าเงินบาทอ่อนมาก ราคาทองก็อาจจะไม่ได้ขึ้นมากอย่างที่คิด ดังนั้นในตอนนี้เรามีเครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับป้องกันความเสี่ยงกรณีค่าเงินบาทผันผวน ค่าเงินบาทยังช่วยกลุ่ม SME และธุรกิจขนาดเล็กได้ในกรณีต้องการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งโดยส่วนใหญ่บริษัทขนาดใหญ่ๆมักจะทำฟอร์เวิร์ดกับธนาคารได้อยู่แล้วแต่การทำฟอร์เวิร์ดนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก (หลายล้าน) แต่ในขณะเดียวกันในเมื่อตลาดมีทางเลือกส่วนนี้ให้ ปัญหาเรื่องความเสี่ยงค่าเงินสำหรับรายย่อยก็อาจจะทุเลาลงได้ การถือสถานะ Long แปลว่า เราซื้อเงินดอลลาร์ สมมติว่าที่ราคา 31 บาทต่อดอลลาร์ ... ถ้าหากเงินบาทอ่อนค่าลง (ดอลลาร์แข็ง) ราคาวิ่งไปที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ เราก็จะได้กำไร ถ้าถือเอาไว้ 1 สัญญา ก็จะได้กำไรประมาณ 1,000 บาท (1 สัญญา = 1,000 ดอลลาร์) แต่ในทางกลับกันถ้าเราถือสถานะ Short แปลว่าเราขายเงินดอลลาร์ออกไปก่อน สมมติว่า Short ที่ 31 บาท ถ้าเงินบาทแข็งค่าและลงไปอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเราก็จะได้กำไร ซึ่งเหมาะสมกับทั้งผู้ประกอบการส่งออกหรือนำเข้าที่อ้างอิงเงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขาย สามารถเลือกได้เลยว่าต้องการป้องกันความเสี่ยงมูลค่าเท่าใดและราคาใด ถ้าใครเป็นผู้เริ่มต้นเทรดฟิวเจอร์ส ผมแนะนำให้ทดลองจำนวนเล็กๆกับสัญญา US Dollar ก่อน เพราะอัตราเหวี่ยงไม่มาก และใช้เงินน้อย แค่ 1 สัญญาทดลองดูก่อนว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้มั้ย การขึ้นลงราคาเป็นยังไง ดอลลาร์คืออะไร ขึ้นลงแล้วเรากำไรขาดทุนเป็นแบบไหน หลังจากนั้นถ้าสามารถซื้อขายตัวนี้ได้ ก็อาจทดลองในสัญญาประเภทอื่นๆเพิ่มเติม ... ความรู้อยู่ที่การฝึกฝน จะเก่งได้ไม่ใช่แค่ว่าอ่านตำรับตำรามาแล้วบอกว่าพร้อม มันต้องทดลองของจริง เจ็บจริง กำไรจริง แล้วจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:15:08

ความคิดเห็นที่ 16 ผลิตภัณฑ์ในอนาคต จากการสอบถามหลายๆท่าน ไม่ว่าจะบุคคลที่ทำงานในแวดวงหลักทรัพย์ รวมถึงบุคคลที่ทำงานในกลุ่มของตลาดหลักทรัพย์ ตลาดอนุพันธ์ ในอนาคตเชื่อว่าจะมีผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Sector Futures หรือดัชนีรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมแยกกันไป เช่นอยากเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงเฉพาะกลุ่มธนาคาร หรือกลุ่มพลังงาน ก็จะมีแยกกันออกไปมากขึ้น รวมถึงในกลุ่มค่าเงินซึ่งเชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีออกมาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินยูโร, เยน, หยวน, ปอนด์ หรือสกุลอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อทำให้ผู้ค้าระดับ SME สามารถมีตัวช่วยในการป้องกันความเสี่ยงของความผันผวนของค่าเงิน เพราะธุรกิจไทยในกลุ่ม SME ส่วนใหญ่แล้วก็ทำการค้ากับประเทศในกลุ่มเอเชียเยอะ การป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินจึงเป็นส่วนสำคัญ เพราะเรื่องของค่าเงินนั้นบางครั้งอาจพลิกสถานการณ์บริษัทจากกำไรกลายเป็นขาดทุนได้เหมือนกัน จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:16:08

ความคิดเห็นที่ 17 การใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง แม้ว่าในตลาดหุ้นไทยคนที่เล่นฟิวเจอร์สส่วนใหญ่มักจะเป็นนักเก็งกำไร ... จากโพลที่ผมเคยทำก็มากกว่า 80% แต่ข้อดีของการใช้ฟิวเจอร์สเพื่อการป้องกันความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย ... โดยมากแล้ว การป้องกันความเสี่ยงผมว่ามีประโยชน์มากโดยเฉพาะในยามนี้ ซึ่งตลาดหมุนวนเป็นคลื่นสวิงสวายอย่างน่ากลัว ซื้อหุ้นถูกตัวก็วิ่งไป ถ้าซื้อผิดก็คงแย่ แต่น่าจะดีกว่าถ้าเราซื้อแล้วก็ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้สักหน่อย ยกตัวอย่างกับ Single Stock ของ IRPC แล้วกัน ซึ่ง 1 สัญญามีมูลค่าเท่ากับ 1,000 หุ้น ถ้าสมมติว่าเราซื้อหุ้นสามัญของ IRPC เอาไว้ 10,000 หุ้นที่ราคา 3.60 บาทต่อหุ้น แน่นอนว่าถ้าเวลามันวิ่งขึ้นไป 3.70 เราย่อมได้กำไร 1,000 บาท แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่วิ่งขึ้นแต่กลายเป็นวิ่งลงมาที่ 3.50 เราอยากเสียเงินเยอะๆหรือเปล่า? คำตอบคือ “ไม่” เราทุกคนอยากได้เงิน และเราไม่อยากเสียเงิน แต่จะทำยังไงได้ ความฝันกับความจริงมันเป็นคนละเรื่องกัน เดินย่ำเท้าเข้ามาในตลาดหุ้นไม่มีหรอกจะได้เงินออกไปง่ายๆ วิธีที่ดีที่สุดคือป้องกันความเสี่ยงเอาไว้สักหน่อย เช่นซื้อหุ้นเอาไว้ 10,000 หุ้น อาจจะ Short ไว้สัก 5 สัญญา (มูลค่าเท่ากับ 5,000 หุ้น) ถ้าราคามันดิ่งลงเราก็เจ็บตัวน้อยหน่อย เพราะเราจะได้กำไรจากการ Short ไปโปะขาดทุนหุ้น ในขณะเดียวกันถ้ามันวิ่งขึ้นเราก็อาจจะได้กำไรน้อยหน่อยเพราะเราป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ สำหรับวิธีที่ผมมักจะใช้คือ ด้วยความที่เป็นนักเก็งกำไร ถ้าในกรณีอย่าง IRPC ซื้อเอาไว้ 10,000 หุ้น และซื้อหุ้นมาที่บริเวณแนวรับพอดี และเราก็ไม่รู้ว่ามันจะรับอยู่หรือไม่อยู่ ผมก็จะป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ส่วนหนึ่ง โดย Short เอาไว้ประมาณ 6 สัญญา (มูลค่าเท่ากับ 6,000 หุ้น) ถ้าในวันต่อมาราคาวิ่งขึ้น เพราะแนวรับนี้รับได้และราคาหุ้นเด้งขึ้นไป ผมจะปิดสถานะ Short ออกไป 2 สัญญา (คงเหลือในมือ 4 สัญญา) ถ้าในวันต่อไปมันไม่วิ่ง นิ่งๆแดงๆเขียวๆ ก็จะอยู่เฉยๆคงสถานะไปก่อน ถ้ามันลงอาจจะพิจารณาป้องกันความเสี่ยงเพิ่ม หรือถ้าไม่ลงต่อ ก็จะทะยอยปิดสัญญาที่ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้จนหมด แม้ว่ากำไรจะน้อยหน่อย แต่อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนบักโกรกในวันที่ตลาดหงุดหงิดอย่างไม่คาดฝัน ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นขึ้นเยอะๆมากๆแล้ว บางคนอาจใช้วิธีการทะยอยแบ่งขายออกไปเพื่อลดความเสี่ยง แต่สำหรับผมในบางทีแน่นอนผมอาจทะยอยขาย หรือในบางครั้งก็อาจจะใช้วิธีการ “ล็อคกำไร” เช่นถ้ามีหุ้น IRPC ราคา 3.60 บาทต่อหุ้นจำนวน 10,000 หุ้น และมันขึ้นไปแล้วที่ 4.00 บาท ผมเองใจหนึ่งก็อยากแบ่งขายทำกำไร แต่อีกใจก็คิดว่า มันน่าจะขึ้นต่อนะ แต่ด้วยความสองจิตสองใจ ก็ทำการ “ล็อคกำไร” มันซะเลย ซึ่งก็จะใช้วิธีการ Short IRPC ที่ 4.00 บาทสักประมาณ 2-3 สัญญา ทำให้เหมือนว่าเราขายทำกำไรออกไปแล้ว แต่จริงๆเราแค่ล็อคกำไรเอาไว้ที่จุดนี้ก่อน และถ้าราคาปรับตัวลงผมอาจพิจารณาล็อคกำไรเพิ่มโดยเพิ่มการ Short จำนวนสัญญาให้มากขึ้น ในทางตรงข้ามถ้าราคาปรับตัวขึ้นต่อไป ผมก็ปิดสัญญาตัวที่ล็อคกำไรเอาไว้ แล้วก็ปล่อยหุ้น Let’s Profit Run ต่อไป สิ่งต่างๆเหล่านี้มีข้อเสียของมันเองนิดหน่อยก็คือ กำไรของเราจะลดลง (ในกรณีที่เราทำกำไรได้) เพราะเราจะมีภาระค่าคอมมิชชั่นที่สูงขึ้นและอาจเสียโอกาสบ้างในบางครั้ง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราแน่ใจได้ว่ากำไรส่วนนั้นเราได้กำไรจริงๆ เสียค่าคอมมิชชั่นแค่ไม่กี่สิบบาท มันคงไม่คุ้มกับการที่เราปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุนหรอกจริงไหม? ^^ เครื่องมือแต่ละชนิดและแต่ละอย่าง ถ้าเราประยุกต์ใช้ให้ดีและเหมาะสมกับตัวเรา โดยเรามีความรู้ ความเข้าใจ และใช้มันอย่างถูกต้องเพียงพอ มันก็ย่อมเป็นคุณอนันต์แก่เรา จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:18:09

ความคิดเห็นที่ 18 ข้อคิดสำคัญ สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะเจอบ่อยๆคือคนที่ขาดความรู้และความเข้าใจในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และมาทดลองเทรดจริงก่อนที่ตัวเองจะเข้าใจถึงหลักการและวิธีการ ดังนั้นผลลัพธ์คือคนเหล่านี้มักจะเจ๊ง หรือขาดทุนหนักมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือถ้าจะอยู่รอดในตลาดฟิวเจอร์ส ความสำคัญคือปฏิบัติตามเครื่องมืออย่างเคร่งครัด เทรนด์มาก็ว่ากันไปตามทางของมัน อย่าดื้อรั้นหรือสวนกระแส ไม่งั้นเจ็บตัว และเมื่อผิดพลาดต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะคัทลอส หรือล็อคความเสี่ยง ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือ “Overtrade” นั่นหมายถึงอยากรวยเร็วๆ อยากมีเงินใช้เยอะๆ ยิ่งเงินเพิ่ม ยิ่งเพิ่มสัญญา สุดท้ายก็คือโดนกินเรียบก็เจ๊ง ข้อนี้เป็นข้อที่ผมพบมากที่สุดของคนที่เจ๊ง ซึ่งความหมายของมันก็คือ “โลภมาก” นั่นเอง แล้วเทรดแค่ไหนจะไม่ Overtrade? สำหรับผมแล้วต้องดูที่มูลค่าของสัญญาด้วย เช่น USD Futures มูลค่าสัญญาอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์ต่อสัญญา หากเราเปิดสถานะ Long ที่ราคา 31 บาทต่อสัญญา นั่นแปลว่ามูลค่าของสัญญาอยู่ที่ 31,000 บาท (1,000 ดอลลาร์ x 31 บาท) ถ้าเรามีเงินในพอร์ทเกินกว่า 31,000 บาท มันไม่ Overtrade แน่นอน แต่ในทางกลับกันสำหรับผมแล้ว ด้วยความที่เป็นคนนิยมความเสี่ยงแบบน้อยๆ ดังนั้นอาจอนุโลมให้ได้ว่าหากมีเงินประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าสัญญา ก็อาจถือได้ว่ายังอยู่ในระดับที่พอรับได้ ที่จะไม่อันตรายหากเจอกับแรงเหวี่ยงแรงๆ เช่นสัญญาข้างต้นที่บอกไปมูลค่า 31,000 บาท หากมีเงินในพอร์ทอยู่ราว 15,000 บาทสำหรับผมแล้วก็ยังถือว่าไม่เสี่ยงมากจนเกินไป เพราะนั่นหมายถึงถ้าจู่ๆค่าเงินบาทแข็งค่าวูบลงมาที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ ผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นต่อ 1 สัญญาคือ 1,000 บาท ก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ยอมรับระดับการขาดทุนได้อยู่แล้วเพราะเรามีเงินหน้าตักเพียงพอที่จะสามารถชำระราคาในกรณีขาดทุนได้ บางคนที่ Overtrade มากๆเช่น มีเงินในพอร์ทน้อย และด้วยอัตราเงินหลักประกันของสัญญาก็น้อย ก็จัดเต็มด้วยความหวังโลภ เพราะการเทรดฟิวเจอร์สข้อดีของมันคือใช้เงินจำนวนน้อย เพื่อได้ผลตอบแทนเยอะๆได้ ความโลภจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งานต้องบริหารให้ดี ถ้ามีเงินในพอร์ท 10,000 บาท แต่เทรด US Dollar Futures ไปซะ 10 สัญญา สมมติว่าเปิด Long ที่ 31 บาท ซึ่ง 1 สัญญาใช้เงินวางหลักประกันแค่ 380 บาท (โดยประมาณ) เท่านั้นเองนั่นหมายถึงเราวางเงินไปแค่ 3,800 บาท (10 สัญญา) แต่เราได้มูลค่าสัญญาในมือมูลค่ากว่า 310,000 บาท (31 บาทที่เปิด Long x 1,000 ดอลลาร์ต่อสัญญา x 10 สัญญา) ถ้ามันขึ้นไปที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ แน่นอนว่าเรารวยขึ้นได้จริง เพราะเงินจะเพิ่มเป็นกำไรอีก 1 หมื่นบาททันที แต่ในทางกลับกันถ้ามันลงมาเหลือ 30 บาทต่อดอลลาร์ เราขาดทุน 1 หมื่นบาท แต่เงินในมือเรามีแค่ 1 หมื่น ก็ต้องไปหาเงินมาเติมเพื่อรักษาสถานะสัญญา ไม่เช่นนั้นความเดือดร้อนจะถามหา ... นี่คือสิ่งที่ต้องพึงระวังสำหรับการ Overtrade มันอันตรายมากถ้าคุณอยู่ในภาวะเช่นนั้น จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:19:59

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าผิดทางต้องรู้วิธีการจำกัดความเสี่ยง ข้อดีของฟิวเจอร์สคือสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดีและปรับกลยุทธ์ได้ตามสไตล์ที่เราต้องการ ซึ่งหากคุณเปิดสถานะผิดทางเช่น Long Gold Futures ไป แต่ราคามันกลับวิ่งลงมา เราสามารถเลือกทางในการบริหารความเสี่ยงได้สองทาง ประการแรกคือคัททิ้งไปเลย ปล่อยแล้วปล่อยเลย จบแล้วจบกัน ซึ่งนั่นหมายถึงการเสียเงินในส่วนที่ขาดทุนไป คัทลอสแล้วเอาเงินทั้งหมดคืน เริ่มต้นใหม่รอทางที่ชัดเจนแล้วค่อยว่ากันใหม่ต่อไป กับอีกวิธีคือการล็อคความเสี่ยงของตัวมันเองได้ เช่นการใช้ “สเปรด” ก็คือการถือสถานะอีกฝั่งเพื่อบริหารความเสี่ยงได้ เช่นเปิด Long GFQ12 (สัญญาทองคำมูลค่า 50 บาท) แต่ราคามันกลับวิ่งลงมา เราสามารถเปิด Short GFV12 ได้ด้วยเพื่อล็อคส่วนของความเสี่ยงนั้นเอาไว้ พูดง่ายๆคือคัทลอสแค่ชั่วคราว และถ้าราคามันกลับมาที่จุดเดิมเราอาจจะเลือกปิดในทางใดทางหนึ่ง เพื่อเก็งอีกทางหนึ่งก็ได้ ฟังแล้วอาจจะงง มันก็คือการล็อคจำนวนเงินที่เราขาดทุนเอาไว้ เพื่อให้โอกาสเรารอหากมันร่วงลงไปแค่แป๊บเดียวแล้วเด้งกลับ เราก็อาจจะปิดตัวที่เราป้องกันความเสี่ยงเอาไว้ แล้วปล่อยในราคามันขึ้นต่อนั่นเอง อย่างตัวทองคำเองก็มีข้อดีอีกอย่างคือในสัญญาตัวเดียวกัน มีสองประเภทสัญญาให้เลือก และราคาจะวิ่งในราคาใกล้เคียงกัน เช่น GFQ12 เป็นสัญญาทองคำมูลค่า 50 บาท แต่ก็มีอีกตัวหนึ่งคือ GF10Q12 ซึ่งเป็นสัญญาทองคำมูลค่า 10 บาท หากสมมติว่าเราเปิดสัญญา Long GFQ12 ไป 1 สัญญาที่ราคา 24,000 บาท ในขณะเดียวกันราคามันร่วงลงมาที่ 23,900 บาท เราอาจพิจารณาคัทเลยก็ได้ หรือเปิด Short GF10Q12 จำนวน 5 สัญญาเพื่อล็อคความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ... หากราคามันร่วงลงไปเหลือ 23,500 บาท จำนวนกำไรของ GF10Q12 ทั้ง 5 สัญญาจะได้กำไรเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน GFQ12 ก็จะขาดทุนมากขึ้น ท้ายที่สุดมันก็คือการล็อคความเสี่ยงส่วนที่เราขาดทุนเอาไว้ก่อน หากอีก 2 วันถัดมาราคาทองคำขึ้นมาที่ 23,900 อีกครั้ง และคราวนี้มันค่อยๆวิ่งกลับขึ้นมาที่ 24,000 เราก็แค่ปิดสัญญาตัวที่เปิด Short เอาไว้ (GF10Q12) แล้วก็ปล่อยให้ราคามันขึ้นไปด้วยสัญญา Long ของเรา (GFQ12) แต่อย่างไรก็ดีในกรณีแบบนี้เราก็จะต้องเสียส่วนที่เราขาดทุนไปด้วย และค่าคอมมิชชั่นการซื้อขาย แต่ถามว่าส่วนนั้นเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่ ผมว่าเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้นะ เพราะถ้าเวลามันขึ้นเราก็กินยาวซึ่งสามารถกลบค่าคอมและส่วนที่ขาดทุนได้อยู่แล้ว Streaming Pro ข้อดีอีกประการคือสามารถตั้ง Stoploss ได้ แม้ว่าเราอาจจะปวดห้องน้ำหรือต้องลุกไปทำอย่างอื่น ซึ่งเราสามารถตั้งเอาไว้ให้มันคัทให้เราอัตโนมัติได้ ซึ่งการคัทแบบที่แนะนำคือการใช้คำสั่ง Last>= หรือ Last<= Stop price เพราะในบางครั้งการใช้ Bid หรือ Offer หากไม่มีฝั่งที่เราต้องการมันก็จะไม่ทำการ Stop ให้เรา ดังนั้นหากมันหลุดก็ให้โยนไปเลยทุกราคาที่ดีที่สุดไปเลยดีกว่า มันขึ้นอยู่กับเราด้วยว่ามีกลยุทธ์ในการบริหารอย่างไร ฟังตอนนี้อาจจะดูยาก ไปลองเล่น Click2win สัก 2-3 เดือนแล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรยากเกินกว่าที่เราเข้าใจได้หรอกครับ จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:21:44

ความคิดเห็นที่ 20 ส่งท้าย ... ผมเคยขาดทุน Futures มั้ย? ... ถ้าผมไม่เคยขาดทุนเลยคงต้องรีบไปเปลี่ยนชื่อเป็น “กฤติเทพ” ซะแล้วหละ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยเจ็บ ไม่เคยขาดทุน และไม่เคยคิดผิดพลาด สำคัญคือวินัยในการเก็งกำไร ถ้าคิดจะเก็งกำไร ก็ต้องมีวินัย ถึงจุดคัทก็ต้องคัท แม้ว่าคัทแล้วเราอาจจะเจ็บใจมันเด้งต่อก็ตาม วินัยสำคัญที่สุด อย่าปล่อยให้มันกินทุนเราเข้าไปเรื่อยๆก็พอ ซึ่งกลยุทธ์ของแต่ละคนจะแปลกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสามารถ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ... บ่อยครั้งที่ผมเห็นคนที่ผิดพลาดออกมาโหวกเหวกโวยวาย ไอนู่นผิดไอนี่ผิด ตลาดผิด ยุโรปผิด อเมริกาผิด ... แต่ลืมตัวเองไป ... ถ้าผิด เริ่มใหม่ โทษเราเอง ไม่ต้องไปโทษคนอื่น ไม่มีใครบังคับเราเทรดได้ ไม่มีใครบังคับเรามาซื้อขายได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเราเอง ผิดก็ต้องโทษตัวเอง ถูกก็อย่าละโมบจนเกินไป ข้อดีของ Futures คือใช้ประโยชน์ได้หลายทาง และปรับปรุงกระบวนการและกลยุทธ์ได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเราที่จะเลือกใช้แบบใด ทางใด มันไม่มีรูปแบบตายตัว แต่อย่าพยายามยึดติดกับการกระทำเดิมๆ หรือโมเดลเดิมๆ เพราะในภาวะที่ตลาดเปลี่ยน คนเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน รูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดก็จะเปลี่ยน ผมเองก็คงจะไม่เก่าไม่ใหม่ในวงการ Futures แม้ว่าไม่ได้เทรดกันทุกวัน แต่ก็ดูมันอยู่ทุกวัน เทรดทุกครั้งที่ค่อนข้างแน่ใจว่าทิศทางจะไปในทางนั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องเทรดกันบ่อยๆ เทรนด์มาก็ไปตามเทรนด์ ไม่ต้องพยายามฝืนกระแส และพยายามอย่าเอาทุกอย่างมาสะเปะสะปะปนกัน คิดและวางแผนให้รอบคอบก่อนเทรด ถ้าไม่มั่นใจอยู่เฉยๆ ไม่ได้เงินก็ไม่เสียเงิน อ้อ ... ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือถ้าอยากเก่งในวงการฟิวเจอร์ส พยายามอ่านพันทิปให้น้อยลง อันนี้พูดจริงๆ เพราะบางครั้งกลยุทธ์และแผนที่เราทำเอาไว้มันถูกต้องดีแล้ว แต่พอมาฟังคนอื่นๆเข้าก็มักจะเจอข้อขัดแย้งบางอย่างจนเป็นข้อผิดพลาดในใจ ท้ายที่สุดไม่ได้ทำตามแผนตัวเองแต่ไปทำตามแผนคนอื่น อาจจะเกิดหายนะได้ เพราะกลยุทธ์ของคนอื่นเขามีภาพที่ใช้ ระยะเวลา หรือระบบที่แตกต่างกับเรา ... เชื่อมั่นในวิธีการของเราแล้วทำตามนั้นดีที่สุด ผิดก็โทษตัวเองแล้วปรับปรุงใหม่ ถ้าถูกก็ค่อยเป็นค่อยไปตามวิธีทางของเรา “เงินของเรา คือความรับผิดชอบของเรา” อย่าโทษคนอื่นถ้าเราไม่ได้กำไร จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 04:23:05

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากๆ เลยค่ะสำหรับ Venezier The Futures ข้อมูลต่างๆ ที่นำมาวิเคราะห์ + นำเสนอยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม จากคุณ : แอปเปิ้ลน้อยสีชมพู เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 06:24:13

ความคิดเห็นที่ 23 แป่ะไว้ก่อน  ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 06:28:45

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ... โหวตให้แล้วนะคะ จากคุณ : tickkcit เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 07:57:26

ความคิดเห็นที่ 25 ขยันจังครับ :D = หากท่านที่ติดตามผลงานของปู่แบบจริงๆจังๆจะเห็นได้ว่า Berkshire เองในรายงานผลประกอบการและบัญชี เราก็จะเห็น Derivatives อยู่ในงบของบริษัทมาตั้งหลายปีแล้ว แน่นอนว่าปู่ไม่ใช่เทพเจ้า บางไตรมาสก็ได้กำไร Derivatives จำนวนมาก ในบางไตรมาส ก็มีเสียเช่นกัน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าเลือกใช้ในกลยุทธ์แบบใด = Buffet เลือกใช้กลยุทธ์ Derivatives มาหลายปีแล้วครับ เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนในประเทศไทยมักไม่ยอมพูดถึง ซึ่งจริงๆแล้ว อาจนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าเราได้ศึกษาครับ จากคุณ : Unsign เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 08:12:14

ความคิดเห็นที่ 26 เข้าอ่านเก็บเกี่ยวความรู้เช่นเคย แต่การลงทุนใน Futures พี่คงทำไม่ได้แน่ ๆ เพราะยากเกินความรู้ความสามารถของตัวเองค่ะ แจกกิ๊ฟต์และกดโหวตให้นะคะ จากคุณ : หวานใจกัปตัน เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 08:33:01

ความคิดเห็นที่ 27 การลดความเสี่ยง หรือ ล็อกกำไร ...วงการเล่นมวย ก็มีมานานแล้ว เค้าเรียกกันว่า "ออกตัว"  5 5 5 จากคุณ : จินหยง เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 08:55:31

ความคิดเห็นที่ 28 ยอดเยี่ยมเสมอ ยังขอเป็นแฟนคลับเหมือนเดิม เป็นกระทู้ที่ให้ความรู้ดีมากครับ จากคุณ : Superbot เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 09:12:15

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันครับ  :) จากคุณ : GTR34 เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 09:29:22

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณค่ะ คนขยัน แต่เยอะมาก เดี๋ยวไว้ค่อยมาอ่านนะคะ อยากศึกษาดูเหมือนกัน จากคุณ : คนน่ารักที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 09:41:02

ความคิดเห็นที่ 31 โปรโมชั่น ... ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ให้กันมาตลอด ปัจจุบัน SinthornVista อายุครบ 1 ปีแล้ว เย่ !!! ในวาระครบรอบ 1 ปี ผมเลยพยายามหา Partner มาร่วมกันเพื่อจัดแคมเปญที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร โดยลดราคาค่าคอมมิชชั่นของ SET50 Index Futures ลง 50% เฉพาะ 5 สัญญาแรก ติดต่อกันนาน 6 เดือน สำหรับลูกค้าที่เทรดด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เนต นั่นหมายถึงว่าถ้าเทรดเต็ม 5 สัญญา จะได้รับเงินคืนสูงสุด 410 บาท x 5 สัญญา = 2,050 บาทต่อเดือน และถ้าอยู่กันครบเทอมจนกระทั่งสิ้นปีจะได้คืนสูงสุดถึง 12,300 บาท ประหยัดค่าคอมไปได้หมื่นกว่าบาท คุ้มอยู่นะ ^^ รายละเอียดต่างๆ http://sinthornvista.com/news/ausirisvista/ กระทู้จบแล้ว ขอบคุณที่ติดตาม สวัสดีครับ ^^ http://www.facebook.com/SinthornVista จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 12:07:06

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากครับ  อยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ขอถามอีกหน่อย  แล้ว จะซื้อขาย Future กันยังไงครับ ต้องไปเปิดบัญชีใหม่ ทำสัญญาใหม่ไหม เปิดพอร์ตใหม่ หรือว่า มีพอร์ต อยู่แล้วก็ สามารถซื้อได้เลย จากคุณ : ChineseBoy เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:08:20

ความคิดเห็นที่ 33 Re#32 ChineseBoy เปิดพอร์ทอยู่แล้วก็ติดต่อบริษัทหลักทรัพย์เพื่อขอเปิดพอร์ทสำหรับ TFEX เพิ่มเติมได้ครับ ต้องเซ็นเอกสารสำหรับฟิวเจอร์สต่างหากเพื่อเปิดบัญชีสำหรับซื้อขายตราสารอนุพันธ์ครับ จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 13:12:29

ความคิดเห็นที่ 34 ได้เสียเร็วมากกกกกก จนแทบคิดว่าเป็นไฮโลในโลกการลงทุนครับ ต่างที่สามารถดูอินดี้ประกอบการตัดสินใจได้ และสามารถดูเทรนได้ ทุกวันนี้ทีเฟกเป็นเมนูหลักเลย หุ้นก็ถือยาวๆไปตามรอบ แต่ทีเฟกนี่เดย์เทรด จากคุณ : MounTrader เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 14:06:32

ความคิดเห็นที่ 36 เยี่ยมครับ... เนื้อหาแน่น ได้ความรู้เยอะ เขียนต่ออีก นะครับ จากคุณ : Namsan (Namsan) เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 15:20:49

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : tunatae เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 16:54:15

ความคิดเห็นที่ 38 อย่าไปยุ่งมันเลยครับ อันตรายมากๆๆๆๆๆๆๆ ผมเจ๊งมาแล้ว จากคุณ : kopbirt เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 18:10:38

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณมากครับ ^^ จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 20:38:46

ความคิดเห็นที่ 40 พยายามเปิดสถานะ combination order (GF10Q12V12) ใน click 2 win อยู่ แต่ทำไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าต้องใส่ช่องราคายังไง พอใส่เป็นจำนวนที่มีคนตั้ง bid offer ไว้เช่น bid 90 offer 100 สั่งไปแล้วถูก reject ทันที ทั้งกลางวันและกลางคืน และอีกอย่างคือไม่เห็นราคาตลาดขึ้นให้เห็นเหมือนฟิวเจอร์ปกติ (ใช้ streaming pro) จากคุณ : lordofdark เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 55 22:25:13

ความคิดเห็นที่ 41 Re#40 คุณ lordofdark ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ = =' จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 00:22:17

ความคิดเห็นที่ 42 เพิ่งมาอ่าน วันหลังคงต้องลองหาอ่านเพิ่มเติม เป็นกระทู้ที่น่าสนใจมาก ขอบคุณนะครับ ปล. " วินัยสำคัญที่สุด อย่าปล่อยให้มันกินทุนเราเข้าไปเรื่อยๆก็พอ ซึ่งกลยุทธ์ของแต่ละคนจะแปลกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสามารถ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ... บ่อยครั้งที่ผมเห็นคนที่ผิดพลาดออกมาโหวกเหวกโวยวาย ไอนู่นผิดไอนี่ผิด ตลาดผิด ยุโรปผิด อเมริกาผิด ... แต่ลืมตัวเองไป ..." ยอดเยี่ยม จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 00:32:42

ความคิดเห็นที่ 43 ขอแจกกิฟท์ให้   เฉพาะข้อความสั้นๆ  ที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆ (ความคิดเห็นที่ 4) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 55 10:48:12 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 10:45:26

ความคิดเห็นที่ 44 น้ำมันนี่คนเล่นน้อยจริงๆ...ว่าจะเข้าๆ.....เคยตั้งราคาไว้แค่จุดเดียวมันยังไม่ขยับเลย....ทำเอาหมดอารมณ์อยากไปซะงั้น555 ส่วนดอลล่าห์เข้าไปดูที..วิ่งกันปรู๊ดปร๊าดดีเหมือนกัน คนเล่นเยอะ...น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ข้อเสนอแนะ.... น่าจะทำฟิวเจอร์ของพรรคการเมืองมั่งงิ...ช่วงเลือกตั้งคงเชียร์กันมันส์น่าดู ^^ รัฐประหารที...คงยอมขายทิ้งกันทุกราคาเลย..555(ขำๆนะ) จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 11:29:40

ความคิดเห็นที่ 45 อยากตอบซ้ำเหมือนที่เคยตอบคุณ Antonio at MonkeyFreeTime เลยยะกมาทั้งหมด+แก้ไขละกัน "น้ำบ่อ ย่อมไม่ยุ่งน้ำคลอง เหมือนเอาไทเกอร์ วู้ดส์ ไปแข่งฟุตบอลกับอิเนียสต้า พญาเสือคงเหมือนเสือละครสัตว์ แต่ก่อนเราจะเชื่อแต่ Fundamental และไม่ยอมรับ Technical เลย แถมยังดูถูกคนที่ใช้กราฟดูหุ้นว่าโง่ด้วย ยิ่ง TFEX ด้วยแล้ว เราเห็นว่าโดยทฏษฎี มันคือโต๊ะบอลดี ๆ นี่เอง เล่น TFEX ก็เหมือนแทงบอล เจ๊งชัวร์ ปัจจุบัน เราก็ยังคงเชื่อแต่ Fundamental เพราะมัน work สำหรับเรา และก็ยังคงไม่ยอมรับ Technical เหมือนเดิม และยังคงเห็น TFEX เป็นการพนันเหมือนเดิม เพียงแต่เราเลิกไปสนใจคนอื่นที่เล่น TFEX เพราะเราถือว่า การลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทุกคนย่อมต้องรับผิดชอบผลของการกระทำของตนเอง ถ้าเล่นได้ก็ได้เอง เล่นเจ๊งก็เจ็บเอง เราไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาเมื่อเขาได้ หรือไปสงสารเมื่อเขาเสีย สรุปว่า ทางใครทางมัน ผลงานจะเป็นคำตอบของคุณเอง" เคยเห็นใครแทงบอลแล้วรวยมั้ยล่ะ ปู่บัฟเฟตต์ส่วนใหญ่ใช้ Derivatives เพื่อ Hedge เท่านั้นแหละ... จากคุณ : icute123 เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 13:59:04

ความคิดเห็นที่ 46 ทราบมาว่าอายุยังน้อยแต่ความรู้แน่นจังเลย  อย่างนี้น้อยแต่อายุแต่แก่ความรู้  นี่แหละคนรุ่นใหม่  แถมยังใจดีเอามาแบ่งปันอีกแน่ะ จากคุณ : ไม่หล่อแต่เซ่อ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 55 23:18:24

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณครับ  มีประโยชน์มากจริงๆ จากคุณ : Bronze (Hanxy20) เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 11:15:50

ความคิดเห็นที่ 48 ถึงจะไม่คิดยุ่งกับฟิวเจอร์  แต่อ่านแล้วก็ได้ประโยชน์มากครับ ถึงอารัมภบท จะน่าหมั่นไส้นิดๆก็เถอะ "เห็นว่าเป็นประโยชน์อยากกดโหวตก็กดได้ แต่ถึงไม่กดเดี๋ยวมันก็ขึ้นไปเป็นกระทู้แนะนำเองหละ" โหวตให้อยู่ดี จากคุณ : joeymydear เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 15:02:29

ความคิดเห็นที่ 49 ^^ คห บน 55 ตอนแรกมั่นไส้นิดๆ เหมือนกัน  แต่คิดอีกทีก็ไม่เป็นไรก็คนเขามีความรู้จริงและกระทู้ส่วนใหญ่เขาก็เป็นกระทู้แนะนำจริงๆ ถ้าจะมั่นใจเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่น่าเกลียด :) ว่าแต่ต้องขอบคุณคุณ venezier วันนี้ผมลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมดูและไปสมัคร click2win เอาไว้สำหรับเทรด future จากความเข้าใจเป็น 0 ตอนนี้ความเข้าใจมีมากขึ้นหลายเท่า  ถ้ากำไรขาดทุนจะมารายงานนะคับ จากคุณ : ไม่หล่อแต่เซ่อ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 55 21:15:41

ความคิดเห็นที่ 50 55555 อย่าหมั่นไส้เค้าน้าาาาา จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 00:55:23

ความคิดเห็นที่ 51 ไม่รู้เป็นการรบกวนคุณ venezier มากไปรึเปล่า... ไหนๆก็พูดเรื่อง future แล้ว   ขอพวก AFET ด้วยได้มั้ยครับ ประมาณว่า ซื้อขายยาง กี่สัญญา....พอครบเวลา  ได้ยางมากองหน้าบ้านจริงๆอย่างนั้นรึเปล่า?? ขอบพระคุณครับ..สำหรับความรู้ที่นำมาแบ่งปัน   คนที่อธิบายเรื่องยาก.ให้เข้าใจง่าย น่านับถือครับผม จากคุณ : คนเขลาเบาปัญญา เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 10:21:51

ความคิดเห็นที่ 52 Re#51 คุณคนเขลาเบาปัญญา AFET ก็คือตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าครับ อันนี้เก็งกำไรกันแทบจะล้วนๆเลย และเจ้ามือในนั้นโหดมากครับ เนื่องจากเป็นเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนไม่มีการเอายาง หรือสินค้าเกษตรมากองหน้าบ้านครับ เป็นสัญญาซื้อขายชำระเงินสดเหมือนกัน AFET เวลาเล่นเล่นแรงมากครับ แนะนำว่า Futures ในตลาด TFEX ดีกว่าครับค่อนข้างแฟร์กว่า จากคุณ : venezier เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 11:55:25

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณมากครับคุณ venezier  ทำให้เข้าใจเรื่องตลาด future อย่างมากทีเดียว เมื่อก่อนญาติเคยมั่วให้ฟังว่า  ไปซื้อสัญญายางที่ตลาด afet พอครบสัญญาเค้าจะเอายางมาส่งมอบ ให้ถึงหน้าบ้านเลยนะ....ฟังแล้ว ต๊กใจ ขอบคุณอีกครั้งที่ให้ความกระจ่างครับผม จากคุณ : คนเขลาเบาปัญญา เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 13:07:06

ความคิดเห็นที่ 54 เสียแล้ว  เสียไป ช่างมัน  เริ่มต้นใหม่ จากคุณ : CutePat เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 16:43:39

ความคิดเห็นที่ 55 เป็นประโยชน์มากมาย ขอบคุณค่ะ ติดตามอยู่เรื่อยๆค่ะ จากคุณ : Memory Lane เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 55 17:21:16