Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ค้นฟ้าคว้าดาว/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52673
Credit : คุณ Thai VI Article และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"

ค้นฟ้าคว้าดาว ดาว นกดื่มชา

  กระบวนการที่ยากและสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการลงทุนแบบ VI ก็คือ  การค้นหาหุ้นที่จะลงทุน  เหตุผลก็คือ  มีหุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนกว่า 500 บริษัท  ที่ทำธุรกิจหลากหลายมากมาย  บริษัทเหล่านี้อยู่ใน  “ช่วงชีวิต”  ต่าง ๆ  เช่น  กำลังเริ่มต้น  เติบโต  เติบโตเร็ว  อิ่มตัว  ตกต่ำ  ซึ่งเราไม่รู้  นอกจากนั้น  ราคาหุ้นของแต่ละบริษัทก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาซึ่งทำให้ความน่าสนใจของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเช่นกัน  ดังนั้น  การมองหาหุ้นที่จะเข้าไปศึกษาและลงทุนจึงเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลา  ต่อไปนี้คือวิธีการหาหุ้นที่  VI รวมถึงผมมักจะใช้

  วิธีแรกที่น่าจะง่ายที่สุดก็คือ  การติดตามบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์  โดยเฉพาะโบรกเกอร์หลาย ๆ  แห่งที่จะมีการนำเสนอหุ้นที่  “น่าสนใจ”  เป็นหุ้นที่เขาแนะนำให้ซื้อหรือบางครั้งแนะนำให้ซื้อ  “อย่างแรง”  วิธีนี้มีข้อดีก็คือ  เราไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา  หุ้นถูกเสิร์ฟให้เราถึงที่  แต่ข้อเสียก็คือ  เขามักจะวิเคราะห์และแนะนำเฉพาะหุ้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีสภาพคล่องในการซื้อขายมากพอ  ซึ่งอาจจะมีหุ้นเพียง 200-300 ตัวเท่านั้นที่โบรกเกอร์ครอบคลุม  ประเด็นก็คือ  หุ้นที่เขาแนะนำให้ซื้อนั้น  บ่อยครั้งมีราคาและปริมาณการซื้อขายปรับตัวขึ้นมาแล้ว   ดังนั้น  ความน่าสนใจก็จะลดลงเพราะราคาหุ้นแพงขึ้น  ในบางกรณี  โดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยและสภาพคล่องมีไม่มากนั้น   ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาสูงลิ่วแล้วก่อนที่เขาจะแนะนำ  ดังนั้น  การหาหุ้นจากวิธีการนี้   เราจะต้องระวังว่ามันอาจจะไม่ถูกในแง่ของ VI  การเข้าไปซื้ออาจจะเป็นการ  “เก็งกำไร”  ก็ได้

  วิธีที่สอง  สำหรับคนที่ขยันและมีเวลา  เช่น  คนที่  “ลงทุนเป็นอาชีพ”  อาจจะติดตามเข้าร่วมฟังรายการ  “บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน”  หรือที่เรียกว่า  “Opportunity Day”  ที่มีการจัดที่ตลาดหลักทรัพย์เป็นประจำเกือบทั้งปี  นี่คือรายการที่ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก  มาบรรยายและให้ข้อมูลรวมทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับบริษัทแก่นักลงทุน  รายการนี้จึงเป็นช่องทางในการที่เราจะได้ข้อมูลค่อนข้างลึกเกี่ยวกับบริษัทรวมถึงในหลาย ๆ กรณี  ได้พบกับผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียนซึ่งบางคนบอกว่าจะได้ดู  “โหงวเฮ้ง”  ว่าน่าจะเป็นคนมีความสามารถและไว้ใจได้แค่ไหน  และนั่นก็คือข้อดีของการไปหา  ศึกษา  และวิเคราะห์หุ้นจากงาน  “อ็อปเดย์”   อย่างไรก็ตาม  ข้อเสียก็อาจจะมีเหมือนกัน  นั่นคือ  การไปฟังบริษัทมาก ๆ  นั้น  บางทีก็ทำให้เรา  “เคลิ้ม”  ได้เหมือนกัน  กล่าวคือ  บริษัทอาจจะให้แต่ภาพที่ดี ๆ  และพยามพูดให้เราเชื่อว่าเขาดีกว่าปกติ  เรา  ที่มีความรู้น้อยกว่าก็จะคล้อยตามโดยที่ไม่ได้ไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มและทำให้เราวิเคราะห์ผิดพลาดไปได้

  ช่องทางที่สามในการหาหุ้นก็คือ  การใช้  “ตะแกรงร่อนหุ้น”  นี่คือการใช้ข้อมูลเชิงปริมาณในการคัดเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการและงบการเงิน  อัตราส่วนทางการเงิน  อัตราส่วนที่แสดงความถูกความแพงของหุ้น  มาเป็นตัวคัดกรองเพื่อที่จะศึกษาตัวหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เราต้องการ  ตัวอย่างเช่น  บางคนจัดเรียงหุ้นที่มีค่า  PE  ต่ำที่สุดจนถึงหุ้นที่มีค่า PE สูงที่สุด  จากนั้นจึงคัดเลือกเฉพาะหุ้นที่มีค่า  PE  ต่ำที่สุดไม่เกิน 20 ตัวเพื่อนำมาศึกษาต่อเป็นต้น  หรือบางคนอาจจะมองบริษัทที่มีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงที่สุดเป็นตะแกรงที่จะคัดกรองหุ้น  เป็นต้น   ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือ  มันทำได้อย่างรวดเร็วและค่อนข้างจะทั่วถึงคือเราจะไม่พลาดหุ้นที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจเลยเพราะมันทำโดยคอมพิวเตอร์   และหลังจากนั้นเราค่อยมาดูข้อมูลเป็นรายตัวว่าเราสนใจตัวไหนเป็นพิเศษ   ส่วนข้อเสียก็คือ ข้อมูลที่เป็นเชิงปริมาณนั้น  มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและมันไม่ได้บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นต่อไปหรือไม่   และบางทีมัน  “หลอก”  ให้เราเข้าใจผิดในคุณสมบัติเชิงคุณภาพได้   ความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ  หลาย ๆ  คนรวมถึงผมด้วยนั้น  ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเขียนหรือรันโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบนี้ได้

  ช่องทางที่สี่ในการหาหุ้นลงทุนก็คือ  การติดตามอ่านข่าวสารในหน้าข่าวธุรกิจและข่าวอื่น ๆ  ที่เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนและอาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญ  ว่าที่จริงผมหมายรวมถึงการดูและฟังจากสื่อทุกชนิด   เพียงแต่การอ่านนั้นมักจะให้ข้อมูลที่มากและเร็วกว่าช่องทางอื่น   นี่คือการ  “อ่านเพื่อหาหุ้น”  ไม่ใช่การอ่านผ่าน ๆ   ความแตกต่างก็คือ  เมื่อเราอ่านแล้วเราจะต้องคิดต่อว่าหุ้นกลุ่มไหนหรือตัวไหนจะได้ประโยชน์และตัวไหนจะเสียประโยชน์  บริษัทไหนจะชนะและบริษัทไหนจะแพ้ในระยะยาว  เทรนด์ของธุรกิจไหนจะมาและอุตสาหกรรมไหนจะตกต่ำลง   การหาหุ้นจากช่องทางนี้  เป็นการหาหุ้นที่ใช้เวลามากแต่ก็จำเป็น  เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของการหาหุ้นลงทุนใหม่ ๆ  แล้ว  มันยังเป็นเรื่องของการติดตามข้อมูลของหุ้นตัวเดิมที่ยังอยู่ในพอร์ตด้วยว่าเราควรถือต่อหรือขายทิ้ง

  ช่องทางที่ห้าก็คือ  การหาหุ้นโดยการถามหรือติดตามความเคลื่อนไหวของ  “เซียนหุ้น”  หรือบางทีเรียกว่า  “CI”  หรือ  “เล่นหุ้นตามเซียน”  นี่คือวิธีการหาหุ้นที่ง่ายและอาจจะให้ผลดี  เพราะอย่างน้อยเขาก็คิดว่า  ถ้า  “เซียน” ซื้อหรือถือหุ้นไว้  หุ้นก็น่าจะดี  เพราะเซียนนั้นก็คงต้องวิเคราะห์กันมาเป็นอย่างดีแล้ว  เหนือสิ่งอื่นใด  เขาคิดว่าคงจะมีคนอื่นที่ซื้อหุ้นตามเซียนเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  หุ้นก็จะมีแรงซื้อมากและอาจจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นได้เร็วและแรงกว่าปกติ    อย่างไรก็ตาม  ข้อเสียของการหาหุ้นแบบนี้ก็คือ  บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่าเซียนนั้นซื้อหุ้นไว้ตั้งแต่เมื่อไร  ต้นทุนของหุ้นที่ซื้อเป็นเท่าไร  และเขาจะขายเมื่อไร  ดังนั้น  ในบางครั้ง  เราอาจจะซื้อในราคาที่เกินกว่าพื้นฐานและเซียนที่ซื้อหรือถือไว้กำลังขาย  ผลก็คือ  เราอาจจะขาดทุนได้   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บ่อยครั้ง  เซียนก็อาจจะผิดได้  หรือบางทีเซียนที่เรากำลังตามอยู่นั้น  อาจจะกำลัง  “โฆษณา”  หุ้นของตนเพื่อให้หุ้นเป็นที่น่าสนใจและมีราคาดีขึ้นก็ได้

  ช่องทางที่หกของการหาหุ้นก็คือ  การ  “เดินตามห้าง”  นี่ก็คือการสังเกตและ  “สัมผัส”  ความเป็นไปของธุรกิจจริง ๆ ใน  “สนาม”  ไม่ใช่ดูจากรายงานในหน้ากระดาษหรือบนจอคอมพิวเตอร์   คำว่าเดินตามห้างนั้น  รวมไปถึงสถานที่ทุกแห่งที่เราเข้าหรือผ่านไปเพื่อทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  เช่น  ไปซื้อหรือใช้บริการต่าง ๆ   ข้อดีของการหาหุ้นแบบนี้ก็คือ  เราจะได้ข้อมูลที่หาไม่ได้จากงบการเงินนั่นก็คือ  ความแข็งแกร่ง  ความสามารถในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง  และ  แนวโน้มของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของการเติบโตของกิจการและตัวหุ้น  ข้อควรระวังสำหรับการหาหุ้นแนวทางนี้ก็คือ  อย่าใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นเครื่องตัดสินสินค้าหรือตัวบริษัท  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมายของเขา

  สุดท้ายก็คือ  การดูข้อมูลจากกิจกรรมการซื้อขายของตัวหุ้นเอง  เช่น  การซื้อหรือขายของผู้บริหารบริษัท  หรือปริมาณการซื้อขายของหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของตัวหุ้น  นี่อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่า  คนที่  “รู้เรื่องดี” กำลังทำอะไรอยู่  ข้อมูลชิ้นนี้อาจจะกระตุ้นให้เราไปศึกษาตัวหุ้นเพิ่มเติมได้  อย่างไรก็ตาม  ก็เช่นเดียวกับข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้บริหารหรือเซียนหุ้นรายใหญ่  เราจะต้องระวังว่ามันอาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อที่จะ “ลวง”  ให้นักลงทุนหลงก็ได้

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 22:08:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com