ความคิดเห็นที่ 1 มีกองไหนสัญญาว่าจะทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 15-20% ไหมล่ะครับ ผมจะได้ขายสินทรัพย์ที่มี+เงินสด +หุ้นในพอร์ทไปซื้อทิ้งไว้ซัก 10ปี กองทุนเปิดบัวแก้วปันผล อัตรา YTD อยู่ที่ 27% ผมขอตีเลขกลางๆ <<<<<< คุณเป็นนายหน้าขายกองทุนหรือเปล่าครับ ลองซื้ออาทิตย์ที่แล้วแล้วมาขายอาทิตย์นี้สิครับ ดูว่าเงินหายไปเท่าไหร่ จากคุณ : calipo03 เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 13:31:42

ความคิดเห็นที่ 2 ความคิดเห็นที่ 1 ผมไม่ได้เป็นนายหน้าครับ เป็นเลขเปอร์เซ็นคร่าวๆ ประเด็นคือ การออม การลงทุน ภาวะเงินเฟ้อ ผมถามคุณหน่อยซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้ คุณไปเล่นหุ้นเหอะ ผมตีประเด็นไปที่การลงทุนที่มีระยะเวลา อ่านให้หมดแล้วค่อยตีความนะครับ ไม่ใช่เจาะมาเพียงบางส่วน จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 13:45:05

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าเรื่องเงินเฟ้อ เทียบกับผลตอบแทนกองทุน คุณจขกท. ยังให้ข้อมูลไม่ครบด้าน ยกตัวอย่างคือ กองทุนบัวแก้วปันผล เริ่มก่อตั้งเดือนกรกฏาคม ปี 2537 ผ่านไปราวๆ 18 ปี มูลค่าตั้งต้นที่ 10 บาท ปัจจุบันคือ 5.2221 บาท ผ่านไป 18 ปี ปันผลทั้งสิ้น 7.61 บาท หรือ ถ้าใครถือตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน จะได้ผลตอบแทนทั้งสิ้น 12.83 บาท หรือ 1.93% น้อยกว่าเอาเงินไปฝากธนาคารเสียอีก.. โดยเฉพาะช่วงปี 2540 ที่ธนาคารให้ดอกเบี้ย 7-8% แต่ผลตอบแทนกองทุนติดลบ.. ที่สำคัญคือ กองทุนบัวหลวงเพิ่งจะมีผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะ 5 ปีหลังนี่เอง ก่อนหน้านี้ ผลตอบแทนของหลายๆ ที่ดีกว่ามาก ผมเชื่อว่าเราต้องมีสมดุลระหว่างเงินสด เงินฝาก และเงินลงทุน(จะในหุ้น ในกองทุน ในอสังหาอะไรก็แล้วแต่) และแต่ละอันมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนไม่เหมือนกัน แต่ว่าสัดส่วนของแต่ละคนจะไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ผมเห็นว่าหลังๆ นี่ จะเห็นกระทู้แนะนำให้ลงทุนกองทุนจำนวนมาก และมือใหม่เองก็ให้ความสนใจเรื่องกองทุนมากขึ้น แต่ผมอยากชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจากปัจจัยภายใน การใช้จ่ายของรัฐ ภาระหนี้สินของประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก AEC หรือ จากปัจจัยภายนอกเรื่องฟองสบู่อเมริกาหรือยุโรป รวมทั้งจีนที่เติบโตช้าลง ตอนที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างปี 1997 หรือ ปี 2008 ตลาดหุ้นร่วงกันทั้งโลกเป็นระยะเวลายาวเป็นปีได้เหมือนกัน เงินในกองทุนก็จะถูกล็อคไปด้วย เพราะเงินปันผลอาจจะไม่ได้หรือได้น้อย ถ้าขายต้องการเงินสดก็จะขาดทุน.. อนึ่งกองทุนบัวแก้วปันผล ไม่ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างปี 2539-2545 รวม 6 ปีครับ (ผมก็ถือกองทุนของธนาคารกรุงเทพอยู่ 1-2 กองในปัจจุบัน และเป็นกองทุนที่คิดเป็น 50% ของกองทุนทั้งหมดของผมด้วย) ไม่ได้มีอคติกับกองทุนรวม แต่พยายามชี้ให้เห็นความเสี่ยงครับ จากคุณ : Proxity เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 14:48:52

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณครับที่แชร์ประสบการณ์ครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 15:11:30

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 4 กองทุนที่ไม่ปันผลมีการให้กำไรอย่างไรบ้างครับ เช่น กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม เป้นการซื้อขายกินส่วนต่างหรืออย่างไรครับ เพราะน่าสนใจตรงที่ไปลงทุนด้านการสื่อสารด้วย ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 55 15:15:43 จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 15:15:28

ความคิดเห็นที่ 6 ช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงตกต่ำ กองทุนหุ้นทุกกองผลประกอบติดลบกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทุนมีปันผลหรือไม่มีปันผล สำหรับคุณจขกท. ผมมองว่ามีความตั้งใจที่จะเก็บเงินทุกเดือนทดแทนเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ และเข้าใจว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินเย็นไม่มีภาระต้องถอนมาใช้ อาจจะลองมองกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะผลตอบแทนที่ได้อยู่ราวๆ 7% และมีความผันผวนเรื่องราคาต่ำมาก โอกาสขาดทุนน้อย โอกาสไม่จ่ายปันผลก็น้อย แต่ถ้ามองว่าเงินก้อนนี้สามารถที่จะรับความเสี่ยงได้ ยอมรับได้หากว่าจะขาดทุนถึง 25% ของเงินต้น ก็อาจจะมองกองทุนหุ้นได้ แต่ผมมองแบบนี้ เวลาที่เราต้องการสร้างฐานะ หรือบรรลุเป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน ผมว่าเริ่มไปทีละขั้น - ถ้ามีหนี้ ชำระหนี้ให้หมด (หมายถึงหนี้ใช้จ่าย หนี้บัตรเครดิต) ไม่ใช่หนี้กู้บ้านเพื่ออาศัย ซึ่งผมมองว่าเป็นหนี้ที่ดี - เริ่มกันเงินออกมา ผมคิดว่าอย่างน้อยต้องได้ 20% ของรายได้เพื่อนำมาออมและลงทุน - นำเงินที่กันออกมาไปฝากเงินออมทรัพย์หรือประจำก็ได้ ระยะแรกๆ อาจจะออมราว 75% และแบ่งออกมาราว 25% นำไปลงทุน - เมื่อเงินออมในออมทรัพย์หรือประจำมีมูลค่า ราว 6 เดือนของค่าใช้จ่าย เปลี่ยนสัดส่วนเงินออมต่อเงินลงทุนเป็น 50% - เมื่อเงินออมในออมทรัพย์หรือประจำมีมูลค่า ราว 12 เดือนของค่าใช้จ่าย เปลี่ยนสัดส่วนเป็นเงินลงทุนเป็น 75-100% ส่วนเงินลงทุนนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาตามระดับความเสี่ยงไป..ช่วงแรกอาจจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ กองทุนพันธบัตร ถัดไปเป็นกองทุนอสังหา ถัดไปเป็นกองทุนหุ้นในประเทศ ถัดไปเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ครับ.. อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ได้อิงหลักวิชาการใด ผิดถูกอย่างไร ขออภัยล่วงหน้า แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 55 15:35:55 จากคุณ : Proxity เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 15:33:57

ความคิดเห็นที่ 7 กองทุนธนคม เป็นกองทุนไม่มีปันผล เงินลงทุนหนักในหมวดธนาคารและสื่อสาร ในปี 40 ที่ประเทศไทยเกิดต้มยำกุ้ง กองทุนนี้ได้รับผลกระทบหนักจากภาคธนาคารของไทยที่อ่อนแอ กองทุนธนคม จัดตั้งไล่เลี่ยกับกองทุนทศพล ห่างกันราวๆ 4 เดือน ตอนนี้ NAV ต่างกันพอสมควร คือ ธนคมอยู่ราวๆ 14 บาท ขณะที่ทศพลอยู่ราวๆ 24 บาท ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวม ที่ผมใช้อ้างอิงประจำ นอกเหนือจากเวปของกองทุนเองแล้ว ผมติดตามเป็นระยะ คือ http://www.morningstarthailand.com/th/ http://www.aimc.or.th/performance.html http://www.thaimutualfund.com http://www.siamchart.com จากคุณ : Proxity เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 15:43:39

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 6 ออมเงิน >> กองทุนปันผล >> กองทุนเก็งกำไร >> หุ้นปันผล >> หุ้นเก็งกำไร แผนการเงินผมจะประมาณนี้ครับ ท่านแนะนำได้ดีมากครับ เป็นแบบก้าวสั้นๆ แต่มั่นคง มีฝากประจำอยู่แล้ว 40% ส่วน 20% นี้เป็นเงินเย็นเจี้ยบจริงๆ ส่วนหนี้สินไม่มีให้กังวลครับตัดไปได้เลย ผ่อนโน่นนี่นั่นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตัดออกไปก่อน จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 15:57:01

ความคิดเห็นที่ 9 ครับ รับทราบ เด๋ียวคงจะมีคนไปซื้อกองทุนเยอะๆ ดีครับลุยเลย จากคุณ : Bobby_GN เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 55 22:36:57