ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ามันเปลี่ยนแปลงโลกขนาดนี้ทำไมไม่เอามาใช้ตั้งนานแล้ว                    สาเหตุหลักๆ คือ มัน แพง ครับ มันแพงกว่าก็าซธรรมชาติทั่วๆไป (ปัจจุบันราคาเท่ากับการใช้น้ำมันที่ 80 เหรียญ) แม้ว่ามันจะมีจำนวนมหาศาล แต่ที่ไม่สามารถเอาขึ้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ เนื่งด้วยต้นทุนการนำไปใช้มันยังสูงอยู่นั่นเอง แล้วทำไมมันพึ่งมาดังช่วงนี้หละ                    สาเหตุเพราะประเทศอเมริกาเพิ่งหาวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ถูกลงกว่าเดิมโดยที่การจุดเจาะแต่ก่อนเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบันก็คือ Hydraulic Fracturing หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ในวงการว่า Fracking ซึ่งจะใช้ควบคู่กับเทคนิคการขุดเจาะแบบใหม่ที่เรียกว่า Horizontal Drilling โดยจะเจาะหินให้ร้าว ยากาวให้พอดี เพื่อดึงก๊าซออกมาใช้ ซึ่งเป็นเทคนิควิธีการที่อันตรายมาก!!           เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ที่วงการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานได้ค้นพบเทคนิคที่เรียกว่า Hydraulic Fracturing ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขุดเจาะลงได้มหาศาลจากเดิมมากกว่า $10 ต่อหนึ่งล้านบีทียู มาเหลือเพียง $3-5 ต่อหนึ่งล้านบีทียู เทคนิคดังกล่าวอาศัยหลักที่ว่า แรงดันน้ำสามารถทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งในจักรวาล  ฉะนั้นหากต้องการจะขุดเจาะเอาก๊าซออกมาจากหินดินดานที่อยู่ลึกจากผิวโลกเป็นระยะทางหลายพันเมตร วิธีที่ง่ายและถูกที่สุดคือ "ใช้น้ำ"  แต่จะทำให้หินที่แข็งขนาดนั้น "ร้าว" (Fractured) ก็ต้องรวมศูนย์และกำหนดทิศทางของน้ำได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำได้ก็ต้องอาศัย "สารเคมี" หลายชนิด และต้องอาศัย "ทราย" ซึ่งเริ่มใกล้เคียงกับต้นทุนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปกติแล้ว แต่ก็ยังแพงกว่าปกติอยู่ดีแต่อเมริกายังมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นๆอยู่อย่างนึงคือมีท่อส่งก็าซในประเทศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกซึ่งประเทศอื่นไม่มี โดยที่ประเทศอื่นถ้าจะนำมาใช้ต้องลงทุนจำนวนมหาศาล นอกจากที่มันราคาแพงแล้วมันยังมีปัญหาอะไรอีกบ้าง            นอกจากต้นทุนการขุดเจาะที่ยังสูง แต่ "ต้นทุนทางสังคม" (Social Costs) กำลังเริ่มถูกนำมาตีแผ่มากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเสียที่แทรกซึมเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดิน ปัญหาก๊าซมีเทน และการระเบิด หรือประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างแผ่นดินไหวกับการขุดเจาะแบบพิสดารแบบใหม่นี้ ฯลฯ              นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมประเมินว่ามลภาวะ (Greenhouse Gas Footprint) ที่เกิดจากกระบวนการขุดเจาะก๊าซจากหินดินดาน (Shale Gas) น่าจะมากกว่าถ่านหินถึง 20% เป็นอย่างน้อย และยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น เพราะแหล่งน้ำที่ถูกมลภาวะจะแพร่กระจายเข้าสู่ตาน้ำ และดำรงอยู่อีกหลายสิบปี ส่วนก๊าซมีเทนนั้นก็มีปริมาณมาก ถึงขนาดที่ในบริเวณที่มีการขุดเจาะก๊าซชนิดนี้ในสหรัฐอเมริกา ชาวนาสามารถจุดไฟบนน้ำจากบ่อในฟาร์มของตนเองได้ จนในสหรัฐอเมริกากลุ่มอนุรักษ์ได้จัดทำสารคดีขึ้นชุดหนึ่งเป็นหนังสั้นชื่อว่า GasLand เพื่อเปิดโปงความเลวร้ายของกระบวนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติแบบใหม่นี้ แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 03:20:33 จากคุณ : GRAYFOX เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 13:57:06

ความคิดเห็นที่ 2 ดูได้จาก Web ข้างล่างนี้ครับ http://geology.com/energy/shale-gas/ http://www.youtube.com/watch?v=MAyvoqIN6Fk&feature=player_embedded#! จากคุณ : s.aksomboon (somchaia) เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 13:58:17

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้ามันมาแทนถ่านหิน สุดท้าย บริษัท ถ่านหิน ก็ต้องเปลี่ยนมาลงทุนตัวนี้แทน อยู่ดี จากคุณ : who_am_i(J) เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:02:38

ความคิดเห็นที่ 4 สรุปกับ shale gas             Shales gas บูมมาจากฝั่งอเมริกา เนื่องด้วย เมกาเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ และอเมริกามี pipe line ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่แล้วในการขนถ่ายก็าซไปใช้ในอุตสาหกรรม  จึงสามารถส่งกาซจากแหล่งสู่ผู้ใช้ไกลๆได้สะดวก เเละจากสาเหตุถ่านหินที่อเมริกามีคุณภาพแย่ มีกำมะถันสูง กว่าฝั่งเรา Shales gas  จึงเริ่มมีบทบาท มากขึ้นในอเมริกา ในการใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า             หันมามองฝั่งเอเชียบ้าง ประเทศที่มี  Shales gas  มากที่สุดคือ จีน ปัจจัยของจีนต่างจากฝั่งอเมริกาก็คือ  ถึงแม้จีนจะมีปริมาณ Shales gas  มากที่สุดในโลก แต่ต้นทุนการใช้ ต่างจากฝั่งอมเริกาเพราะ 1   จีนไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีดังนั้นจึงมีต้นทุนการขุดเจาะ สูงกว่าของอเมริกา (ต้นทุนของ Shales gas  เท่ากับน้ำมัน 80เหรียญ) 2   จีนไม่ได้มีท่อส่งก็าซครอบคลุมเหมืองอเมริกา ซึ่งการวางระบบท่อส่งทั้งประเทศใหม่นั้น ใช้เงินมหาศาลเกินกว่าจะประเมินได้ 3 การขนส่งถ่านหินนั้นแยกของใครของมันระหว่างฝั่งเอเชียและฝั่งอเมริกา ด้วยเรื่องปัจจัยค่าขนส่ง และคุณภาพถ่านหิน shale gas แม้จะมีปริมาณมากมายมหาศาลแต่ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้แบบเต็มประสิทธิภาพ เนื่องด้วย ต้นทุนทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมเป็นหลักซึ่งดูเหมือนว่าทางฝั่งอเมริกาจะไช้shale gas  ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าฝั่งเรา  และก๊าซธรรมชาติเป็นสิ่งที่ shale gas มาทดแทนโดยตรงเพราะเป็นสิ่งเดียวกันไม่ใช่ถ่านหิน ในอนาคตเราอาจเห็น shale gas ใช้กันแพร่หลายมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าสามารถแก้ปัญหาด้านการขุดเจาะ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ ซึ่งจะเรียกได้ว่า shale gas เป็นพลังงานที่สกปรกที่สุดในปจจุบันก็ได้ ซึ่งยังไม่สามารถใช้ shale gas ทดแทนพลังงานในปัจจุบันได้อย่างเต็มที่  ซึ่งในอนาคตถ้าปัญหาใหญ่ๆข้างต้นโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพลังงานทางเลือกอันใหม่ให้โลกใบนี้ได้ บทความนี้ ผมหาข้อมูลจากเนต มาเรียบเรียงใส่คำพูดตัวเองบางส่วน ให้เครดิตเจ้าของบทความที่ไม่ได้เอ่ยนามด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 03:14:59 จากคุณ : GRAYFOX เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:18:35

ความคิดเห็นที่ 5 ไอ้ข่าวของทางอเมริกาเนี่ย ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ มันอยากจะให้เป็นไปในทิศทางไหน มันก็ออกข่าวเพื่อให้คนทั่วไปคิดไปแบบนั้น สุดท้าย พวกมันที่เป็นคนกุข่าวก็ได้ประโยชน์ ส่วนใครที่บังเอิญไปได้ประโยชน์ร่วมด้วยโดยที่ไม่ไ้ด้รู้เรื่องเบื้องหลังเบื้องลึกก็ถือว่าโชคดีไป ได้ประโยชน์ตามน้ำกันไป จากคุณ : 2ndHand_Fanclub เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:19:01

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : ไม่รักแต่อยากแสดงออก เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:19:06

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเคยเห็นรูปนี้แว่วๆ จากรูปของคุณ kongkiti อ่ะนะครับ จากคุณ : Bata "VI อินดี้" (ไม่แคร์สื่อ) (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:39:28

ความคิดเห็นที่ 8 มันมีมาตั้งนานแล้ว แต่พอราคาถ่านหินตก การใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นนะครับhttp://coalinvestingnews.com/5610/europe-eurozone-moves-from-gas-coal-price-demand-energy/ จากคุณ : PapaFrodo เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 14:53:12

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ จากคุณ : lordeverything เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 15:05:07

ความคิดเห็นที่ 10 http://www.youtube.com/watch?v=phCibwj396I เข้าไปดูมา  สงสารคนที่ป่วยจากการผลิตกาซตัวนี้มากเลย  เหมือนเหมืองแม่เมาะเมื่อก่อนเลย จากคุณ : oosuan เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 15:47:49

ความคิดเห็นที่ 11 อ่าน Economist ใน iPad ซิครับ เป็นบทความฟรี ด้วย เรื่องนี้โดยเฉพาะ ... และ สดๆ  ข้อมูลจึงทันสมัยกว่า ในนี้ และเป็นข้อมูลที่ออกจาก UK ไม่ใช่ US (the Economist เป็นวารสารของ UK) จากคุณ : SuperY เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 15:53:26

ความคิดเห็นที่ 12 มันต้องใช้แบบเท่าๆๆกันอะครับเพื่อความมั่นคงทางพลังงานประเทศไทยก็พยายามทำ คือสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มแต่โดนต่อต้านส่วนgas เห็นว่าอยู่ได้อีกสี่สิบปี nuclearไม่ต้องพูดถึงอีกร้อยปีไม่รู้ได้สร้างป่าว อีกหน่อยประเทศไทยอาจต้องซื้อไฟฟ้าจากพม่าก้อเป็นได้ จากคุณ : sankung73 เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 55 15:57:32

ความคิดเห็นที่ 13 Pic. 1 จากคุณ : Bata "VI อินดี้" (ไม่แคร์สื่อ) (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 07:06:32

ความคิดเห็นที่ 14 Pic. 2 จากคุณ : Bata "VI อินดี้" (ไม่แคร์สื่อ) (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 07:07:16

ความคิดเห็นที่ 15 Clip. 1 จากคุณ : Bata "VI อินดี้" (ไม่แคร์สื่อ) (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 07:08:19

ความคิดเห็นที่ 16 Clip 2 จากคุณ : Bata "VI อินดี้" (ไม่แคร์สื่อ) (Again-With-Love) เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 07:09:07

ความคิดเห็นที่ 17 ได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : yuja เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 09:06:17

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ จากคุณ : ชื่อไหนก็ไม่ได้ เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:15:12

ความคิดเห็นที่ 19 Shale gas คือ gas ที่ shell ไม่เอา จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 21:14:26

ความคิดเห็นที่ 20 Shale Gas เป็นหนึ่งใน Unconventional Resources ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจาก Conventional Resources ที่จริงมันไม่ใช่ทรัพยากร (Resources) ที่แปลกประหลาดอะไร มันแค่พบในที่ที่แตกต่างจากที่คุ้นเคย Conventional Resources ของ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะพบใน หินทราย (Clastic) หรือหินปูน (Carbonate) แต่ก็มีบ้างแต่น้อยที่ไปพบอยู่ในหินพวกหินภูเขาไฟ (Vocanic) ซึ่งหินเหล่านี้มักมีความซึมผ่าน (Permeability) ที่ดีที่เมื่อเจาะแล้ว ก็สามารถผลิตขึ้นมาได้ หรืออาจจะออกแรงทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อให้น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติไหลออกมาได้ แต่พวก Unconventional Resources คือพวกน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่ไปอยู่ในหินพวกที่ เมื่อเจาะหลุมไปเพื่อผลิตแล้ว มันไม่ค่อยไหล หรือไม่ไหลเลย น้ำมันและก๊าซที่ไปอยู่ในหินพวกนี้ก็ไม่คุ้มที่จะผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ Unconventional Resources อีกแบบหนึ่งคือ น้ำมันที่อยู่ในสภาพที่ถูก biodegrate มากๆ แล้ว มันหนืดมาก จนอยู่ในหินทรายธรรมดาก็ไม่สามารถไหลออกมาได้ ต้องช่วยให้มันออกมาเช่น เพิ่มความร้อนโดยการอัดไอน้ำร้อนๆ เข้าไปเพื่อให้น้ำมันหนืดมันไหลได้ ดังนั้นจะเห็นว่าพวก Unconventional Resources ทั้งหลาย มันก็เป็นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติปรกตินั่นเอง ยกเว้นพวกน้ำมันที่หนืดๆ มีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าน้ำมันที่ผลิตได้จากแหล่งปรกติ ต้องไป ผสมกันพวก condensate หรือทำการ upgrade ก่อนนำไปกลั่น Unconventional ทั้งหลายจึงมีต้นทุนที่สูงกว่า Conventional ตั้งแต่การนำขึ้นมา และถ้าเป็นน้ำมันหนืดๆ ก็ต้อง upgrade เพื่อนำไปกลั่นได้เป็นน้ำมันที่เราใช้กัน แต่ข้อดีของ Unconventional พวกนี้ คือ มันมีมากมายจริงๆ ความเสี่ยงทางธรณีวิทยาต่ำกว่าพวก Conventional มาก คือพวก Conventional ทั่วไป ต้องทำการสำรวจหา ซึ่งไม่ได้เจอกันง่ายๆ แต่เมื่อเจอแล้วก็จะมีปริมาณจำกัดเล็กใหญ่ต่างกันไปแล้วแต่ศักยภาพพื้นที่ แต่พวก Unconventional ส่วนใหญ่เจอกันมานานแล้ว ที่ไม่ได้ผลิตมาใช้เพราะต้นทุนโดยรวมแพงกว่ามาก เมื่อน้ำมันหรือก๊าซที่ถูกๆ มีใช้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องดิ้นรนไปผลิตจากพวก Unconventional แต่ตอนนี้น้ำมัน 100 $/bbl พวก Unconventional ก็เริ่มคุ้มที่จะผลิตขึ้นมาขาย และเมื่อผลิตแล้ว ก็มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีลดต้นทุน ทำให้ค่าใช้จ่ายเริ่มต่ำลง กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Conventional ไป หลายบริษัทก็เริ่มมาสนใจลงทุน Unconventional กันมากขึ้น เพราะข้อดีคือ มีมากมายจริงๆ และแนวโน้มต้นทุนลดลง ส่วนเรืองสิ่งแวดล้อมน้ัน ถ้าเป็นระบบปิด ไม่น่าจะเกิด แต่จะเป็นต้นทุนที่ต้องจ่าย เนื่องจากใช้น้ำมาก (พวก fracking) steam flood หรือการผลิตน้ำจากพวก coal bed methane แต่ควบคุมได้ ไม่อย่างนั้นประเทศอย่างอเมริกา ออสเตรเลีย คงมีปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมาก เพราะมันใช้มากจริงๆ จากคุณ : ThaiExplorer เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 55 06:01:39