|
อย่าหมิ่นเงินน้อย
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 9 กรกฏาคม 2555
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนปีละหมื่นเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นทุกคนต่างหวังที่จะรวยด้วยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ต้องการรวยเร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งต้องไม่ต้องใช้ความคิดมากหรือศึกษาหาความรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบกันมากขึ้นเท่านั้น นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนรายใหญ่ที่สร้างราคาหุ้นหรือปล่อยข่าวลือต่างๆเพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนรายย่อยที่อยากรวยเร็วแต่ไม่ชอบค้นคว้าเหล่านั้นตกเป็นเหยื่อของเกมตลาดหุ้น จนทำให้หลายคนถึงกับถอดใจและมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตลาดหุ้นคิดว่าเป็นแหล่งพนันบ้าง เป็นแหล่งหลอกลวงเงินบ้างเป็นต้น
แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว การมองตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนของเงินที่เก็บสะสมไว้เพื่อวันข้างหน้าจะช่วยให้มีทัศนคติที่ดีต่อตลาดหุ้น หลายคนเคยน้อยใจว่ามีเงินแค่เล็กน้อยคงไม่สามารถลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ เพราะได้ผลตอบแทนน้อยและใช้เวลานานเกินไป ซึ่งความเป็นจริงการเก็บเงินแค่ปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20 เปอร์เซนต์จะสามารถทำเงินในพอร์ตให้เติบโตได้ถึงร้อยล้านบาทได้เลยทีเดียว
สิ่งสำคัญคือการทำผลตอบแทนให้ได้อย่างสม่ำเสมอและระยะเวลาที่นานพอ นักลงทุนที่มุ่งมั่นสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับปีละ 20 เปอร์เซนต์ได้โดยการคัดเลือกหุ้นที่มีผลการดำเนินการที่ดี ผู้บริหารโปร่งใสและราคาหุ้นไม่สูงจนเกินไปนัก มีส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of Safety พอสมควร เมื่อบริษัทดำเนินกิจการให้เติบโตขึ้น ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวตามผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคตได้โดยนักลงทุนไม่ต้องซื้อๆขายๆหุ้นบริษัทที่ดีเหล่านั้นตลอดเวลา รวมถึงการเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้ในระดับที่สูงจะช่วยให้ผลตอบแทนในการลงทุนเพิ่มขึ้นได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง
นอกเหนือจากนั้นระยะเวลาในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ยิ่งระยะเวลามากเท่าไหร่ ผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงขึ้นมากเท่านั้น อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ถึงกับบอกว่าอัตราผลตอบแทนทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก หลายคนไม่เชื่อว่าการเก็บเงินปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนจะสามารถทำเงินได้เป็นร้อยล้านบาทได้
เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ
- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท - ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท - ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท - ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท - ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท - ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท - ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท - ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่งล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ วิ่งมาราธอน ไม่ใช่ วิ่งร้อยเมตร สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ อาหารจานด่วน ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารต้องรับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายต้องใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษายังใช้วิธีเรียนลัด คนส่วนมากหวังผลทันตาเห็น จึงกลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความเป็นจริงการลงทุนสร้างฐานะนั้นต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจมักทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ เวลา เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ เลิกล้มกลางคัน เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
จะเห็นว่าถ้านักลงทุนมีระยะเวลาในการลงทุนนานเพียงพอและทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ เงินเก็บแค่ปีละหมื่นกว่าบาทสามารถทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยล้านเลยทีเดียว หลายคนอาจมองว่าระยะเวลา 40 ปีนั้นนานเกินไป อย่าลืมว่าในตัวอย่างนั้นเก็บเงินแค่ปีละหมื่นสี่เท่ากันทุกปีหรือเดือนละ 1,666 บาททุกเดือน ดังนั้นถ้านักลงทุนสามารถเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นระหว่างทางหรือทำผลตอบแทนได้มากขึ้นในแต่ละปี การทำเงินร้อยล้านบาทสามารถใช้เวลาที่น้อยลงไปได้มาก ฝันที่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านในชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
จากคุณ |
:
boozy bird
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ส.ค. 55 11:33:45
|
|
|
|
|