Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โอกาสทอง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

โอกาสทอง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร leaf

โลกในมุมมองของ Value Investor         10 สิงหาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52948

                                โอกาสทอง   คิดถึงแม่


  ในการลงทุนนั้น  ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน  “หัว”  ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะ ๆ   หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่าง ๆ  แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ  อย่างไรก็ตาม  หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส   มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล  เรียกว่าเป็น  “โอกาสทอง”  ได้  ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง  และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ

  กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลัง ๆ  ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้างก็คือ  “หุ้นตัวจิ๋ว”  นี่คือบริษัทที่มี  Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทเล็กมาก  ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1000 ล้านบาท  หุ้นบางตัวมีมูลค่าแค่ 200-300 ล้านบาทก็มี   การมองหุ้นเหล่านี้  ผมไม่ได้มองเฉพาะว่ามันเล็ก   แต่ผมจะมองแล้วเปรียบเทียบกับตัวธุรกิจด้วยว่าเป็นอย่างไร  มัน  “สมศักดิ์ศรี”  ไหม?  ธุรกิจมันควรจะมีค่ามากกว่านั้นหรือไม่?  นอกจากมูลค่าหุ้นแล้ว   ผมก็มักจะดูด้วยว่ามันมีหนี้เงินกู้มากน้อยแค่ไหนและธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายมากน้อยแค่ไหน   ถ้าไปเจอว่าหุ้นมันถูกเกินไปแต่ดูไปแล้วธุรกิจก็ยังมีปัญหา  เช่น  หนี้ยังสูงเกินไป  แบบนี้เราก็ต้องรอว่าเขาจะมีการปรับโครงสร้างการเงินที่เหมาะสมได้หรือไม่  ถ้าวันไหนมันชัดเจนแล้ว   เราจึงพิจารณาซื้อหุ้น   เมื่อซื้อแล้ว  ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ไม่ควรรีบขาย  เพราะหุ้นตัวเล็กนั้น  โอกาสที่จะขึ้นไปสูงขนาดเป็นเท่า ๆ  ตัวก็เป็นไปได้ไม่ยาก  ปัญหาของหุ้นที่มีขนาดเล็กมากนั้นก็คือ  บางทีเวลาเราต้องการซื้อหุ้นจำนวนมาก   เรามักจะทำไม่ได้เพราะราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปมากและทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่ไม่ถูกอีกต่อไป  ดังนั้น  สำหรับคนที่มีพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่  การเล่นหุ้นตัวเล็กก็ทำได้จำกัด

  หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมมักจะจับตามองเป็นระยะก็คือ  หุ้นวัฎจักร  ที่อยู่ในช่วง  “ขาลง”   ตัวอย่างเช่นหุ้นเรือ  ผมจะเฝ้ามองว่ามันกำลังลงไปถึงจุดไหน?  โดยทั่วไปผมอยากจะเห็นว่าธุรกิจนั้นได้ตกต่ำลงไปถึงจุดต่ำสุดซึ่งก็คือเมื่อผลการดำเนินงานประจำปีของบริษัททุกรายหรือเกือบทุกรายขาดทุน  ถ้าจะให้ดีก็คือ  ขาดทุนมาก ๆ  จนแทบเอาตัวไม่รอด  แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น  และนั่นก็จะทำให้ผมเฝ้าดูหรือติดตามหุ้น  “ฟรี”  ไม่ได้อะไรเลย   คนที่ชำนาญหรืออยู่ใกล้ชิดอุตสาหกรรมเรืออาจจะทำกำไรได้โดยการติดตามอัตราค่าระวางเรือ  และสามารถทำกำไรจากหุ้นได้โดยไม่ต้องรอผลประกอบการ    แต่เนื่องจากผมเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้  ดังนั้น  ผมจึงต้องยอมให้มันผ่านไป   เหนือสิ่งอื่นใด  ผมไม่ได้เดือดร้อนถ้าไม่ได้กำไรจากธุรกิจเดินเรือ  แต่ถ้าจะลงทุน  ผมอยากจะได้กำไรมาก ๆ  โดยการรอจนกว่าโอกาสทองจะเกิด  ถ้ามันไม่เกิดก็  “ช่างมัน”

  หุ้นกลุ่มที่สามก็คือ  กลุ่ม  Fallen Angel  หรือ  “นางฟ้าตกสวรรค์”  นี่คือหุ้นที่เคยโดดเด่นมาก  แต่แล้วก็เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้ผลประกอบการแย่ลงมาก   ราคาหุ้นก็มักจะตกตาม  บางทีมากยิ่งกว่าผลประกอบการ  ประเด็นก็คือ  เราต้องพยายามศึกษาให้รู้ว่าเหตุที่ว่านั้นคืออะไรและบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่  ถ้าไม่มั่นใจว่าเรารู้สาเหตุหรือไม่มั่นใจว่าบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่  เราก็รอ  และเฝ้าจับตาไปเรื่อย ๆ  ว่าสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการตกต่ำลงมันใกล้จะหมดไปหรือยัง  ถ้าดูแล้วชัดเจนว่าบริษัทกำลังฟื้นตัวขึ้นและจะกลับมาโดดเด่นได้เหมือนเดิม  การลงทุนในหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็มักจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำและผลตอบแทนนั้นจะต่อเนื่องไปได้  อาจจะหลาย ๆ  ปีโดยไม่ต้องรีบขายหุ้น  ว่าที่จริง  นี่ก็คือการลงทุนในสไตล์ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แนวหนึ่ง  นั่นก็คือ  การซื้อหุ้น Super Stock  ในเวลาที่มันมีปัญหาเฉพาะที่สามารถแก้ไขได้  แต่ในกรณีนี้  บัฟเฟตต์จะต้องมั่นใจว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและแก้ไขได้แน่นอน  ดังนั้น  เขาอาจจะไม่รอเป็นปี ๆ  แต่จะซื้อหุ้นทันทีที่มันตกลงมามาก ๆ  

  หุ้นกลุ่มที่สี่ก็คือ  “หุ้นที่มีทรัพย์สินมาก”  นี่ก็คือหุ้นที่มีทรัพย์สินสุทธิมากเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้น  ตัวแทนที่ดีและดูง่ายของหุ้นที่มีทรัพย์สินมากก็คือ  ค่า  PB  หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท  ยกตัวอย่างเช่น  ในสภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้  ค่าเฉลี่ยของค่า PB ทั้งตลาดก็คือประมาณ 2 เท่าเศษ ๆ  แต่หุ้นบางตัวที่เราเห็นนั้น  มีค่าเพียง 0.8 เท่า  และเรายังรู้สึกอีกว่าทรัพย์สินจริง ๆ ของบริษัทที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นราคาตลาดนั้นยิ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีด้วย  แบบนี้  เราก็อาจจะจับตามองว่าหุ้นตัวนี้อาจจะถูกเกินไปเมื่อมองจากทรัพย์สิน  สาเหตุอาจจะเป็นอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหน?   กำไรอาจจะต่ำเห็นได้จากค่า ROE  หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่าปกติเช่นต่ำกว่า 10%  เป็นต้น  และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?   ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงกว่าปกติ  เราคงต้องเฝ้าดูว่าเมื่อไรสิ่งนั้นจึงหมดไป  ถ้ามันเป็นเพราะการควบคุมทางด้านราคาจากภาครัฐ  เราก็อาจจะต้องรอว่าเมื่อไรราคาจะได้รับการปรับขึ้น   ดังนั้น  สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ  เฝ้ารอ  “โอกาสทอง”  ดังกล่าว  และเมื่อมันเกิดขึ้น  เราก็เข้าไปซื้อหุ้นและทำกำไรงามจากมัน

  หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  “หุ้นโตเร็วที่คนยังไม่ตระหนัก”  นี่คือหุ้นที่มีคุณสมบัติตามชื่อ  คือเป็นหุ้นที่โตเร็ว  อาจจะถึงปีละ 15% โดยเฉลี่ยในระยะอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า  อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนยังไม่รู้หรือไม่ตระหนักว่ามันกำลังจะโต  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งจะเริ่มเติบโตอย่างจริงจังหลังจากที่  “บ่มเพาะตัว”  มาได้ระยะหนึ่ง  หรือไม่อย่างนั้น  บริษัทก็อาจจะโตเฉพาะทางด้านของยอดขายแต่กำไรอาจจะยังไม่มาเนื่องจากอยู่ในช่วงของการสร้างยอดขายที่จะทำให้กิจการถึงจุดที่จะมี Economies of Scale  คือมีขนาดใหญ่พอที่จะเริ่มทำกำไรได้  ดังนั้น  คนจึงอาจจะไม่ทันสังเกตว่าบริษัทนั้นโตเร็ว  ด้วยเหตุดังกล่าว  ราคาของหุ้นก็ไม่ดีนัก  ค่า PE ก็อาจจะไม่สูง  ถ้าเราค้นพบและซื้อหุ้นแบบนี้ไว้  ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  และคาดได้ว่ากำไรนั้นจะเติบโตต่อไปอีกหลาย ๆ  ปี  คนก็จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นและเข้ามาซื้อ  ซึ่งจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นสอดคล้องกับกำไรที่เพิ่มและสอดคล้องกับค่า PE ที่สูงขึ้น  เท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น  “สองเด้ง”   คนที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้จะต้องไม่รีบขายทำกำไร  เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น  มักจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างยาวนานตามการเติบโตของบริษัท

  โอกาสทองในหุ้นทั้งห้ากลุ่มดังที่กล่าวมานั้น  แน่นอน  ไม่ใช่มาได้ง่าย ๆ  บ่อยครั้ง เหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่เราเฝ้าจับตามองนั้น  มันก็มาจริง ๆ  หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี   แต่ในระหว่างที่รอนั้น  ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ  ซึ่งก็ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นลดลงเรื่อย ๆ   อย่าลืมว่ากิจการที่ดีขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น Value ได้  ถ้าราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเท่า ๆ  กันหรือมากกว่า    โดยประสบการณ์ของผม  ถ้าในแต่ละปีเราสามารถหาหุ้นที่เราเจอ  “โอกาสทอง”  ได้ซักหนึ่งตัว   เราก็โชคดีมากแล้ว  เพราะนี่คือหุ้นที่สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้กับพอร์ทของเราได้


ปล.สวัสดีวันแม่นะครับ อาบน้ำเด็ก  คุณแม่  กล่อมลูก
ขอให้คุณแม่ คุณพ่อของพี่ๆทุกท่านสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของพี่ๆสินธรทุกท่านครับ

แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 55 11:27:14

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 11:26:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com