ความคิดเห็นที่ 1 --Young Japanese Super Trader--- นักลงทุนรายย่อยคนนี้พึ่งจะอายุ 29 ปี  ... ( ขณะนี้ อายุ 33 ปี ) แต่ทว่า พอร์ตของเขามีมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้าน เยน หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท หนุ่มคนนี้ คือ Kotegawa Takashi โดย มีชือเรียกอีก 2 ชื่อ คือ BNF และ J-com otoko (นายเจคอม) BNF เป็นชื่อที่เขาใช้เรียกตัวเอง เวลาเขียนตอบกระทู้ในเว็บไซด์ 2 channel (คล้ายกับ พันทิป บ้านเรา) ส่วน J-com otoko นั้น เป็นชื่อที่นักข่าวเรียกเขา จากการที่เขาสามารถทำกำไร จากการเทรดหุ้น j-com ประมาณ 600 ล้านบาท ภายในเวลาสิบกว่านาที   และ ทำให้เขามีชื่อเสียง รู้จักไปทั่วเพียงข้ามคืน ชื่อของ BNF เป็นข่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2005 เมื่อผู้รับชอบ การซื้อขายหุ้นของ Mizuho Securities ออกคำสั่งขายหุ้นของบริษัท เจ คอม...ผิดพลาด จาก “ ราคา 6 แสน 1 หมื่น เยน / จำนวน 1 หุ้น” เป็น “ ราคา 1 เยน / จำนวน 6 แสน 1 หมื่น หุ้น ” และเขาสามารถทำกำไร ได้ทันทีกว่า 600 ล้านบาท ภายในเวลา สิบกว่านาที หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หนุ่มน้อย BNF ( ขณะนั้น อายุ 27 ) ปรากฏโฉมเป็นครั้งแรกในรายการทีวี 'The Dawn of Gaia' เมื่อวันที่ 28 กุมภา 2006 หนุ่มคนนี้เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนา 1978 ที่จังหวัด ชิบะ เริ่มต้นเทรด จากการนำเงินที่สะสมได้ จากการทำงานพิเศษ เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ประมาณ 1 ล้าน 6 แสนเยน หรือ ประมาณ 5 แสนบาท ไปเริ่มซื้อขายหุ้นเมื่อปี 2000 และเมื่อถึงปี 2008 มูลค่าพอร์ตของเขา มีมูลค่าถึง 1 หมื่น 9 พัน ล้านเยน หรือ ประมาณ 5,700 ล้านบาท สไตล์การลงทุนของเขานั้น เขาใช้การเทรด แบบ ...สวิงเทรด โดยเขาจะไม่สนใจค่า pe ฯลฯ เลย เกี่ยวกับสไตล์การเทรดของเขานั้น เขาคุยเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความเคยชิน ที่เกิดจากประสาทสัมผัส และการมองภาพรวมโดยทั่วไป ให้ทะลุปรุโปร่ง อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าสไตล์การลงทุนของเขาจะเป็นแบบเดย์เทรด / ซื้อขายระยะสั้น เมื่อมีคนถามเขาว่า ต่อไปแนวโน้มของหุ้นจะเป็นอย่างไร เขาตอบว่าไม่รู้ เพราะว่า ไม่เคยมองหุ้นในระยะยาวเลย แต่ว่า เมื่อ พย.2007 เขาเล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มรู้สึกถึงข้อจำกัดของการซื้อขายระยะสั้น และ มีแผนการที่จะใช้เงินประมาณ 8 พันล้านเยน หรือ ประมาณ 2400 ล้านบาท ไปลงทุนระยะยาวในหุ้นต่างประเทศ สำหรับไลฟ์สไตล์ของนาย BNF นั้น นอกเหนือจากการซื้อบ้านหรูรถหรูให้กับพ่อแม่เขา และ ซื้อคอนโดหรูกลางกรุงโตเกียว เพื่อสำหรับเทรดหุ้นให้ตนเองแล้ว เขาไม่ได้ใช้จ่ายหรูหราอะไรเลย และ มักจะเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว อ่านการ์ตูนเล่นเนต โดยไม่สุงสิงกับใคร เขาเล่าให้ฟังว่า เพื่อที่จะสามารถรวบรวมสมาธิ ในการเทรดหุ้นได้เต็มที่ ดังนั้น มื้อกลางวันของเขา จะกินเพียงแต่มาม่าเท่านั้น เพราะว่า จะไม่อิ่มเกินไป หลายคนเรียกเขาว่าเป็น... โอตะกุ แต่สำหรับ นายBNF แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำปรามาสใดๆก็ตาม เขาไม่เคยแสดงอาการโกรธออกมา เพียงแต่แค่พูดสั้นๆว่า “อีกแล้วเหรอ” ...เท่านั้น จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 14:49:02

ความคิดเห็นที่ 2 http://www.cway-investment.com/2010/12/blog-post.html หรือหมอฟันพันล้านท่านนี้        ที่เน้นเรื่องการ cut loss ถ้าเป็นหุ้นขาลง  เน้นดูจิตวิทยามวลชน      ดูราคามากกว่าพื้นฐานกิจการขัดกับแนวทาง VI อย่างยิ่ง  พื้นฐานไม่เปลี่ยนหุ้นลงยิ่งควรซื้อหนังสือVIบอกไว้ จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 14:56:02

ความคิดเห็นที่ 3 เคยได้อ่านมาแล้ว 1 รอบ (ในอดีต) จากคุณ : bigzaa เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:14:15

ความคิดเห็นที่ 4 ใครบอกว่าไม่มี ถ้านอกจาก VI แล้วไม่มีคนประสบความสำเร็จแบบอื่นแล้ว จอร์จ โซรอส ราชาแห่งการเก็งกำไรระดับโลกจะกำเนิดมาได้เยี่ยงไร จากคุณ : Peaksoft เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:18:27

ความคิดเห็นที่ 5 ทางอื่นๆที่ไม่ใช่ VI ค่อนข้างยากครับ เพราะ ... เทคนิคอาจจะกำไรดี แต่ถ้าเงินเยอะมันเล่นยาก .. ลองคิดว่ามีเงิน 500ล้าน จะทำให้เป็น 2000ล้าน .. จะเล่นเทคนิค .. วันๆมันแต่มานั่งซื้อๆขายๆ .. มันไม่ง่าย ซื้อทีก็หลายช่อง จะขายที่ก็หลายช่อง หลายวัน เดี๋ยวเจอจ้าวกดอีกไปขโมยของจ้าว โดนดองหุ้นไปอีกสักพัก.. โดนค่าคอมอีก สุดท้าย ถ้าเงินเยอะ ลงทุนบริษัทดีๆ ซื้อขายบ้างปีละไม่กี่ครั้ง หรือหลายปีครั้ง กำไรเติบโต ปันผลใช้ได้ .. 15% 10ปี ติด ก็ได้แล้วครับ (พูดมันง่าย แต่ยังไงก็ยังง่ายกว่ามานั่งซื้อๆขายแหละครับ) จากคุณ : Frontliner เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:21:30

ความคิดเห็นที่ 6 ส่วนของ คห 2 คุณหมอเขาเขียนไว้เลยนะครับว่า "อะไรที่ผมไม่รู้ ผมไม่เล่น" "อะไรที่ผมไมรู้คือความเสี่ยง" คุณหมอเขาใช้พื้นฐานในการเลือกหุ้น แต่อาจจะไม่มากเท่า VI คนอื่นๆ .. แต่อย่างว่า การซื้อ/ขาย ของเขามีหลักการที่ต่างไป .. ไล่ซื้อหลายราคา เป็นระยะ เป็นสัดส่วน ขายแบบมี stop loss และมีการ take profit เป็นระยะ .. แต่สุดท้ายแล้วหมอก็เลือกหุ้นโดยใช้พื้นฐานที่เขารู้ พยายามลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด (ต้องรู้เกี่ยวกับหุ้นที่เล่นให้เยอะ)  .. ผมว่าหมอเขาไม่ได้มานั่งวาดกราฟหาหุ้น  .. เลือกหุ้นให้ถูกก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แค่ว่าจะขายหมูหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 15:38:43 จากคุณ : Frontliner เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:31:22

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ถ้านับคุณหมอเป็น VI ด้วยแล้ว  นัคเทคนิคเกือบทุกคนก็คงเป็น VI ด้วยแหละมั้งครับ ยกเว้นพวกเล่นหุ้นปั่น   อย่างเฮีย simonyen  ก็ดูพื้นฐานหุ้นก่อนซื้อเหมือนกันนะครับ เรื่องงบบ.ที่แกเล่นแกก็แกะได้อย่างละเอียด พื้นฐานกิจการแกก็บอกได้     อย่างนั้นนิยามไปเลยก็ได้ครับ VI = เล่นหุ้นประสบความสำเร็จ   เวลาคุยกับเพื่อนก็แทนไปเล้ย  ช่วงนี้กรู VI ว่ะ   ช่วงนี้ไม่ค่อย VI เลยว่ะ จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:39:58

ความคิดเห็นที่ 8 http://www.mangmaoclub.com/rich-technician/ ต้องดูว่าเอาอะไรมาวัดกัน... ผมว่าพูดแบบนี้เหมือนปรามาสคนเล่นแนวทางอื่น เพียงแต่ว่าในอดีต ค่าเฉลี่ยของคนที่บอกว่าตัวเองเป็น VI มันน้อย อย่างเช่นเมกา ผบห. กองทุนรวมหลายคนเป็นสายเทคนิคอล หรือด้าน system trade มากกว่าด้าน VI ทำให้คนล้มเหลว ตอนนี้กระแส VI มันมาแรงก็เท่านั้นเองครับ แค่ใครออกหนังสือเกี่ยวกับแนวนี้ ก็ขายได้เยอะแยะไป ทั้งๆที่ไส้ในจริงแล้ว VI ตรงใหนฟ่ะ จากคุณ : ห้องนี้มีรักให้พักพิง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:40:09

ความคิดเห็นที่ 9 นักเทคนิคที่กำไรดีระดับโลกก็มีเยอะอยู่แล้วครับ .. คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็น กองทุน hedge fund .. คห7 ถ้าอย่างนั้น :-)งเป็น เทคนิคหรือเปล่าครับ? แค่จะบอกว่าเขาดูเหมือน vi มากกว่า technic จะเรียกเป็นสายอื่นก็ได้ครับ ขออภัย .. ผมว่าเป็นvi นะไม่ง่าย แต่หลายคนก็พูดกันไปเอง .. ปล ส่วนตัวผมไม่ใช่ VI แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 15:53:21 จากคุณ : Frontliner เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:45:46

ความคิดเห็นที่ 10 vi คือการซื้อหุ้นที่  under value ไม่ใช่หรอ  ซื้อวันนี้พรุ่งนี้กำไร50เปอเซ็นขายก็ได้นี่ ผมเข้าใจอย่างนี้นะ แต่คนชอบบอกว่า vi ต้องถือยาวมั่ง ขายไม่เป็นมั่ง จากคุณ : อริยสัจ4 เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:48:50

ความคิดเห็นที่ 11 อย่างนี้ถือว่านักลงทุนอย่างเฮีย simonyen ถือเป็นนักลงทุนแนว VI หรือไม่ครับ จากคุณ : เบิกได้จ่ายตรง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:00:41

ความคิดเห็นที่ 12 ปู่โซรอสละ ทฤษฎี reflexivity ก็ใช้ได้นะ ที่คล้ายกันก็ บังพิชัย เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง แนว contrarian จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:04:39

ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อผู้รับชอบ การซื้อขายหุ้นของ Mizuho Securities ออกคำสั่งขายหุ้นของบริษัท เจ คอม...ผิดพลาด จาก “ ราคา 6 แสน 1 หมื่น เยน / จำนวน 1 หุ้น” เป็น “ ราคา 1 เยน / จำนวน 6 แสน 1 หมื่น หุ้น ” ต้องบอกว่ารวยเพราะฟลุ๊คครับ จุดเริ่มต้นมันมาจากตรงนี้ ได้หุ้นระดับนี้มา 6.1 แสนหุ้น แล้วหุ้นราคาระดับนี้ ลองคิดว่าปันผลไม่น่าต่ำกว่า 1000 เยน ปีนึงปีนึง ได้ซัก 600ล้านเยนจากปันผล มาต่อทุนทุกปีั มันจะไปได้ไกลแค่ไหน 600 ล้านเยนก็ประมาณ 200 ล้านบาท จากคุณ : เกิดมาเกรียน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:11:52

ความคิดเห็นที่ 14 เสี่ยยักษ์ไงคับ ตัวจริงพูดเลยผมไม่ไช่vi ยังกำไรหุ้นเป็นพันล้านได้เลยคับบบ ลองไปอ่านในคอลัมน์กรุงเทพธุรกิจดูได้คับ แต่ย้อนหลังไปหลายปีน่ะคับ หรือไม่ก็ลองไปฟังในสัมมนาของS2Mก็ได้คับ จากคุณ : wigraipat เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:13:47

ความคิดเห็นที่ 16 เม่า VI ซื้อ IT ทุน 11 บาท นึกว่าถูกแล้ว ราคาลงก็ไม่ขายไม่ีขาดทุน มั่นใจในพื้นฐานกิจการ จริงครับ "ไม่ขายไม่ขาดทุน แต่ดอยยาว" กว่าจะหลุดดอย ราคาต้องขึ้นไป 54%...!!!! ถึงจะหลุดดอย ... ยอมแพ้แล้วครับ... จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:33:49

ความคิดเห็นที่ 17 จุดอ่อนของ VI คือมักมี Bias กับหุ้นที่ตัวเองถือ ที่ตายกันมากในช่วงปี 40 ล้วนแต่เป็นแนววีไอ แนวอื่นเขาโกยหนีกันหมด ไอ้พวกวีไอมีแต่โกยเข้าพอร์ท จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:46:47

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนปี 40  แนววีไอมาแรงมาก คนที่รวยคือคนที่ซื้อสวนคนอื่น ( สวนตอนสงครามอิรัก, สวนตอนพฤษภาทมิฬ, สวนตอนฟองสบู่อสังหาแตก ) แล้วไม่ขายถือไปเรื่อยๆ ตอนวูบแรกที่มีการลงแรงๆจาก 1700 ลงมา 1200 จึงมีกระแสเม่าโหมเข้ามาก เสร็จแล้วก็ต้มกบลากไป 1300 จุด สุดท้ายพอมา Panic หลุดมาหา 800 จุดนั่นแหละ ที่ตรงนั้นเป็นที่ที่ทุกคนโหมเข้าใส่เต็มๆ มีบ้านขายบ้านมีรถขายรถ จนที่สุดไม่เหลืออะไรเลย ... จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:55:24

ความคิดเห็นที่ 19 คห.16 พื้นฐานไม่เปลี่ยน IT ยังขายคอมเหมือนเดิม พื้นฐานไม่เปลี่ยนก็ไม่ขาย ราคาลงก็ช่าง อดทน อย่าตกใจ อย่าใช้อารมณ์ กลับมามองพื้นฐานใหม่ พองบออก เงียบเป้นเป่าสาก ได้เวลาปลอบใจ หาข่าวไม่ดีกันใหญ่ คิดกันไปต่างๆนานา ผมคิดว่างั้น ผมคิดว่างี้ สุดท้ายไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเป็นเม่า VI ติดดอยไปเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างนี้ประจำจริงๆ ผมเป็นสมาชิก VI ตั้งแต่ปี 2009 (จริงๆนานกว่านั้นแต่ทำ user passwordหายเลยสมัครใหม่) เห็นแบบนี้มาหลายครั้ง และก็ยังเป็นแบบนี้อีกเรื่อยๆ สังเกตุได้ถ้าหุ้นตัวไหนขึ้นลงแรงนะ มันจะอยู่หน้าแรกใน 100 คน 100 หุ้นประจำ จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:55:25

ความคิดเห็นที่ 20 หลังเหตุการณืปี 40 จึงมีกระแสเซียนเทคนิคเข้ามา ผมเข้ามาเล่นหุ้นปี 46-47 เปิดห้องสินธรมีแต่นักเทคนิคนักเก็งกำไรที่เป็นใหญ่ในไต้หล้า เพราะสายวีไอตายและสูญหายไปเยอะมาก ( แถมมาตายซ้ำอีกทีก็ตอนกลุ่ม PTT ลากไปเชือด ) จนกระทั่งปี 2008 นี่แหละที่กระแสของสายวีไอจึงกลับมาเกิดใหม่แบบจริงๆจังๆ และดันมาพร้อมกับกระแส Social Network พอดีกระแสเลยยิ่งแพร่เร็ว ปัจจุบันนักลงทุนสายเทคนิคสำนักต่างๆพยายามทวงเก้าอี้จ้าวยุทธคืน จึงมีกระแสจิกกัดวีไอออกมามากอย่างที่เห็น จากคุณ : everandever เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 17:00:35

ความคิดเห็นที่ 21 ...สายพันธุ์แบบผสม..."TVI"....ครับ... ............ได้ผลดี............... .............ครับ................ จากคุณ : หุ้นเดียวกัน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 17:10:00

ความคิดเห็นที่ 22 กลับไปกฏข้อ 0 ของการลงทุน ดีกว่ามั้ย? 0. วิธีไหนได้ผลดี ใช้วิธีนั้น จะเถียงกันไปทำไม นี่มันตลาดหุ้น ไม่ใช่มหาลัยเหมืองแร่นะ... จากคุณ : icute123 เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 17:13:56

ความคิดเห็นที่ 23 เสี่ยยักษ์บอก พวกใช้วิชา technical น่ะเป็นพวกขี้เกียจเข้าใจมะ ขี้เกียจอ่านงบการเงิน 5555 โดนใจรู้ได้ไงเนี่ยว่าผมขี้เกียจเขินเลยนะเนี่ย ถึงผมจะขี้เกียจอ่านงบการเงินแต่วันนึงผมก็นั่งวิเคราะห์ดูกราฟหลายชั่วโมงนะ จากคุณ : EaKLeG๐ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 18:34:20

ความคิดเห็นที่ 24 หลักการของ VI คือซื้อขายจากเหตุผลทางด้านพื้นฐานของกิจการครับ ไม่ได้เกี่ยวว่าจะต้องถือสั้นยาวแค่ไหนหรือว่าปันผลเท่าไหร่ เพียงแต่การวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการเนี่ยแหละครับที่มันยาก ไม่ใช่ว่าเลือกหุ้นมาตัวนึง ตั้งใจว่าจะถือยาว ๆ แล้วก็เีรียกตัวเองว่า VI อันนี้คงไม่ใช่ ความเสี่ยงมีมากมายเหมือนแนวทางอื่น ๆ หากวิเคราะห์ผิด ถ้า VI ไม่เคยขาดทุนป่านนี้คงมีคนรวยทั่วประเทศแล้วครับ ไม่ว่าแนวทางไหน หากต้องการจะเก่งก็ต้องทุ่มเทศึกษาเรียนรู้ให้มากเหมือน ๆ กันครับผม จากคุณ : shoemaker เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 20:44:05