ความคิดเห็นที่ 1 P/E อย่าไปดูมากครับ.... แต่ก็ใช่ครับ ที่ว่า ต่ำนั้นดีกว่าสูง เพราะ P/E นั้นหมายความว่า ราคาที่คุณซื้อหุ้น เทียบกับ กำไรสุทธิ ถ้าคุณซื้อ สูง (P/E สูง) นั่นเท่ากับว่าคุณอาจลงทุนในตำแหน่งที่หุ้นราคาแพงเกินไป....ตรงกันข้าม ราคาที่คุณซื้อหุ้น เทียบกับ กำไรสุทธิ ถ้าคุณซื้อ ต่ำ (P/E ต่ำ) นั่นเท่ากับว่าคุณอาจลงทุนในตำแหน่งที่หุ้นราคาไม่แพงเกินไป.... ซึ่งน่าจะดีกว่าแน่นอน....แต่ยังไม่จบ P/E มันหลอกเราได้ เช่น หุ้น AAA หลายปีผ่านมาราคา ทรงๆๆ เดิมๆๆ อยู่ 10 บาท ส่วนกำไรสุทธิดันโตขึ้นมา ซึ่งทำให้ P/E ต่ำลง คุณจึงคิดว่าควรลงทุน....ต่อมา ถือหุ้นนี้ไป เริ่มงงว่าทำไมหุ้นราคาไม่ไปไหน หรือตกลงด้วยซ้ำ เพราะอะไร.... 1.คุณต้องดู D/E ประกอบ 2.คุณต้องหาที่มาของรายได้ด้วยว่า จริงแท้แค่ไหน 3.คุณต้องดู ROA ประกอบ 4.คุณต้องดูอีกหลายๆ อย่างด้วย สรุป ให้ลองฝึกคะนึง Margin of Safety (MOS) ซึ่งจะให้ผลดีกว่าในการตัดสินใจลงทุน เริ่มเรียนรู้ง่าย โดยศึกษา Discounted Cashflow Projection (DCF) โดย B-C ก็คือ Earning Per Share (EPS) นั่นเอง....ยังไม่จบ คุณต้อง Discount ... Present Value (PV) ที่คะนึงได้ ด้วย Financial Ratio อื่นๆ ด้วย ไม่อย่างนั้น คุณจะหลอกตัวเองในการลงทุน จากคุณ : Golden Thread เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 08:50:22

ความคิดเห็นที่ 2 แต่ผมกับชอบนะ Pe เนี่ยดูง่ายดี ความหมายก็ดี อีกอย่างนึง ก็คือ หมายความว่าคุณจะใช้เวลากี่ปีบริษัทถึงจะทำกำไรได้คืนทุนในราคาที่คุณจ่ายไป ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องใส่ใจและเข้าใจก็คือว่า ตัว e นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคตหรือไม่ จากคุณ : ผู้ไหวหวั่น เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 09:10:37

ความคิดเห็นที่ 3 บางที P/E สูง อาจดีกว่า ต่ำ เพราะหมายถึงกิจการดี มีอนาคต ใครๆ ก็อยากได้ นักลงทุนถึงยอมจ่ายแพง เพื่อซื้ออนาคต แต่ไม่ใช่สูงแบบเป็น 100 นะ นั่นอนาคตไกล (จนมองไม่เห็น) จากคุณ : natapolsri เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 09:11:37

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเข้าใจสมการ PE  ในภาพประกอบ จะไม่งงกับค่าพีอี สูงหรือต่ำ PE  จะสูงจะต่ำ  ขึ้นอยู่กับตัวแปรสองตัว คือ P  หรือ ราคาหุ้น และ E  ผลกำไรต่อหุ้น หุ้นจะมีพีอีสูงได้นานๆ  หมายความว่า  ค่าอี  ต้องโตต่อเนื่อง หรือไม่ก็มีเจ้ามือปั่นหุ้น แล้วติดหุ้นซะเอง ก็เลยต้องกัดฟันพยุงมูลค่าตลาดของหุ้นในพอร์ตตัวเองเอาไว้ ใครที่คำนวณค่าอี  ในอนาคตได้   ก็คือผู้ที่มีแต้มต่อ  margin of safety   มากกว่าคนที่ตามได้แค่อดีต กับปัจจุบันเท่านั้น เซเว่นจะมีพีอีลดลงได้ เป็นไปได้หลายแบบเช่น ค่าพีเท่าเดิม  ต่าอีเพิ่มขึ้น ค่าพีลดลง  และค่าอีเท่าเดิม ฯลฯ คงสรุปได้่ว่า PE   ของหุ้นแต่ละตัวไม่เท่ากัน เพราะความคาดหวังถึงค่า อี ในอนาคต ของนักลงทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน   และเจ้ามือมีอในตลาดหุ้น  มีผลประโยชน์ในหุ้นตัวนั้นไม่เท่ากั้น ถ้าเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง ในหุ้นตัวนั้นๆๆ คาดหวังไว้สูง ราคาหุ้นก็จะสูงตามไปด้วย   ตอนนี้  เท่าที่ดูๆ   เงินที่มีอำนาจซื้อนำ หันไปเพิ่มพีอี  ให้กับหุ้นที่ไม่่มีสภาพคล่อง แต่ผลประกอบการดีหรือแย่จนคนชินแล้ว ด้วยการทำราคาหุ้นขึ้นไปแบบ  ผลัดกันซิลลิ่งวันละตัว สองตัว หรือสามตัว แบบคนที่ตามเซท ๕๐  เซท ๑๐๐  ได้แต่มองด้วยความเสียดาย รุ่นน้องที่คุ้นเคย  บอกว่า ในปีนี้พี่ชายถูกแจ็คพอตหุ้นซืิ้อปั๋บ ชนซิลลิ่งปุ๊บ ภายในสองสามวัน  ทั้งหมด ๘ ตัว  !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไม่เรียกว่า โอกาสทองแบบครั้งหนึ่งในชีวิต  ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว ! ! แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 55 09:17:29 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 09:15:41

ความคิดเห็นที่ 5 p = ราคา(ปัจจุบัน) หาร e = กำไรต่อหุ้น(อดีต) ถ้า pe 10 แปลว่า ที่ราคานี้ กับกำไร"เท่านี้" 10 ปี คืนทุน ถ้า pe 33.76 แปลว่า ที่ราคานี้ กับกำไร"เท่านี้" 33.76 ปี คืนทุน ถ้ากำไรเท่าเดิมตลอดไป p/e ไม่ได้บอกอนาคต บอกแค่ วันนี้ ราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ยิ่งซื้อ pe ต่ำๆก็ยิ่งดี แต่อนาคตสำคัญกว่า ราคาปัจจุบัน จากคุณ : Pigou เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 09:21:25

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับทุกๆคำตอบนะครับ จากคุณ : Weeravit99 เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 10:44:54