ความคิดเห็นที่ 1 ขอผมแบบเดียวกันเลย แต่ ผมport เล้กกว่ามาก ถ้าคุณถามความเห็นคน 100 คน ได้ 100 อย่างครับ จากคุณ : benz1 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 12:36:04

ความคิดเห็นที่ 2 ผมให้LHK ครับ รองบกันยายนออก 4 บาทเจอกัน จากคุณ : หุ้นดวงดี เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 12:40:13

ความคิดเห็นที่ 3 กลยุทธ์ของผม แบ่งเงินออกเป็น 1+3 ส่วน 1. คือเงินสด 10 % 3. แบ่งเป็น ตลาดเงิน 30 % + กองทุนหุ้นปัลผล 30 % + หุ้น 30% จากคุณ : benz1 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 12:41:33

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าอยากได้ผลตอบแทนปีละ 800,000 บาทคิดว่าควรจะมาจาก dividend yield ทั้งหมด คิดกลมๆ 3% เงินต้อง 30 เท่า(กลมๆนะ)  หรือราวๆ 24 ล้าน ตอนนี้มีเงินลงทุน 2 ล้าน  ลงเพิ่มเดือนละ 1 แสนหรือ 1.2m ต่อปี  ตีว่า 5 ปีก็ 6 ล้าน  เพียงแต่เงินทั้งก้อน 6m มันไม่ได้มาพร้อมกัน  คิดว่าเป็นเส้นตรงก็เหมือนมีเงินเริ่มต้น 5m จะไปถึงขนาดนั้นก็ต้องได้ผลตอบแทน CAGR ราวๆ 30-40% ถือว่าโหดพอควร(นี่ต้องกำไรอย่างเดียวนะ) มุมมองของผมผมคิดว่า จขกท มี big cap เยอะเกินไป  ซึ่ง big cap พวกนี้มั่นคง  แต่การจะมี big jump ยากมาก หลายๆตัวผมมองว่า double time มากกว่า 5 ปี  ซึ่งการจะไปถึงเป้าอาจจะยากถ้า buy and hold(แต่การมาของ AEC ก็อาจจะทำให้หลายๆตัวมี big jump นะครับ  แต่หลายๆตัวผมว่ายาก) ผมว่า จขกท อาจจะต้องมองธุรกิจขนาดกลางมากขึ้นพวก medium cap หรือ small cap เพราะอัตราการเติบโตมันสูงกว่าชัดเจน  บางตัวสามารถ double time ได้ใน 2-3 ปี หรือการมาเป็น bargain hunter อาจจะช่วยให้ไปถึงได้เร็วขึ้นถ้าพอร์ตไม่ใหญ่มาก p.s. คหสต นะครับ  อย่าเชื่อผม  ผมเป็นใครก็ไม่รู้ในโลก online  จขกท ไม่เคยเห็นหน้าผมด้วยซ้ำ  เอาข้อมูลดิบไปอย่างเดียวครับ  ฟังหูไว้หู  เพราะผมเข้าวงการหุ้นมาก็ต้องการเงินเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเงินของใครครับ จากคุณ : เขียนบน iPad (nasunap) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 12:59:30

ความคิดเห็นที่ 5 ผมเข้าใจว่านี่คือเงินเย็นทั้งหมดนะครับ เข้าใจว่าคุณได้แบ่งเงินสด เก็บไว้อีกส่วนแล้ว เพื่อไว้ใช้จ่ายประจำวัน งั้นไม่ต้องพูดถึง พอร์ตลงทุนโดยเป็นหุ้นทั้ง 100% นี่ผมว่าโหดทีเดียวเลยล่ะ ถ้าตลาดขาขึ้นตลอดช่วงเวลาที่คุณลงทุนคุณจะได้มหาศาลมาก แต่อย่าลืมว่าเราไม่รุ้ว่าตลาดจะลงเมื่อไหร่นะครับ ถ้าเป็นผมมีพร์ตใหญ่ๆ ผมจะเพิ่มปัจจัยในการจัดพอร์ตเรื่องการกระจายความเสี่ยงไปหลายสินทรัยพ์ด้วย เช่น ตราสารหนี้, กองทุนอสังหา, กองทุนหุ้นปันผล โดยเฉพาะกองทุนอสังหา น่าจะเพิ่มซัก 10-20% ของพอร์ตดีไหมครับ เพราะความผันผวนต่ำ แต่ได้ปันผลค่อนข้างมากและแน่นอน ประมาณ 6-8% ส่วนนี้คุณจะได้กระแสเงินสดออกมาใช้จ่ายที่ค่อนข้างแน่นอน หรือจะเอาไป re-invest ก็แล้วแต่ กองทุนหุ้นปันผล ก็ได้ปันผลค่อนข้างสูง 15-20% เลยล่ะ เช่นพวก KFSDIV, HI-DIV ส่วนหุ้น ADVANC กะ INTUCH เลือกตัวเดียวพอดีไหม มันขึ้นๆ ลงๆ แทบจะเหมือนๆ กัน ขาดหุ้นกลุ่มที่น่าจะรุ่งตอนเข้า AEC นะครับ ถ้าคุณสนใจ (เช่น BGH มีแล้ว, CPN, BJC, MINT,...) จากคุณ : ++HotDog++ เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:08:44

ความคิดเห็นที่ 6 ลงทุนหุ้นปันผลดีๆ 30% ลงทุนหุ้น Growth 50% ลงทุนฝากดอกดีๆ 20% Play save ไว้ค่ะ จากคุณ : PassioninLove เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:17:00

ความคิดเห็นที่ 7 ใช้เดือนละ 50000 เงินเฟ้อ ประมาณ 3% กลางๆ หากได้ผลตอบแทนที่ 6% หลังภาษี ต้องมีเงินลงทุนประมาณ 18-19 ล้านครับ จากคุณ : DoubleXL เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:26:23

ความคิดเห็นที่ 8 ส่ง SENA, AS, BAFS เข้าประกวดครับ หุ้นนิ่งๆไม่ค่อยมีคนสนใจไม่ค่อยไหลตาม fund flow ปันผลงาม งบสวย free float ต่ำ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 13:28:09 จากคุณ : เพื่อน's Neville เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:26:40

ความคิดเห็นที่ 9 ระวังอีก 2 ปี ยุโรปพัง เมกาแหก จีนขายของให้ใครไม่ได้ จากคุณ : ลำบากชีวิต เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:39:32

ความคิดเห็นที่ 10 หุ้นในพอร์ตดีมากครับ ผมมีทุกตัวยกเว้น PTT และ BTS แสดงว่าก็เลือกลงทุนได้เก่งมากครับ สำหรับหุ้นที่ผมคิดว่าน่าสนใจอีกตัวคือ BJC ระยะยาวน่าจะเติบโตได้สูงอีกตัวหนึ่ง จากคุณ : Wild Rabbit เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:49:06

ความคิดเห็นที่ 11 พวกการกระจายความเสี่ยงได้มองไว้แล้วครับ ปัจจุบันเจ้าตัวเค้าก็ซื้อ LTF , ประกันสะสมทรัพย์, ประกันแบบบำนาญนิดหน่อย, เงินฝากสหกรณ์ไว้พอสมควรแล้ว ผลตอบแทนปัจจุบันได้ปีละประมาณ 2 แสนบาท จากเงินปันผล ซึ่งก็คิดว่ากลุ่มนี้โอเคแล้ว ถ้านับปันผลหุ้นปัจจุบัน ได้ประมาณปีละ 6-7 หมื่นบาท มี capital gain อีกประมาณ 10-15% ของการลงทุนใน 1 ปีที่ผ่านมา เรื่องของเรื่องก็คือเธอมาถามผมว่าเธอต้องมีเงินเท่าไหร่ ถึงจะลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆได้ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมก็ตอบไปว่ามีเงินเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่มีรายได้มากกว่ารายจ่ายตลอด ไม่ว่าค่าครองชีพจะทะยานไปเท่าไหร่ แล้วก็เล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนพ่อคนนึง เมื่อ 20 ปีที่แล้วเค้ามีเงินเก็บครบ 2.4 ล้านบาท ฝากประจำธนาคาร ดอกเบี้ย 10% ต่อปี เฉลี่ยฝากหมุนไป 2 แสนทุกเดือน ก็จะได้ผลตอบแทน 2 หมื่นบาททุกเดือน เอามาคุยให้เพื่อนฝูงฟังว่าเค้าวางแผนเกษียณแบบนี้ ผมบอกว่าถ้าวันนี้ผมเป็นเพื่อนพ่อคนนี้ คงปวดหัวน่าดู ค่าครองชีพพุ่งไปเท่าไหร่ แถมดอกเบี้ยต่ำติดดินแบบนี้ ถ้าภรรยาผมคิดจะลาออกตอนนี้ ระวังจะเป็นแบบเพื่อนพ่อคนนี้ (ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง แต่แผนเกษียณของเพื่อนพ่อคนนี้ฟังดู make sense มากเลยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว) ทีนี้โจทย์ 8 แสนบาทน่ะ เป็นผมคำนวณให้ภรรยาฟังเอง โดยดูจากรายจ่ายปัจจุบันว่าถ้าจะเกษียณเราควรจะมีรายรับไม่ต่ำกว่าเท่านี้ และต้องมีเหลือ re-invest ด้วยนะ ไม่งั้นอาจจะลำบากตอนแก่เพราะแพ้เงินเฟ้อและค่าครองชีพ เรื่องหุ้น high growth มีพูดคุยกันไว้บ้างแล้วครับ ภรรยาผมยอมรับในข้อนี้ อนุมัติให้ซื้อได้ครับ ซึ่งผมคงจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเข้าไป ทีนี้ถ้าภรรยาผมลาออกมาอยู่บ้าน ก็จะมีรายได้จากการคืนภาษีปันผลหุ้นเพิ่มกลับมาส่วนนึงด้วย จากคุณ : s7014249 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:52:47

ความคิดเห็นที่ 12 #9 สมชื่อจริงๆครับเฮีย ^^ จากคุณ : DoubleXL เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 14:07:02

ความคิดเห็นที่ 13 คุณต้องบอกรายละเอียดให้มากกว่านี้ค่ะ   1  อายุทั้งสองคน   2  มีบุตรกี่คน อายุเท่าไร 3  มีภาระคนในครอบครัวต้องดูแลไหม โดยเฉพาะคนแก่ 4  มีหนี้คงค้างเท่าไร เช่น ผ่อนบ้าน รถ 5  อยู่ในสังคมระดับไหน ขนาดว่าดิฉันประหยัดสุดขีด มีคอนโดซื้อขาด ไม่มีรถ ไม่มีหนี้ใดๆ ไม่มีคนอื่นๆในครอบครัวต้องดูแล ตัดขาดสังคมเดิมทั้งหมด ตอนลูกๆเรียนในมหาลัย (เอกชน)  เฉลี่ยใช้เงินปีละประมาณ 6 แสน นั่นคือ 3 ถึง 8 ปีที่แล้ว  ตอนนี้ลูกๆอายุ 25 และย่าง 27 ปัจจุบัน เราใช้เงินปีละ 6 แสนกว่าต่อปี  คือลูกชายใช้เงินปีละ 2 แสน ลูกสาวใช้ 3.5 แสน เพราะเรียนโทปีละ 2 แสนกว่าแล้ว  ค่าใช้จ่ายในบ้านและดิฉัน .. จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 14:09:42

ความคิดเห็นที่ 14 ใช้เดือนละ 5 หมื่น นี่ใช้อะไรบ้างหนอ จากคุณ : ฉลาดหน้าตาดีมีเงินใช้ เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 14:09:43

ความคิดเห็นที่ 15 5 หมื่น  คือ  (จริงๆน่าจะเกินถ้ารวมค่า renovate เช่น ห้องน้ำ 5 หมื่น) ค่าใช้จ่ายลูกๆ 2.4 หมื่น (รวมอาหาร 3 มื้อ ค่ารถ ของใช้ส่วนตัว) มีทุกอย่าง ตอนเล็กๆ play station เกมกดต่างๆ หนังสือเป็นชุดๆ คอม Pentium 4 เพิ่งออก พร้อมอุปกรณ์ทุกอย่าง เหยียบแสน มือถือโนเกีย เกือบ 1.8 หมื่น กล้อง digital เกือบ 2 หมื่น ค่าหน่วยกิจและทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียน ลูกชายเดือนละ 8 พัน ลูกสาวเรียนทุน แต่ต้องเช่าหอ 5 พัน ก็ตก 8 พันเท่ากัน ซื้อข้าวของ เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าส่วนกลาง น้ำ ไฟ internet ค่าใช้จ่ายแม่ รวม 1 หมื่น จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 14:30:54

ความคิดเห็นที่ 16 DTAC ADVANC INTUCH รวมกันก็ 40%แล้วนา แล้วยังเป็นกิจการเดียวกันเป๊ะๆ ผมว่าเสี่ยงไป ช่วงนี้ เป็นหุ้นปันผลดีก็เพราะกิจการยังไม่ต้องใช้เงิน แต่หลังได้ 3g ต้องมีลงทุนเพิ่ม ต้องคิดให้ดี ธนาคาร ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะซื้อหรือไม่ เพราะปีนี้ ขึ้นกันมาเยอะ แล้วก็มันจะเป็นกิจการที่ดีจนวันมันเจ๊ง เหมือนวิกฤติการเงิน อยู่ๆก็เกิด แล้วแบงค์ก็ล้มกัน โดยไม่มีใครคาดมาก่อน scc ผมว่าโอเค ถ้าจะหลับตาซื้อ bgh ดีเลิศ ชอบมาก เป็นทั้งเมกะเทรน คนแก่เยอะขึ้น และไปแข่ง aec ได้ ส่วน cpall ก็ดีเลิศ แต่แพงไปหน่อย แพงตลอด ptt cpf เป็นคอมโมดิตี้ ยากจะคาดเดาอนาคต น่าจะลด bts นี่ไม่แน่ใจ ถ้าสนสื่อสาร ผมว่าลองดู jas หรือจะจัดเป็นหุ้น growth ลองดูหุ้นกลุ่มอื่นๆ ถ้าอยากกระจาย cpn อสังหา ห้างให้เช่า กำลังขยายตัว centel mint ถ้าคิดว่าโรงแรมจะดีวันดีคืน(ส่วนอาหารดีแน่) bjc ก็น่าสนแต่แพงไปหน่อย จากคุณ : Pigou เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 15:05:23

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบคำถาม 13 1. ยังทำงานได้อีก 20 กว่าปีก่อนถึงวัยเกษียณครับ 2. ลูกยังเล็ก แต่มีกองทุนค่าเล่าเรียนเค้าแยกออกไปแล้ว ก็คือผลตอบแทน 2 แสนใน คห 11 3. คนแก่บ้านผมก็มีรายได้เลี้ยงตัวเองครับ ทุกคนวางแผนเกษียณของตัวเอง แต่ถ้าเจ็บป่วยทุกคนในครอบครัวก็จะลงเงินมาช่วยกัน 4. หนี้ไม่มี บ้าน รถ มีหมดแล้ว 5. อยู่สังคมระดับคนชั้นกลางครับ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน สำหรับลูกก็วางงบการเรียนไว้ไม่เกินปีละ 2 แสนครับ ถ้าโตขึ้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐไม่ได้ ก็ต้องทำงานหรือรู้จักลงทุนหารายได้มาชดเชยรายจ่ายตัวเองครับ ถ้าจะเรียนเมืองนอกก็ต้องหาทุน แล้วพ่อแม่ถึงจะพิจารณาส่งที่เหลือให้ แต่ถ้าไม่แสดงความพยายาม พ่อแม่มีเท่าไหร่ก็ไม่พอให้ผลาญ และผมก็จะไม่ทำตัวเป็นภาระให้ลูกหาเลี้ยงครับ จากคุณ : s7014249 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 15:05:36

ความคิดเห็นที่ 18 ตอบ คห 9 ถ้าอีก 2 ปี พังจริง ผมจะดีใจมากเลยครับ ให้หุ้นเหลือ 4-500 ยิ่งดีครับ วิกฤตปี 2008 ลงเงินไปกับบ้านหมดซะก่อน เสียดายมากๆ พอร์ตตอนนี้มีขนาดประมาณ 25% ของที่ตั้งใจไว้ ถ้าเพิ่มสัดส่วนใน 5 ปีนี้ สัดส่วนการลงทุนจะปรับเปลี่ยนไปอีกพอสมควร แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 55 15:19:31 จากคุณ : s7014249 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 15:16:41

ความคิดเห็นที่ 19 ในพอร์ตดิฉัน ไม่มีหุ้นที่คุณถือสักตัวเดียว แต่อยากบอกว่า ราคาที่คุณถือ ไม่ได้ถูกเลยนะ   2 ใน 3 ของเงินที่หามาได้  ต้องใส่ไว้ใน assets ที่ปลอดภัย แม้ว่าจะได้ผลตอบแทนไม่สูง  เช่น ที่อยู่อาศัย ตราสารหนี้ เงินฝากประจำ ทองคำ เพชร เพราะหุ้นคือ ความเสี่ยงที่สูงมากๆ   เว้นแต่ว่า คุณไม่มีใครที่ต้องพึ่งพาคุณ หรือคุณมีที่พึ่งพา ถึงจะเจ๊งหุ้นหมดตัว ก็ดำรงชีวิตอยู่ได้ตลอดรอดฝั่งสบายๆ ปีนี้  ดิฉันเน้นแต่กลุ่มประกัน และ อุปโภคบริโภค แค่ 2 กลุ่ม ซื้อตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเห่อตอนมีการไล่ราคา ใช้เงินไปไม่ถึง 30% ของเงินสดในมือ (น้อยเกินไป) ได้ขายบางส่วนเพื่อเอา realized gain มาใช้ส่วนตัวและในบ้าน ซึ่งก็ทำแบบนี้มาตลอดชีวิต เพราะมีเงินน้อยเกินกว่าจะสร้างพอร์ต ที่สามารถกินเงินปันผลมากพอกับการดำรงชีพ หุ้นในพอร์ตทั้งหมดซื้อด้วยกำไร จะเรียกว่าหุ้นฟรีก็ได้ เพราะทุนถูกนำออกมาหมด ตอนดัชนีพุ่งไปเกือบ 1800 จุด แต่ถึงจะเป็นหุ้นฟรี ก็ยังอดขายให้เห็นเงินสดในมือไม่ได้อยู่ดี สงสัยจะติดนิสัยเป็น trader มากกว่า investor จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 15:30:24

ความคิดเห็นที่ 20 ให้เจ้าของกระทู้ 1 กีบ ข้อหารักภรรยา จากคุณ : แมวเปรอะ (Key Word) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 16:33:10

ความคิดเห็นที่ 21 ตั้งเป้าไว้ห่างไกลความจริงมาก แต่ก้อต้องลองดูไม่มีใครเดาอนาคตได้ ถ้าเอาแบบผมล่ะ อาจจะได้ อิอิอิอิ หรือ อาจจะร่วง ฮาๆๆๆๆ ถือหุ้นตัวเดียวเลย รูดปี๊ดดดดดดด จากคุณ : maimus เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 17:23:59

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ต้องเสียดายดอกค่ะ  บ้านต่อไปราคาก็ขึ้น คอนโดดิฉันอยู่มา 24 ปี  ตอนนี้ ราคาขึ้นมา 3 เท่ากว่าแล้ว ธนาคารกรุงเทพ ปี 1995 ราคาโดนลากขึ้นไป 270 ปลายปี 1998  ร่วงเหลือ 20 บาท ผ่านไป 17 ปี เพิ่งตะกายกลับมาที่ 200 บาท จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 17:47:02

ความคิดเห็นที่ 23 @ คห 22 24 ปีราคาเพิ่ม 3 เท่า CAGR ไม่ถึง 5% นะครับ  เกรงว่ามีดอกเบี้ยด้วยผลตอบแทนจะน้อยกว่าเงินฝาก ถ้าสมมติตัว 10 ปีราคาไม่ไปไหน  ผมก็มี 10 ปีราคาวิ่งโหดๆเหมือนกันครับ BGH 10 ปีราคาวิ่งจาก 2 บาทไป 100 บาท 50 เด้งครับ SCBLIF 15 ปี ราคาวิ่งจาก 3 บาทไป 700 บาท 200กว่าเด้งครับ การกระจายความเสี่ยงกระจายเฉพาะที่เรามีความรู้นะครับ  อย่ากระจายทุกอย่าง ที่ดินหรือทองก็มีช่วงบูม  ช่วง bubble อย่าคิดว่าราคามันขึ้นตลอดไปครับ อีกอย่างผมไม่รู้หรอกครับว่าทองอีก 3 ปี 5 ปีราคาจะเป็นอย่างไร  จะตกหรือเปล่า  แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า CPALL กับ HMPRO อีก 5 ปีกำไรน่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวครับ p.s. ไม่ได้บอกว่าหุ้นดีที่สุดนะครับ  ทุกตัวมีความเสี่ยงหมด  ธนาคารก็เจ๊งได้  รัฐบาลก็ default ได้  ที่ดินก็ราคาตกนานๆได้  การที่เราไม่มีความรู้กับมันเพื่อจัดการความเสี่ยง  แล้วไปเล่นกับมันนั่นล่ะครับเสี่ยงของจริง จากคุณ : เขียนบน iPad (nasunap) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 19:22:16

ความคิดเห็นที่ 24 จริงๆปัจจุบัน ที่ทุกท่านแนะนำกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์อื่น ภรรยาผมทำมาเกือบหมดแล้วครับ เงินฝาก ทอง ที่ดิน คอนโด ประกันทั้งออมทรัพย์,สุขภาพและบำนาญ LTF ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนนั้น แต่คิดว่ามี security ให้กับชีวิตปั้นปลายในระดับนึง ในกระทู้นี้ผมจึงเจาะลึกเกี่ยวกับพอร์ตหุ้นอย่างเดียว ผมมองว่าในชีวิตคนเรามีสิ่งที่ต้องทำ 3 step ในเรื่องการสร้าง asset คือ 1. สร้าง asset ให้เพียงพอกับความต้องการพื้นฐาน ปัจจัย 4 ต่างๆ (ครบสมบูรณ์แล้ว) 2. สร้างหลักประกันให้กับชีวิตไม่ว่าจะพบเจอกับอุปสรรคหรืออุบัติเหตุทางด้านการเงินต่างๆ เช่นตกงาน เจ็บป่วย (สร้างเกือบครบตามที่ต้องการแล้ว) 3. สร้าง asset ที่ช่วยให้เรามี passive income เพียงพอ บางคนอาจจะเรียกว่า financial freedom (กำลังพยายามทำอยู่) ครอบครัวผมไม่ใช่นักลงทุนที่เกิ่งกาจอะไร แต่เป็นครอบครัวนักออมและรู้จักวางแผนทางการเงินในระดับหนึ่งครับ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมกับภรรยาทำงานหนักและมาถึงจุดนี้ได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้ แต่มันก็ consume พลังชีวิตไปไม่น้อย ถึงตอนนี้เธอเริ่มอยากพัก ซึ่งผมก็คิดว่าโอเค สรุปสิ่งที่ผม digest มาจากการอ่านถึงตรงนี้ 1. เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น growth ที่ไม่ใช่ big cap ซึ่งจะลองไปศึกษาหุ้นตัวที่แนะนำดูครับ 2. กระจายไปกองทุนอสังหา กองทุนหุ้น ตราสารหนี้ 3. ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม ถ้ามีเพิ่มเติมอีกก็ยินดีรับฟังครับ จากคุณ : s7014249 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 22:59:44

ความคิดเห็นที่ 25 แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 55 08:02:13 จากคุณ : ชื่ออะไรดี เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 07:58:00

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 23     @ คห 22 24 ปีราคาเพิ่ม 3 เท่า CAGR ไม่ถึง 5% นะครับ คุณลืมไปว่า  เราได้อยู่นะคะ  หากไม่ซื้อ ก็ต้องเช่า ค่าเช่าปัจจุบัน ตกปีละ 15% จากราคาที่ดิฉันซื้อค่ะ จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 16:25:57

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นที่ 9     ระวังอีก 2 ปี ยุโรปพัง เมกาแหก จีนขายของให้ใครไม่ได้ จากคุณ : ลำบากชีวิต   เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:39:32   _______________________________________________ ยุโรป เขาพวกเยอะ ช่วยกันอุ้ม อเมริกา พังไม่ได้ .. เห็นแก่พระเจ้า จะพังไม่ได้เด็ดขาด สรุปว่าไม่มีทาง จีนขายของให้ใครไม่ได้ .. อีก 10 วันโลกจะแตกหรือ โลกจะอยู่ต่อไปอีกหลายหมื่นหลายพันล้านปี อ ย่าลืมสิว่าเมื่อวานเรา(อเมริกา .. และ ..)ไปดวงจันทร์และวันนี้เราก็ไปดาวอังคารแล้ว ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา โลกจะต้องดำเนินต่อไป ยังไงดัชนีของหุ้นก็ต้องเพิ่มขึ้นวันยังค่ำ เพื่อยืนยันว่าเม่าทั้งหลายไม่ขายไม่ขาดทุน ไหนจะพี่กองที่พร้อมจะทุ่มทุนประคับประคอง จากคุณ : Total_Recallน่ะเคยดูไหม (เด็กเกาะสมุย) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 20:36:39