Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หุ้นขั้นเทพ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=53213 leaf
Credit : ขอบคุณคุณ Thai VI Article และคุณ ดร.นิเวศน์ครับ

โลกในมุมมองของ Value Investor         1 กันยายน  2555
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
                             หุ้นขั้นเทพ

  การวิเคราะห์หุ้นนั้น   มีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมายทั้งในด้านเชิงปริมาณและคุณภาพ   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับนักลงทุนบางคนที่อาจจะมีความรู้ในเชิงธุรกิจไม่มากเนื่องจากอาจจะไม่ได้เรียนมาทางสายธุรกิจหรืออาจจะเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นนักลงทุนมือใหม่  และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้อสรุปของหุ้นแต่ละตัวจึงไม่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนแต่ละคน   หุ้นตัวหนึ่งนักลงทุนคนหนึ่งอาจจะดูว่าดีมากเป็นซุปเปอร์สต็อกในขณะที่อีกคนหนึ่งมองว่าเป็นหุ้นธรรมดา ๆ    หรือหุ้นตัวหนึ่งนักเล่นหุ้นคนหนึ่งบอกว่ามันเป็น  Growth Stock  หรือหุ้นโตเร็ว  ในขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่ามันเป็นหุ้นวัฎจักรที่เพียงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้นและพร้อมที่จะลงในอนาคต   วิธีที่จะดูว่าหุ้นหรือบริษัทที่เราสนใจนั้นน่าจะดีหรือไม่อย่างง่าย ๆ  ก็คือ  หาปัจจัยสำคัญที่สำคัญมาก ๆ  บางตัวมาเป็นเครื่องชี้ที่จะบอกว่ามันเป็นหุ้นดีหรือหุ้นแย่  ตัวอย่างเช่น  ถ้าการตลาดหรือยี่ห้อของสินค้าของบริษัทนั้นแข็งแกร่งสุดยอดเหนือกว่าคู่แข่งมาก  โอกาสก็สูงว่าหุ้นของบริษัทก็น่าจะดีโดยที่เราอาจจะไม่ค่อยต้องพิจารณาปัจจัยอื่นมากหรือละเอียดนัก  เป็นต้น

  เครื่องชี้วัดที่สำคัญและวิเคราะห์ได้ง่ายตัวหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจและสามารถนำมาใช้ได้ในหุ้นเกือบทุกตัวก็คือตัวเลขของผลประกอบการหรือกำไรในอดีตเพราะนี่คือผลงานที่บริษัททำได้มาแล้ว   มันเป็น  “ของจริง”  ที่เกิดขึ้น  และมันสามารถบอกไปถึงอนาคตได้โดยเฉพาะถ้ากำไรที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากผลการทำงานของบริษัทจริง ๆ  ไม่ได้เกิดจากภาวะแวดล้อมที่ทำให้บริษัทกำไรดี  พูดง่าย ๆ  บริษัทไม่ได้กำไรดีเพราะบริษัท “โชคดี”   แต่บริษัทกำไรดีเพราะบริษัทมีฝีมือดีมีความสามารถเหนือคู่แข่ง

  วิธีที่จะตัดประเด็นของ  “โชค”  ออกจากตัวเลขผลประกอบการก็คือ  การดูกำไรย้อนหลังไปหลาย ๆ  ปี  เพราะถ้าเป็นเรื่องของโชคแล้ว   มันคงไม่เกิดติดต่อกันหลาย ๆ  ปี  มันน่าจะเกิดขึ้นอย่างมากก็น่าจะไม่เกิน 2-3 ปี  หลังจากนั้นก็น่าจะกลับมาเป็นปกติซึ่งเราก็จะเห็นว่ากำไรหลังจากนั้นก็จะแย่ลงและเราก็สรุปได้ว่าบริษัทคงไม่เก่งอะไรนัก   ตรงกันข้าม  ถ้าเรามองผลประกอบการย้อนหลังไปยาว ๆ  แล้วพบว่าบริษัทมีผลงานหรือผลประกอบการที่น่าประทับใจมาตลอด   เราก็น่าจะสรุปได้ว่าบริษัทนี้มีความสามารถในการแข่งขันสูงและแน่นอนในอนาคตต่อไปมันก็น่าจะสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องยาวนาน   เพราะบริษัทก็เหมือนคน   ถ้าเก่งและมีความสามารถ  อย่างไรก็ทำเงินได้ต่อไปในอนาคต

  ข้อมูลผลกำไรย้อนหลังที่ผมคิดว่าน่าจะเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าบริษัทดีจริงหรือไม่น่าจะไม่น้อยกว่า  7-10 ปีขึ้นไป  เพราะนี่นอกจากจะตัดประเด็นเรื่องโชคของบริษัทแล้ว  มันยังตัดประเด็นของเรื่องวัฏจักร์ของธุรกิจที่มักจะมีเวลาขึ้นลงไม่เกิน 3-5 ปีด้วย    ดังนั้น  ถ้าจะหาปัจจัยสำคัญบางตัวที่จะบอกว่าบริษัทหรือหุ้นดีหรือไม่   ผมคิดว่าข้อมูลผลกำไรย้อนหลังประมาณ 7-10 ปี  เป็นตัวที่สำคัญมากตัวหนึ่ง  และข้อเสนอของผมก็คือ  ถ้าบริษัทไหนมีกำไรสม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราตั้งแต่ 10% ต่อปีขึ้นไป มาตลอดโดยที่บริษัทไม่ต้องเรียกเงินจากผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเลย   ก็ถือว่าบริษัทนั้นหรือหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมโดยไม่ต้องไปดูปัจจัยอื่นมากมาย   ถ้าจะใช้คำหรู ๆ  แบบที่วัยรุ่นใช้กับดาราชายที่หน้าตาดีมากว่า  “หล่อขั้นเทพ”  ผมก็อยากจะเรียกหุ้นที่มีผลประกอบการดังกล่าวว่าเป็น  “หุ้นขั้นเทพ”

  นอกจากตัวเลขผลกำไรแล้ว  ปันผลก็เป็นตัวเลขหนึ่งที่สำคัญ   เพราะถ้าบริษัทจ่ายปันผลออกมาน้อย  กำไรในอนาคตก็ต้องมากขึ้นอยู่แล้ว   ดังนั้น  ถ้าบริษัทจ่ายปันผลในแต่ละปีในอัตราสูงเช่นเกิน 50% ของกำไรแต่ละปีด้วย  นี่ก็เป็นตัวเสริมให้เป็นหุ้นเทพมากขึ้น  ถ้าอัตราการจ่ายปันผลต่ำความเป็นหุ้นขั้นเทพก็ควรจะลดลง   นอกจากนั้น  ความเป็นเทพมากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับการเติบโตของกำไรเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา   ถ้ากำไรโตปีละถึง 15%  ขึ้นไป  เราก็อาจจะเรียกว่าเป็นหุ้นเทพมาก  แต่ถ้ากำไรโตต่ำกว่า 10%  แบบนี้ก็อาจจะเรียกว่าเทพธรรมดาหรืออาจจะไม่เทพเลยถ้ากำไรโตน้อยมากเพียงแค่ 4-5% เป็นต้น   เช่นเดียวกัน   ความสม่ำเสมอของกำไรในแต่ละปีก็เป็นตัวบอกความเป็นเทพมากหรือน้อยได้   บริษัทที่มีกำไรแทบจะเพิ่มขึ้นทางเดียวปีต่อปี ไตรมาศต่อไตรมาศ  แบบนี้ก็เทพมาก  แต่บริษัทที่มีกำไรสลับขึ้นลงและโดยเฉพาะที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงท้าย ๆ  แบบนี้ความเป็นเทพก็ด้อยลง

  หุ้นเทพนั้น  โดยปกติราคาจะวิ่งขึ้นเสมอและต่อเนื่องยาวนานตราบที่แนวโน้มของกำไรยังโตขึ้นในอัตราใกล้เคียงกับอดีต  ดังนั้นการถือหุ้นเทพนั้นบางครั้งเราสามารถถือยาวเป็น 5 ปี 10 ปีได้โดยไม่ต้องทำอะไร   ในช่วงสั้น ๆ  นั้น  แน่นอน  หุ้นเทพอาจจะมีราคาสูงหรือต่ำจนดูเหมือนกับว่ามันจะ  Overvalue  หรือ  Undervalue  แต่เราก็ไม่ควรที่จะต้องมีปฏิกิริยาอะไรนักยกเว้นว่ามันจะเกินไปมาก   เหตุผลก็คือ  ในที่สุดมันก็จะ  “กลับมา”  คือหุ้นก็จะขึ้นต่อไปตามผลประกอบการของมัน  ผมเองเคยพบนักลงทุนหลายคนที่พยายาม  “เล่นสั้น ๆ”  ในหุ้นเทพ  นั่นคือ  เขาจะขายเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง  เสร็จแล้วก็กลับเข้าไปเก็บเมื่อหุ้นเทพปรับตัวลงมา  ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ   อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายมันคุ้มค่าไหม  เพราะบางครั้งต้องกลับไปซื้อในราคาแพงขึ้นเพราะหุ้นไม่ตกกลับลงมาตามที่คาด    บางคนที่ “ขายหมู”  ไปแล้วก็ไม่กลับมาซื้ออีกและทำให้พลาด  “กำไร” มหาศาลที่ตามมาอีกหลาย ๆ  ปี

  ข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นเทพนั้นมีพอสมควร  เหตุผลหนึ่งก็คือหุ้นเทพนั้นมักจะไม่ถูก  นั่นทำให้VI จำนวนมากหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน  พวกเขามักจะดูว่ากำไรที่โตขึ้นต่อปีของหุ้นขั้นเทพนั้นมักจะ  “ไม่ใคร่สูง”  เช่น  “แค่ 15%”  แต่ค่า PE ของหุ้นนั้นอาจจะสูงถึง 20 เท่าหรือมากกว่า  และดังนั้น  ค่า  PEG  หรือค่า  PE  เมื่อเทียบกับการเติบโตนั้นสูงกว่า 1 เท่า   ดังนั้น  ตาม  “ตำรา” ก็ต้องบอกว่าไม่คุ้มที่จะลงทุน  สำหรับประเด็นนี้ผมเองคิดว่าค่า  PEG  นั้นอาจจะใช้ไม่ได้กับเรื่องของหุ้นเทพ  และส่วนใหญ่ที่ใช้กันก็มักจะมอง Growth หรือการเติบโตของกำไรไปแค่ 3-4 ปี  ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของหุ้นเทพ

  ข้อจำกัดต่อมาของหุ้นเทพก็คือ  บางบริษัทเพิ่งเข้าจดทะเบียนไม่นาน   ดังนั้นจึงมีข้อมูลไม่พอ  แต่ถ้าบริษัทนั้นกลายเป็นหุ้นเทพจริง ๆ  ในเวลาต่อมา   การลงทุนในหุ้นขั้นเทพตั้งแต่ตอนต้นอาจจะสามารถทำกำไรได้มหาศาล  เพราะราคาหุ้นในขณะนั้นอาจจะไม่สูง   และนี่นำมาสู่ข้อที่ต้องระวังที่สำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้นเทพก็คือ  เราต้องพิจารณาดูว่าหุ้นเทพที่เราดูอยู่นั้นกำลังอยู่ในหุ้นเทพ  “ขั้นสุดท้าย”  หรือเปล่า   นั่นก็คือ  การเติบโตของกำไรของหุ้นเทพนั้นใกล้สิ้นสุดหรือยังในขณะที่ราคาหุ้นเทพขึ้นไปสูงมาก  เพราะถ้าเราเข้าไปลงทุนในช่วงที่บริษัทเริ่มอิ่มตัวไม่สามารถโตต่อไปได้แล้วด้วยเหตุผลต่าง ๆ  ในที่สุดราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงไปเรื่อย ๆ  โดยไม่กลับขึ้นมาอีก   อย่างไรก็ตาม  หุ้นเทพส่วนมากก็มักจะมีอายุค่อนข้างยาว  บางบริษัทอย่างหุ้นวอลมาร์ทในอเมริกานั้นเติบโตยาวนานหลายสิบปี   ดังนั้น  การสรุปว่าหุ้นขั้นเทพตัวที่มองอยู่นั้น  “หมดยุค” แล้ว  จะต้องทำอย่างระมัดระวัง  โดยทั่วไปแล้ว  หุ้นขั้นเทพที่ไม่ใช่หุ้นไฮเท็คนั้น   ถ้าจะตกต่ำลง  ก็มักจะใช้เวลาเป็นปี ๆ  หรือหลาย ๆ  ปี  ความจำเป็นที่จะต้องรีบขายนั้นมักจะไม่มี

ปล.ฝนตกบ่อย... รักษาสุขภาพนะครับ ดอกไม้

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 23:38:12

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 23:37:21

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 23:36:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com