บทความเรื่อง "การวิเคราะห์ความจำเป็นในการเพิ่มทุนของบริษัทฯ PAE ผ่าน Timmons Model" [ By pak ThaiVI ]
|
 |
บทความเรื่อง "การวิเคราะห์ความจำเป็นในการเพิ่มทุนของบริษัทฯ PAE ผ่าน Timmons Model"
By pak, 8 ก.ย. 55
Timmons Model เริ่มต้นจาก "Entrepreneur" หรือ "แม่ทัพ" ซึ่งพอจะกล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมดของบริษัทฯไว้
โดยเราจะพิจารณาใน 3 ประเด็น คือ...
1. Opportunity
Entrepreneur หรือ แม่ทัพ จะเป็นผู้เห็น โอกาสทางธุรกิจ(หรือ Opportunity) ก่อน
โดยแม่ทัพจะต้องพิจารณาในหลายประเด็น เช่น...
- Market Demand
- Market Size
- Market Growth
- Margin ในธุรกิจนั้น
ฯลฯ
และ Entrepreneur จะต้องเป็นผู้ คิดเป็น-วางแผนเป็น และจะเป็นคนสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร,
Vision , Mission และ Business Plan รวมทั้งยังต้องบริหารจัดการได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดย "แม่ทัพ" ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนแผนทั้งหมดเพื่อบอกพวกเรา เพราะท่านเองรู้ว่าอะไรควรพูด และอะไรไม่จำเแป็นต้องพูด
2. Team
จากนั้น Entrepreneur จะต้องเป็นผู้จะต้องเป็นผู้สร้าง ทีมงาน(Team) ขึ้นมา
โดยจะต้องหาทีมงานที่มีความรู้, ความสามารถและประสบการณ์ในธุรกิจดังกล่าวอย่างเพียงพอ
เพื่อทำให้บริษัทฯสามารถดำเนินการตาม Business Plan ที่วางไว้ได้
โดยต้องกำหนดเป็น Organization Chart เพื่อกำหนดโครงสร้างองค์กร เพื่อความชัดเจนในการบริหารจัดการ
3. Resource
การที่ Entrepreneur จะสามารถขับเคลื่อนบริษัทฯให้ไปสู่จุดหมายได้นั้น
Resource คือ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น เงินกู(Equity) หรือ เงินกู้(Liability)
โดยจะต้องใช้ประโยชน์ทั้ง ตลาดเงิน และ ตลาดทุน อย่างเหมาะสม
โดยหากเปรียบเทียบกลับมาที่บริษัทฯ PAE ของเราแล้ว น่าจะพอสรุปได้ ดังนี้ครับ...
Entrepreneur คือ คุณอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร
Opportunity คือ ธุรกิจ Oil&Gas และ Petrochemical ซึ่งท่านได้พิจารณาถึง Market Size , Market Growth และ Margin ในธุรกิจนั้นมาเป็นอย่างดีแล้ว
และเห็นว่านี่คือ โอกาสทางธุรกิจ ที่ดีในอนาคตของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน และได้กำหนดกลุยธ์องค์กร และ Business Plan ที่จะเป็นบริษัทฯที่ให้บริการด้าน Hydrocarbon อย่างชัดเจนแล้ว
Team คือ การที่ท่านประธานฯของเรา ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีการแบ่งสายงานอย่างชัดเจน ทั้งทางด้าน Hydrocarbon , Civil และ งานตรวจสอบแบบไม่ทำลาย ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังได้สร้างหน่วยงานที่น่าสนใจขึ้นมา คือ...
หน่วยงาน Business Development รับผิดชอบโดยคุณประกาศ จันทร์เพ็ชร์
หน่วยงาน Engineering รับผิดชอบโดยคุณพชร ช่วงมณี ซึ่งท่านเคยทำงานในบริษัทฯ Worley Parson มาก่อนด้วย
รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ PAE ได้มีการเพิ่มจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับการขยายงานในอนาคต
โดยเราสามารถดูได้จากการ Recruit คนจำนวนมากตามหน้ารับสมัครงานต่างๆ
Resource นี่แหล่ะครับ ตัวสำคัญในห้วงเวลานี้ทีเดียว
นั่นเป็นเพราะ
- ลูกค้าของเรามีพร้อมแล้ว เช่น Chevron , PTTEP, PTTGC , IRPC
- งานในของเราพร้อมแล้ว เช่น บริษัทฯของเรามี Backlog ที่ยังไม่รับรู้รายได้อีกถึง 4,000 ล้านบาท และรวมถึงงานที่เราเพิ่งชนะงานประมูลจาก PTTEP กว่า 1,400 ล้านบาท รวมทั้งเรายังมี Umbrella Contract กับบางบริษัทฯ ซึ่งถือเป็น Barrier ที่ดีเมื่อเราพิจารณาถึง Five-Force Model
- โรงงาน, เครื่องมือ และอุปกร์ต่างๆก็พร้อมพอสมควรแล้ว เช่น Yard ที่ จ.ระยอง , จ.สงขลา และ จ.กำแพงเพชร และ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง สำหรับบริษัทฯลูกของเรา
- ทีมงานพร้อมแล้ว เพราะการที่ผู้ว่าจ้างจะให้งานเรา เค้าต้องดูแล้วว่าเรามีทีมงานที่พร้อม และมีวิศวกรเก่งๆที่เค้าเชื่อใจ และไว้วางใจได้
ดังนั้น จึงเห็นว่าทุกอย่างของบริษัทฯเราพร้อมเกือบทั้งหมดแล้ว ขาดแต่เพียง "เรื่องเงิน" ครับ
นั่นก็คือ "เรื่องของ Resource...ที่เรายังไม่พร้อม!!!"
และด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยครับว่า บริษัทฯของเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำการ เพิ่มทุน
เพื่อประโยชน์ต่างๆมากมายครับ เช่น...
- Cash Flow ที่ดีขึ้น
- ความน่าเชื่อถือในการที่เราจะรับงานที่ใหญ่กว่านี้
- การช่วยลดหนี้สินและต้นทุนทางการเงินได้อีกด้วย
ฯลฯ
ซึ่งหากอ้างอิงจากข่าวทางหน้า นสพ. ในช่วงที่ผ่านมา ที่ให้ข้อมูลไว้ว่า จะสามารถปิดดีลได้ภายในไตรมาส 3 นี้
นั่นแปลว่า รายละเอียดการเพิ่มทุน น่าจะประกาศออกมาเร็วๆนี้แล้ว หรืออย่างช้าที่สุดก็ภายในเดือน กันยายน นี้นั่นเอง
ประกาศเดือน ก.ย. ประชุมเดือน ต.ค. ผมคาดการณ์และมองกรอบคร่าวๆไว้ตามนั้น
สำหรับการเพิ่มทุนนั้น สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ จำนวน 3 ข้อ เพื่อนำไปคำนวณเป็น Model ต่างๆ คือ...
1. รูปแบบการเพิ่มทุน
โดยทางเลือกคือ การเพิ่มทุนแบบ PP , การเพิ่มทุนแบบให้ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) หรืออาจจะเป็นแบบผสมผสานทั้งสองอย่าง
2. สัดส่วนในการเพิ่มทุน
เช่น 3:1 , 2:1 , 1:1 , 1:2 , 1:3 ฯลฯ ซึ่งอันนี้เราจะไม่รู้หรอกครับจนกว่าบริษัทฯจะประกาศออกมา
และบางการเพิ่มทุน อาจจะมีการแจกวอแรนต์ด้วย อันนี้ก็ขึ้นกับการตัดสินใจของบริษัทฯเป็นสำคัญ
3. ราคาหุ้นเพิ่มทุน
เช่น 1.10 , 1.20 , 1.30 , 1.40 ฯลฯ ซึ่งอันนี้เราจะไม่รู้หรอกครับจนกว่าบริษัทฯจะประกาศออกมาเช่นกัน
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญครับ ไม่ว่าจะเป็น ความพร้อมในการรับข่าวสาร และความพร้อมในการเตรียมเงินสำหรับเพิ่มทุน
กับคำถามที่ว่า เราควรขายหุ้นก่อนขึ้น XR หรือหลัง XR จะดีกว่ากัน???
ประเด็นนี้ ไม่มีใครตอบได้ได้หรอกครับ เพราะไม่มีใครล่วงรู้อนาคต
โดยเฉพาะบริษัทฯที่มีสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นต่ำแบบเรา ราคาเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมากครับ
เพราะแม้แต่ข่าว การชนะประมูลงาน 1,400 ล้านบาทที่ S1 ก็ยังไม่มีการลงลง นสพ. เลยซักฉบับ และราคาก็ยังไม่ได้ตอบรับใดๆทั้งสิ้นครับ
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองข้ามช็อตไปหมดแล้วครับ
เพราะหากบริษัทฯทำการ "เพิ่มทุนเรียบร้อย" เสร็จสิ้นเมื่อไหร่แล้ว บริษัทฯ PAE ของเราจะมีความพร้อมเต็มที่กว่านี้
โดยพร้อมครบถ้วนในทุกๆด้าน คือ "ด้าน Opportunity , ด้าน Team และ ด้าน Resource"
และอย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่า H1/2555 ของเรารับรู้รายได้เพียง ไม่ถึง 600 ล้านบาท
แต่ประมาณการใน H2/2555 เราจะรับรู้รายได้ได้มากถึง 1,800 ล้านบาท
รวมทั้งปีประมาณรายได้ 2,400 ล้านบาท!!!
นั่นแปลว่า หลังบริษัทฯเราเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว ผลประกอบการ Q3/55 ที่จะประกาศมาในเดือน พ.ย.55 นั้น มันอาจจะเป็น ข่าวดี ที่เป็นตัวยืนยันการ Turnaround ของบริษัทฯเรา
และเมื่อเราประกาศงบปีที่ดี และมีกำไรที่น่าสนใจ...ณ วันนั้น นักลงทุนอาจจะต้องประเมิน ศักยภาพ ของบริษัทฯเราใหม่ก็ได้นะครับ
"ประกาศออกมาเลยครับ...เพราะผมพร้อมแล้วครับ"
ด้วยความเคารพ และปราศจากการชี้นำราคาใดๆทั้งสิ้น
Pak ThaiVI, 8 ก.ย. 55
*** การเขียนทั้งหมดมาจากการคาดการณ์และมุมมองของผู้เขียนเองเท่านั้น จึงไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
การตัดสินใจในการลงทุนทั้งหมด ต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแต่ละท่านเป็นสำคัญ
*** Referrence : http://www.brighthub.com/office/entrepreneurs/articles/73336.aspx
| จากคุณ |
:
Again-With-Love   
|
| เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ย. 55 13:20:35
|
|
|
|
