Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เล่นหุ้นตามกระแส/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ติดต่อทีมงาน

Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=53274
Credit : ขอบคุณคุณ Thai VI Article และคุณ ดร.นิเวศน์ครับ

โลกในมุมมองของ Value Investor          8 กันยายน 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
                                เล่นหุ้นตามกระแส leaf

  เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วในช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกทางด้านการเงินที่เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น   ทฤษฎีที่มาแรงที่สุดในขณะนั้นก็คือ  Efficient Market Hypothesis  หรือทฤษฎี  “ตลาดที่มีประสิทธิภาพ”  ซึ่งบอกว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทุกตัวนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว  ไม่มีตัวไหนถูกหรือแพง  หุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลงในวันพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้  ในระยะยาวแล้ว  หุ้นโดยเฉลี่ยก็จะโตไปตามตลาดซึ่งก็อาจจะให้ผลตอบแทนรวมประมาณปีละซัก 10%  โดยเฉลี่ย  ดังนั้น  การใช้ข้อมูลอะไรมาวิเคราะห์พิจารณาเลือกซื้อหุ้นจึงไม่มีประโยชน์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นอย่างที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้  เช่นเรื่องของแนวรับ  แนวต้าน  ข้อมูลกราฟราคาหุ้นย้อนหลัง 90 วัน   270 วัน  หรือเส้นกราฟที่เรียกว่า  Head and Shoulder  ซึ่งนักวิเคราะห์บอกว่าเป็นรูปแบบที่ราคาหุ้นจะวิ่งไปเป็น  3 ช่วงที่เหมือนกับหัวไหล่ข้างซ้าย  ศีรษะ  และหัวไหล่ข้างขวา   พูดง่าย ๆ   นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าราคาหุ้นในอดีตนั้น  สามารถบอกถึงทิศทางราคาหุ้นในอนาคตได้

  นักวิชาการที่เชื่อในทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพในขณะนั้น   ได้ทดลองใช้ข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลังพิสูจน์และก็พบว่าราคาหุ้นนั้น  เคลื่อนไหวไปอย่าง  “ไร้ทิศทาง”  ราคาของหุ้นในวันนี้ไม่ได้มีอะไรสัมพันธ์กับราคาหุ้นในวันก่อน   เส้นกราฟราคาหุ้นก็ไม่มีรูปแบบหรือแบบแผนที่แน่นอน   แนวรับแนวต้านต่าง ๆ  นั้นไม่มีจริง  ยิ่งรูปแบบที่เป็น “ไหล่  ศีรษะ  ไหล่”  นั้น   เป็นเส้นที่เกิดจาก  “จินตนาการ”  เหมือนกับการดูก้อนเมฆ   หรือถ้าเป็นคนไทยก็อาจจะเป็นเหมือนการหาตัวเลขจากขี้เถ้าของธูปที่ขดตัวไปมา  ว่าที่จริง  มีเรื่องเล่าว่าศาสตราจารย์คนหนึ่งลงทุนใช้คอมพิวเตอร์วาดกราฟราคาหุ้นแบบเดาสุ่มออกมา   เสร็จแล้วก็หลอกให้นักศึกษาในชั้นเรียนทางด้านเทคนิควิเคราะห์ว่า  “ราคาหุ้นจะไปทางไหน”  ซึ่งนักศึกษาต่างก็ใช้เทคนิคต่าง ๆ  วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะว่าหุ้นตัวนี้กำลัง  “ฟอร์มตัว” อยู่ในช่วงไหนและจะไปอย่างไรทั้ง ๆ  ที่เส้นกราฟนั้นเกิดขึ้นแบบเดาสุ่มจากคอมพิวเตอร์   และนั่นก็เป็นการ  “ปิดฉาก”  ของการวิเคราะห์แบบเทคนิคที่เคยเฟื่องฟูก่อนหน้านั้น

  แต่เรื่องของการเล่นหุ้นนั้น  ก็คงจะคล้าย ๆ  กับทฤษฎีทางสังคมอื่น ๆ  ที่มี  “วัฏจักร” และมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ    เราเคยเห็นหุ้นตัวใหญ่มาแรง   แล้วบางช่วงหุ้นตัวเล็กก็ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว   บางช่วงหุ้นโตเร็วมาแรงแต่บางช่วงหุ้น  Value  ก็มาแรงกว่า การ “พลิกผัน” หรือเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ   โดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่งนั้น   เมื่อคนรู้มากเข้ากลยุทธ์นั้นก็จะได้ผลน้อยลงและอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป  คล้าย ๆ  กับว่า   “ความสำเร็จมักจะทำลายตัวเอง”  และนี่ก็นำมาสู่การกลับมาของกลยุทธ์ทางเทคนิคที่เริ่มมีการค้นพบว่า   บางทีราคาหุ้นในอดีตก็อาจจะพอบอกถึงราคาที่หุ้นจะไปในอนาคตได้  กลยุทธ์ที่ว่านี้ก็คือ  การเล่นหุ้นโดยดูจาก  Momentum  หรือที่ผมจะใช้คำว่า  “เล่นหุ้นตามกระแส”

  ในช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมาในตลาดสหรัฐและประเทศอื่น ๆ  มีการค้นพบใหม่ว่า   หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นแรง ๆ  ในช่วงประมาณหนึ่งปีหรือหกเดือนนั้น   มักจะมี  Momentum  หรือมี  “แรงเฉื่อย”  ที่มันจะวิ่งต่อไปอีกอย่างน้อยก็  3 ถึง 6 เดือน หรืออาจจะถึงหนึ่งปี  เพราะฉะนั้น  ถ้าเราเล่นหุ้นเก็งกำไรอย่างสั้น ๆ   เราก็สามารถลงทุนโดยทำเป็นพอร์ตหุ้นที่ซื้อหุ้นที่มีราคาวิ่งแรงที่สุดในช่วงเวลาที่กล่าว  เสร็จแล้วก็ขายหลังจากที่ถือไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง  ผลการศึกษาที่ให้ซื้อหุ้นที่ขึ้นแรงที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมาแล้วถือไว้เป็นเวลา 3  เดือนให้ผลตอบแทนมากกว่าปกติถึง  10%  ต่อปีเหนือกว่าตลาดซึ่งถือว่าสูงมาก  เช่นเดียวกัน  เราอาจจะเลือกหุ้นที่วิ่งแรงที่สุดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา  แล้วก็ถือไว้ต่ออีก 6  เดือน  นี่ก็ให้ผลตอบแทนที่งดงามเช่นเดียวกัน   อย่างไรก็ตาม  ถ้าถือหุ้นต่อไปอีก 3-5  ปี  ผลตอบแทนกลับจะถดถอยลง  ดังนั้น  กลยุทธ์ในการเล่นหุ้นตามกระแสจึงไม่เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว   ว่าที่จริง  มีการศึกษาว่าถ้าเราซื้อหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงติดต่อกัน 3 ปี  แล้วถือยาวต่อไปอีก 3 ปี  ผลตอบแทนที่ได้กลับเป็นลบ  และทั้งหมดนี้ก็เป็นการขัดแย้งกับทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพที่บอกว่าราคาหุ้นในอนาคตไม่สามารถคาดการณ์ได้  

  คำอธิบายว่าทำไมหุ้นที่ขึ้นมาแรงแล้วจึงมีโอกาสวิ่งต่อไปได้มากกว่าที่จะนิ่งหรือลง   คำตอบก็ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก  อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นที่ขึ้นแรงนั้น  เป็นหุ้นที่ไม่ใคร่มีคนสนใจวิเคราะห์ติดตามหรือมีสภาพคล่องต่ำ  เวลาที่หุ้นขึ้นไปแรง ๆ  คนที่ถือหุ้นไว้โดยเฉพาะที่เป็นรายย่อยอาจจะรีบขายออกไปก่อนทำให้ราคาไม่ขึ้นไปแบบม้วนเดียวจบ   แต่เมื่อราคาขึ้นไปคนอาจจะสนใจมากขึ้นและเข้ามาวิเคราะห์และอาจจะพบว่าพื้นฐานกิจการกำลังดีขึ้นมากและดังนั้นจึงเข้ามาซื้อมากขึ้นและทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปอีก  กระบวนการนี้อาจจะใช้เวลา  อาจจะ 3 เดือน  6  เดือน  หรือ  1 ปี   ดังนั้น  ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้นจึงวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ   แต่หลังจากนั้น  คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่อาจจะรู้ข้อมูลหมดแล้ว   บางคนอาจจะเริ่มเห็นว่าราคาที่ขึ้นไปนั้นสูงเกินพื้นฐานแล้วเนื่องจากหุ้นตัวนั้นมีการ  “เก็งกำไร”  กันอย่างหนัก   ดังนั้นเขาจึงเริ่มขาย  นักลงทุนคนต่อมาก็อาจจะเห็นเหมือนกันก็เริ่มจะขายในขณะที่คนที่จะซื้อเริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ   และนี่ทำให้การถือหุ้นที่ขึ้นมาแรงนานเกินไปโดยเฉพาะคนที่เข้ามาทีหลังขาดทุน  ส่วนคนที่ออกไปก่อนในเวลาที่เหมาะสมทำกำไรได้งดงาม—ในหุ้นที่ไม่ใคร่มีคนสนใจติดตาม

  ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น  ผมไม่แน่ใจว่ากลยุทธ์เล่นหุ้นตามกระแสหรือตามโมเมนตัมใช้ได้ดีแค่ไหนแม้ว่าโดยส่วนตัวจากการสังเกตในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ผมรู้สึกว่าหุ้นจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นตัวเล็กที่มีสภาพคล่องต่ำมี  “กระแส” ที่แรงมาก   ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าที่เป็นอย่างนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องของกลไกตลาดตามปกติหรือจะมีการ   “ปั่น”  กระแส  ผสมโรงด้วยหรือไม่  ผมเพียงแต่รู้ว่าคนที่  “จับกระแส”  ได้ถูกต้อง  นั่นก็คือ  เข้าและออกได้ถูกเวลา   น่าจะสามารถทำกำไร  “มโหฬาร”  ในขณะที่คนที่เข้าออกผิดเวลานั้นกลับขาดทุนอย่างหนัก  นอกจากนั้น   ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหลักเกณฑ์ที่ใช้ในตลาดหุ้นต่างประเทศจำนวนมากที่ให้ใช้หุ้นที่วิ่งแรงมาแล้วหนึ่งปีหรือหกเดือนและขายในช่วง 3  เดือนหรือ 6 เดือนตามลำดับนั้น  ใช้ได้กับตลาดหุ้นไทยไหม   ดังนั้น  คนที่สนใจจะเล่นหุ้นตามกระแสก็ต้องทดลองและ  “เสี่ยง” กันเอง

  อาจจะมีคำถามว่าถ้าจะเล่นหุ้นตามกระแสแต่อยากจะลดความเสี่ยงโดยการเล่นเฉพาะหุ้นตัวใหญ่เช่นหุ้นใน Set 50 จะได้หรือไม่?  คำตอบของผมก็คือ  ได้แน่นอน  อย่างไรก็ตาม  การศึกษาในตลาดหุ้นต่างประเทศก็บอกว่า  ผลตอบแทนก็จะน้อยลง  หรือพูดง่าย ๆ  ถ้าหุ้นที่มีนักวิเคราะห์ติดตามมาก ซึ่งมักเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง  ราคาก็อาจจะวิ่งต่อไปไม่มากนักแม้ว่ายังจะบวกอยู่

  ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแนะนำหรือเชียร์ให้เล่นหุ้นตามกระแส  เพราะโดยหลักการแล้ว  คงไม่มีอะไรที่จะทดแทนหรือดีกว่าการวิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้งและพิจารณาลงทุนตามหลักการแบบ  VI  ที่ผมเห็นว่าดีและปลอดภัยที่สุดในระยะยาว   เพราะการลงทุนแบบใช้กฎเกณฑ์ที่ตายตัวนั้น   อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อไรก็ได้ดังนั้นในวันที่เราใช้มันอาจจะ “ล้าสมัย” ไปแล้วก็ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  อีกครั้ง   “ความสำเร็จแบบง่าย ๆ  ในตลาดหุ้นนั้น  มักจะทำลายตัวเอง”

จากคุณ : มิ่งกลิ้ง
เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 22:06:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com